สวัสดีวันจันทร์ ด้วยบทความที่ 2 ใน 6 บทความเกี่ยวกับการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคทํากําไรในตลาด หลังจากที่บทความแรกเราพูดถึง Wyckoff Cycle (
https://ppantip.com/topic/39546016 )
ลองพิจารณาสถานการณ์นี้ ในปี 1998 บริษัท Mosenergo ผู้ผลิตไฟฟ้าที่ใหญ่แห่งหนึ่งของ Russia เทรดที่ค่า P/E น้อยกว่า 2 เท่า หากคุณชอบซื้อหุ้นตอนราคาถูกมากๆ ( ตามสํานวนที่ว่า “Buy when there is blood in the Streets”) และต้องการเป็นเจ้าของหุ้นอย่างน้อยห้าปี คุณไม่จำเป็นต้องใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค คุณกำลังลงทุนในพื้นฐานหรือจิตวิทยา ในทำนองเดียวกันคนส่วนมากคิดว่าดัชนี S&P500 ในสหรัฐดูถูกที่ 666 เมื่อดอลลาร์ออสเตรเลียและราคาเหล็กได้ดีดตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในต้นปี 2009 เราก็สามารถซื้อได้โดยคิดว่าเราลงทุนแบบพื้นฐาน
ในขณะที่เทรดเดอร์ที่วิเคราะห์ทางเทคนิค จะคิดว่า สิ่งใดก็ตามที่เทรดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน มักจะเป็นพิษ มันดีกว่าที่จะรอให้ S & P500 รีบาวด์ที่ประมาณ 900 ก่อนแล้วค่อยซื้อและยังคงทำกำไรได้ 30% หรือมากกว่านั้น
ประเด็นก็คือการมีระเบียบวินัยแบบนี้ช่วยเราได้หากเราไม่แน่ใจในแง่วิเคราะห์พื้นฐาน เรากำลังเทรดและไม่ได้ลงทุนและเราไม่อยากเสี่ยงว่าค่าสินทรัพย์ของเราจะกลายเป็นศูนย์
ในบทความล่าสุดเราได้พูดถึงว่าวงจร Wyckoff สามารถช่วยเราให้หลีกเลี่ยงหุ้นแย่ได้อย่างไรโดยให้ความสนใจกับช่วง เก็บของ (Accumulation) และติดตามช่วงทําราคา(Mark up) ของนักลงทุน รายใหญ่และวงใน
สิ่งนี้กำจัดอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของสถานการณ์เทรดที่คลุมเครือ แต่อาจไม่เพียงพอที่จะตั้ง stop loss ที่แน่นหนาพอที่จะเทรดได้กําไรสมกับความเสี่ยงที่รับ
ดังนั้นหากเราเป็นฝั่งซื้อ (long) เรากำลังมองหาหุ้นที่กําลังอยู่ในเทรนด์ ซึ่งหมายความว่าเราไม่ค่อยซื้อเมื่อมีสัญญาณทางเทคนิคของการกลับตัวของแนวโน้ม (trend reversal) แต่จะชอบมากกว่าถ้ามีการคงตัวของเทรนด์ (trend continuation) หรือ เทรดตอนมี การดึงตัวของเทรนด์ (pullbacks) ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่จะใช้ จุดตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ย (moving average crossovers), เส้นแนวโน้ม (trend lines) และเส้นรองรับ (support line)
ให้เราสังเกตดูหุ้น B. Grimm Power (BGRIM) ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2017 เพื่อใช้ในการพูดครอบคลุมในทุกด้านของ Trend line, Support และ Wyckoff Cycle
ในเดือนสิงหาคม 2018 เราตั้งข้อสงสัยว่า BGRIM อยู่ในช่วงเก็บของเพราะโวลุ่มเพิ่มและเมื่อหุ้นอ่อนตัวก็จะมีการรีบาวน์ เราดู chart ย้อนหลังหนึ่งปีและพบจุดเริ่มต้นของ uptrend ที่ราคาเปิดของ Break ที่เริ่มในวันที่ 16 สิงหาคม 2017
ราคาต่ำสุดของวันที่ 29 มิถุนายน 2018 บังเอิญเป็นจุด Spring (ดูบทความแรก) และ Doji ด้วย (เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Candlesticks ในบทความหน้า) ทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมต่อ
คุณอาจตั้งคําถามว่าทําไม ในช่วงขาขึ้น (Uptrend) เรากำลังมองหา Higher Highs (การที่ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ สูงขึ้นกว่าจุดสูงสุดเดิม) และ Higher Lows ( การที่ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ สูงขึ้นกว่าจุดต่ำสุดเดิม) ดังนั้นหากราคาปิดตํ่ากว่าราคา Higher Lows 2 จุดก่อนหน้านี้ จะทำให้ทฤษฎีของเราใช้ไม่ได้
เราไม่ซื้อเพียงเพราะเราสงสัยว่าจะเป็นช่วงเก็บของ ดังนั้นเทรนด์ไลน์ (Trend lines) และค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) จะถูกนำมาใช้ในการเทรดอย่างมีวินัยและรอเวลาจนกว่าจะมีจุดเข้าที่ดี
เป็นการดีที่เราจะทดสอบเทรนด์ไลน์ว่าจะผ่านไหม นอกจากนี้เรายังชอบการซื้อขายที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน และ การตัดกันของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบสั้น (faster moving average) เหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบยาว (slower moving average) (เราใช้ 38 วัน 90 วันและ 200 วัน แต่ 10, 40, 50, 100 วันก็ใช้ได้) เมื่อเลื่อนมาดูเดือนกุมภาพันธ์ 2019 อย่างที่คุณเห็นเทรนด์ไลน์ของเราได้ถูกทดสอบและยังทรงตัวในเดือนพฤศจิกายน ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ทั้งหมดยังเรียงตัวเพื่อให้เส้นที่เร็วสุดอยู่สูงสุดและหุ้นจะซื้อขายที่ราคาเหนือกว่าทุกจุด นี่คือ trade setup ที่สวยงามและจุดใดก็ตามที่หุ้นอ่อนตัว, break ที่สูงขึ้นหรือมีข่าวดีมายืนยันจะเป็นจุดให้เราเข้าหุ้นได้
นอกจากนี้เรายังหาจุด stop loss ที่เป็นไปได้มากมาย เทรนด์ไลน์ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 26.50 บาทดังนั้นราคาปิดตรงนี้จะเป็นจุด stop loss ที่มั่นคง ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วันซึ่งเป็น stop loss ที่ค่อนข้างแน่นกว่าก็ใช้ได้
ดังนั้นเราอาจจะเสี่ยง 2 บาทสำหรับหุ้นที่เราคาดว่าจะสูงกว่า ราคาที่สูงก่อนหน้านี้ที่ 6 บาทและอาจราคาเพิ่มเป็นสองเท่า จะเห็นได้ว่าผลตอบแทนต่อความเสี่ยงดูดีมาก
ลองดูประเด็นสุดท้ายของ B.Grimm power (BGRIM) ที่เรายังไม่ได้พูดถึงใน SET chart นี้
แตกต่างจาก Trendlines ที่เลื่อนขึ้นหรือตํ่าลง เส้น support เป็นเส้นตรงที่ระดับราคาที่สําคัญ ราคาระดับนี้อาจเป็นทางจิตวิทยาเช่น 50 บาทหรือ 1,000 บาท แต่มีแนวโน้มที่จะเป็นระดับที่มีการเทรดบ่อยก่อนหน้านี้และจุด break ที่ล้มเหลว ดังที่คุณเห็นกับ SET ในช่วงครึ่งแรกของปี 2017 มีการทดสอบ 1540 ครั้งถึงสองครั้งและทรงตัว- สิ่งนี้จะสร้าง Support ใหม่ ในตอนท้ายของปี 2018 และ 2019 ระดับนี้จะกลายเป็นจุดเข้าที่เป็นไปได้และราคาที่เบรคแนว support ใหม่ (support breaking) นี้จะกลายเป็นจุด stop loss
ตรงกันข้ามกับแนวรับ (Support) คือแนวต้าน (Resistance) ซึ่งหมายถึงระดับที่หุ้นเคยเทรดต่ำกว่าระดับนี้และ การ break แนวต้าน จะหมายถึงการซื้อขายเหนือกว่าระดับนี้
บทความที่ 2 ยาวหน่อยนะครับถือเป็นบทเรียน ถ้าชอบช่วยไลค์เป็นกําลังใจให้เราด้วยที่ Facebook: @BarracudaStocks
ย้อนดูบทความตอนที่แล้วได้ที่
https://ppantip.com/topic/39546016
#วิเคราะห์หุ้นเทคนิค
#trendline
#support
#movingaverage
#technicaltrading
Disclaimer by Mr T @ BarracudaStocks
เราไม่ได้เทรดหุ้น BGRIM หรือมีหุ้น BGRIMในพอร์ต บทความนี้ไม่ได้มีการสนับสนุนหรือชักชวนใดๆ ใช้หุ้นเป็นตัวอย่างศึกษาเท่านั้น ผู้ลงทุนโปรด อ่าน พิจารณาถึงความเสี่ยงด้วยตนเอง เราไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆก็ตามจากการอ่านบทความ
ที่มา:
The Art and Science of Technical Analysis, Adam Grimes, 2012, John Wiley & Sons, Inc.
บทความที่ 2: พิ้นฐานทางเทคนิค Trend Line and Support (เส้นแนวโน้มและแนวรับ)
ลองพิจารณาสถานการณ์นี้ ในปี 1998 บริษัท Mosenergo ผู้ผลิตไฟฟ้าที่ใหญ่แห่งหนึ่งของ Russia เทรดที่ค่า P/E น้อยกว่า 2 เท่า หากคุณชอบซื้อหุ้นตอนราคาถูกมากๆ ( ตามสํานวนที่ว่า “Buy when there is blood in the Streets”) และต้องการเป็นเจ้าของหุ้นอย่างน้อยห้าปี คุณไม่จำเป็นต้องใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค คุณกำลังลงทุนในพื้นฐานหรือจิตวิทยา ในทำนองเดียวกันคนส่วนมากคิดว่าดัชนี S&P500 ในสหรัฐดูถูกที่ 666 เมื่อดอลลาร์ออสเตรเลียและราคาเหล็กได้ดีดตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในต้นปี 2009 เราก็สามารถซื้อได้โดยคิดว่าเราลงทุนแบบพื้นฐาน
ในขณะที่เทรดเดอร์ที่วิเคราะห์ทางเทคนิค จะคิดว่า สิ่งใดก็ตามที่เทรดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน มักจะเป็นพิษ มันดีกว่าที่จะรอให้ S & P500 รีบาวด์ที่ประมาณ 900 ก่อนแล้วค่อยซื้อและยังคงทำกำไรได้ 30% หรือมากกว่านั้น
ประเด็นก็คือการมีระเบียบวินัยแบบนี้ช่วยเราได้หากเราไม่แน่ใจในแง่วิเคราะห์พื้นฐาน เรากำลังเทรดและไม่ได้ลงทุนและเราไม่อยากเสี่ยงว่าค่าสินทรัพย์ของเราจะกลายเป็นศูนย์
ในบทความล่าสุดเราได้พูดถึงว่าวงจร Wyckoff สามารถช่วยเราให้หลีกเลี่ยงหุ้นแย่ได้อย่างไรโดยให้ความสนใจกับช่วง เก็บของ (Accumulation) และติดตามช่วงทําราคา(Mark up) ของนักลงทุน รายใหญ่และวงใน
สิ่งนี้กำจัดอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของสถานการณ์เทรดที่คลุมเครือ แต่อาจไม่เพียงพอที่จะตั้ง stop loss ที่แน่นหนาพอที่จะเทรดได้กําไรสมกับความเสี่ยงที่รับ
ดังนั้นหากเราเป็นฝั่งซื้อ (long) เรากำลังมองหาหุ้นที่กําลังอยู่ในเทรนด์ ซึ่งหมายความว่าเราไม่ค่อยซื้อเมื่อมีสัญญาณทางเทคนิคของการกลับตัวของแนวโน้ม (trend reversal) แต่จะชอบมากกว่าถ้ามีการคงตัวของเทรนด์ (trend continuation) หรือ เทรดตอนมี การดึงตัวของเทรนด์ (pullbacks) ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่จะใช้ จุดตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ย (moving average crossovers), เส้นแนวโน้ม (trend lines) และเส้นรองรับ (support line)
ให้เราสังเกตดูหุ้น B. Grimm Power (BGRIM) ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2017 เพื่อใช้ในการพูดครอบคลุมในทุกด้านของ Trend line, Support และ Wyckoff Cycle
ในเดือนสิงหาคม 2018 เราตั้งข้อสงสัยว่า BGRIM อยู่ในช่วงเก็บของเพราะโวลุ่มเพิ่มและเมื่อหุ้นอ่อนตัวก็จะมีการรีบาวน์ เราดู chart ย้อนหลังหนึ่งปีและพบจุดเริ่มต้นของ uptrend ที่ราคาเปิดของ Break ที่เริ่มในวันที่ 16 สิงหาคม 2017
ราคาต่ำสุดของวันที่ 29 มิถุนายน 2018 บังเอิญเป็นจุด Spring (ดูบทความแรก) และ Doji ด้วย (เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Candlesticks ในบทความหน้า) ทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมต่อ
คุณอาจตั้งคําถามว่าทําไม ในช่วงขาขึ้น (Uptrend) เรากำลังมองหา Higher Highs (การที่ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ สูงขึ้นกว่าจุดสูงสุดเดิม) และ Higher Lows ( การที่ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ สูงขึ้นกว่าจุดต่ำสุดเดิม) ดังนั้นหากราคาปิดตํ่ากว่าราคา Higher Lows 2 จุดก่อนหน้านี้ จะทำให้ทฤษฎีของเราใช้ไม่ได้
เราไม่ซื้อเพียงเพราะเราสงสัยว่าจะเป็นช่วงเก็บของ ดังนั้นเทรนด์ไลน์ (Trend lines) และค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) จะถูกนำมาใช้ในการเทรดอย่างมีวินัยและรอเวลาจนกว่าจะมีจุดเข้าที่ดี
เป็นการดีที่เราจะทดสอบเทรนด์ไลน์ว่าจะผ่านไหม นอกจากนี้เรายังชอบการซื้อขายที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน และ การตัดกันของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบสั้น (faster moving average) เหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบยาว (slower moving average) (เราใช้ 38 วัน 90 วันและ 200 วัน แต่ 10, 40, 50, 100 วันก็ใช้ได้) เมื่อเลื่อนมาดูเดือนกุมภาพันธ์ 2019 อย่างที่คุณเห็นเทรนด์ไลน์ของเราได้ถูกทดสอบและยังทรงตัวในเดือนพฤศจิกายน ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ทั้งหมดยังเรียงตัวเพื่อให้เส้นที่เร็วสุดอยู่สูงสุดและหุ้นจะซื้อขายที่ราคาเหนือกว่าทุกจุด นี่คือ trade setup ที่สวยงามและจุดใดก็ตามที่หุ้นอ่อนตัว, break ที่สูงขึ้นหรือมีข่าวดีมายืนยันจะเป็นจุดให้เราเข้าหุ้นได้
นอกจากนี้เรายังหาจุด stop loss ที่เป็นไปได้มากมาย เทรนด์ไลน์ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 26.50 บาทดังนั้นราคาปิดตรงนี้จะเป็นจุด stop loss ที่มั่นคง ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วันซึ่งเป็น stop loss ที่ค่อนข้างแน่นกว่าก็ใช้ได้
ดังนั้นเราอาจจะเสี่ยง 2 บาทสำหรับหุ้นที่เราคาดว่าจะสูงกว่า ราคาที่สูงก่อนหน้านี้ที่ 6 บาทและอาจราคาเพิ่มเป็นสองเท่า จะเห็นได้ว่าผลตอบแทนต่อความเสี่ยงดูดีมาก
ลองดูประเด็นสุดท้ายของ B.Grimm power (BGRIM) ที่เรายังไม่ได้พูดถึงใน SET chart นี้
แตกต่างจาก Trendlines ที่เลื่อนขึ้นหรือตํ่าลง เส้น support เป็นเส้นตรงที่ระดับราคาที่สําคัญ ราคาระดับนี้อาจเป็นทางจิตวิทยาเช่น 50 บาทหรือ 1,000 บาท แต่มีแนวโน้มที่จะเป็นระดับที่มีการเทรดบ่อยก่อนหน้านี้และจุด break ที่ล้มเหลว ดังที่คุณเห็นกับ SET ในช่วงครึ่งแรกของปี 2017 มีการทดสอบ 1540 ครั้งถึงสองครั้งและทรงตัว- สิ่งนี้จะสร้าง Support ใหม่ ในตอนท้ายของปี 2018 และ 2019 ระดับนี้จะกลายเป็นจุดเข้าที่เป็นไปได้และราคาที่เบรคแนว support ใหม่ (support breaking) นี้จะกลายเป็นจุด stop loss
ตรงกันข้ามกับแนวรับ (Support) คือแนวต้าน (Resistance) ซึ่งหมายถึงระดับที่หุ้นเคยเทรดต่ำกว่าระดับนี้และ การ break แนวต้าน จะหมายถึงการซื้อขายเหนือกว่าระดับนี้
บทความที่ 2 ยาวหน่อยนะครับถือเป็นบทเรียน ถ้าชอบช่วยไลค์เป็นกําลังใจให้เราด้วยที่ Facebook: @BarracudaStocks
ย้อนดูบทความตอนที่แล้วได้ที่ https://ppantip.com/topic/39546016
#วิเคราะห์หุ้นเทคนิค
#trendline
#support
#movingaverage
#technicaltrading
Disclaimer by Mr T @ BarracudaStocks
เราไม่ได้เทรดหุ้น BGRIM หรือมีหุ้น BGRIMในพอร์ต บทความนี้ไม่ได้มีการสนับสนุนหรือชักชวนใดๆ ใช้หุ้นเป็นตัวอย่างศึกษาเท่านั้น ผู้ลงทุนโปรด อ่าน พิจารณาถึงความเสี่ยงด้วยตนเอง เราไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆก็ตามจากการอ่านบทความ
ที่มา:
The Art and Science of Technical Analysis, Adam Grimes, 2012, John Wiley & Sons, Inc.