เมื่อเดือนกรกฎาคม 2560 จขกท.มีโอกาสได้ไปสัมผัสประสบการณ์ทานอาหารที่บ้านเชฟเป็นครั้งแรกค่ะ

อะไรคือ Chef’s Table และทำไมต้องไปบ้านเชฟ
Chef’s Table แปลตรงๆเลยคือ โต๊ะของเชฟ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่ครัวที่บ้านเชฟนั่นแหละค่ะ
แต่ความพิเศษของ Chef’s Table คือการได้รับประทานอาหารโดยได้เห็นเชฟทำอาหารไปด้วย ทำให้เราได้เห็นกรรมวิธีทุกขั้นตอนของการปรุงเมนูต่างๆที่เราจะได้รับประทาน และสามารถคุยกับเชฟไปได้ด้วย และเชฟก็จะได้ดูแลและอธิบายอาหารให้แขกฟังอย่างใกล้ชิด

ความคูลของ Chef’s table คือ เราสามารถ customize เมนูได้ค่ะ โดยสามารถแจ้งงบและวัตถุดิบหลัก เพื่อให้เชฟดีไซน์คอร์สเมนูให้ตรงกับความต้องการของเราอีกทีค่ะ ทำให้แต่ละครั้งที่ไปทาน เราสามารถที่จะเลือกให้เมนูซ้ำหรือไม่ซ้ำกันเลยก็ได้ (ทั้งนี้จขกท.ยังไม่เคยลอง chef’s table เจ้าอื่นนะคะ แต่จากที่ศึกษามาคร่าวๆ ในไทยจะคล้ายๆกัน)

Chef’s Table by Chef Art


(เครดิตรูปจาก posttoday)

เชฟอาร์ต-ศุภมงคล ศุภพิพัฒน์ เป็นที่ปรึกษาทางด้านอาหารและร้านอาหารให้กับเครือบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่และร้านอื่นๆ (อ่านข้อมูลเชฟเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.posttoday.com/ent/celeb/468299)

โดยส่วนตัวจขกท.ยอมรับว่าไม่ได้อินไซต์ในวงการอาหารมาก จึงไม่ได้ทราบผลงานหรือความนิยมของวงการเชฟเท่าไหร่ ซึ่งจขกท.ได้มีโอกาสได้ไปลอง Chef’s Table by Chef Art จากการชักชวนของเพื่อนอีกที และได้ตกลงปลงใจหลังจากได้ทำ research ในอินเทอร์เน็ต และพบว่าเชฟมีชื่อเสียงและเมนูอาหารน่าทาน
ในส่วนของ Chef’s Table by Chef Art อาหารจะเป็นสไตล์ยุโรปค่ะ โดยเปิดบริการเป็น private dinner สำหรับลูกค้าที่จองล่วงหน้าเท่านั้น


บรรยากาศในครัวของเชฟอาร์ตค่ะ


โดยหากจำนวนแขกไม่มาก ก็จะสามารถทานอาหารที่ครัวได้เลย แต่ถ้าต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้น หรือเป็นกรุ๊ปใหญ่ ทางเชฟมีโซน dining room สำหรับรับประทานอาหารเพื่อรับรอง  ซึ่งอยู่ติดกับครัวค่ะ


(เครดิตภาพ dining room จาก taste-trip.com)

ที่ตั้ง: ซอยเอกมัย 10 แยก 6 กรุงเทพฯ (เนื่องจากเป็นที่อยู่ของเชฟด้วย ขออนุญาตบอกแค่ที่ตั้งคร่าวๆนะคะ)
Instagram: cheftablebychefart
เบอร์โทร: 099-3507414
Line ID: @cheftablebychefart
จำนวนคนขั้นต่ำต่อ booking: 4  คน
ราคา: ขั้นต่ำ 3,500 บาท/คน

ว่าแล้วมาเริ่มกันเลยค่ะ~

มาสังเกตการณ์เชฟและทีมเตรียมอาหาร



1. Hokkaido Scallop with Broccoli, Jerusalem artichoke puree and roasted garlic sauce
- จานนี้จขกท.ปลื้มมาก คือหอยเชลล์ (scallop) ตัวใหญ่มากกกและสด มีความหวานในตัว โดยเชฟทำมาสุกกำลังพอดี รสชาติซอสกลมกล่อมดีมาก


2. Lobster bisque cappuccino
- ซุปล็อบสเตอร์ อร่อยค่ะ รสชาติเข้มข้น และกลิ่นหอมล็อบสเตอร์ชัด


3. Wild mushroom risotto with seared foie gras
- จานนี้ก็ประทับใจค่ะ เม็ดข้าว risotto ทำมาได้กำลังดี ไม่นิ่มหรือแข็งไป มีเห็ดมาแทรกเพิ่ม texture ให้จานนี้ไม่นิ่มจนเกินไป ส่วนฟัวกราส์ก็ชิ้นใหญ่และสุกกำลังดี ไม่แข็งหรือเละจนเกินไป แม้จานนี้จะ creamy แต่ทานแล้วไม่รู้สึกเลี่ยนเลยค่ะ


4.1 Roasted herb parmesan crusted lamb with creamy potato
- จขกท.ค่อนข้างตกใจตอนที่เห็นว่าเนื้อแกะแดงมากกก แต่ก็ต้องลองค่ะ! เมื่อทานแล้วก็รู้สึกว่าเนื้อแกะไม่มีกลิ่นอย่างที่กลัว มันฝรั่งบดรสชาติดีและเนียน แต่อาจด้วยที่ปกติจขกท.จะชอบทานเสต็กความสุกระดับ medium และด้วยความ rare ที่มากเกินไปของเนื้อแกะ ทำให้จขกท.ไปค่อยประทับใจกับ main course จานนี้เท่าไหร่ จขกท.แนะนำว่าควรแจ้งเชฟถีงระดับความสุกของเนื้อที่เราทานได้ไว้ก่อนจะดีกว่า


4.2 Roasted angus rib eye with mushroom, creamy mashed potato and rosemary red wine sauce
- ส่วนจานนี้เป็น main dish อีกอย่างหนึ่ง ของเพื่อนจขกท. ซึ่งเพื่อนก็คอมเม้นเช่นกันว่าน่าจะทำให้เนื้อสุกกว่านี้


5. Chocolate fondant with homemade vanilla ice-cream
- สุดท้ายที่ของหวานค่ะ ถึงแม้เชฟอาร์ตจะเป็นไม่ใช่เชฟของหวานโดยตรง แต่ทำช็อคโกแลตลาวาออกมาได้ดีเลยทีเดียว คือเจาะแล้วมีลาวาไหลออกมา อันเป็นความฟินอย่างนึงของการทานเมนูลาวา ทางร้านเคลมว่าใช้ช็อคโกแล็ตของ Valrhona (ผลิตในประเทศฝรั่งเศส) ซึ่งรสชาติช็อคโกแล็ตดีเลยค่ะ เข้มข้น มีรสหวานค่อนข้างเยอะ แต่ไม่ได้หวานจนเลี่ยน ส่วนไอศกรีมวานิลา จขกท.ค่อนข้างเฉยๆค่ะ




สรุป: เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าสนใจ ระหว่างรออาหาร  เราก็สามารถไปดูเชฟทำอาหารได้ และสอบถามเชฟได้ ซึ่งเป็นอะไรที่เพลินสำหรับจขกท.  ในส่วนของอาหาร ทางเชฟใช้วัตถุดิบคุณภาพดี และรสชาติอาหารส่วนใหญ่ดี หากมีเมนูเสต็ก จขกท.แนะนำให้แจ้งเชฟถึงระดับความสุกที่ทานได้จะดีกว่า เพื่อที่จะ enjoy มื้อพิเศษที่ chef’s table นี้ได้อย่างเต็มที่ค่ะ ☺