Little Woman (Greta Gerwig / 2019)
SCORE : 8/10
เรื่องราวว่าด้วยเรื่องของ 4 พี่น้องตระกูล March ที่ตัดสินใจออกจากบ้านเดิมของครอบครัวมาใช้ชีวิตกันเอง โดยมี Jo March ที่มีความฝันอยากเป็นนักเขียน, Meg March อยากเป็นนักแสดง, Amy March อยากเป็นจิตรกร และ Beth March น้องสาวตัวน้อย สิ่งที่ทั้ง 4 คนต้องเผชิญก็คือ การต่อสู้กับกรอบของสังคมที่วัดความสำเร็จของผู้หญิงจากการแต่งงาน
.
เป็นหนังพลังหญิงเปิดปี 2020 ที่ครบรส เส้นเรื่องเต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวที่ชวนให้ติดตามของ 4 พี่น้อง กับเส้นทางชีวิตของแต่ละคนที่แตกต่างกัน แต่มีจุดร่วมเดียวกันคือ “ความฝัน” บรรยากาศภายในเรื่องถูกเช็ตติ้งอยู่ระหว่างปี 1861-1868 แต่ประเด็นกลับใหม่สุดๆ ซึ่งห่างจากปี 2020 ค่อนข้างนาน แต่ประเด็นที่พูดถึงคุณค่าความเป็นผู้หญิงและความสำเร็จ ไม่ได้เก่าตามไปด้วยเลยสักนิดเดียว
.
เราชอบที่หนังเล่าเรื่องราวที่ดูไม่มีอะไร ให้มีอะไรได้ ตัวหนังมีสไตล์การเล่าเรื่องที่โดดเด่น มีการลำดับเรื่องที่น่าสนใจ หลายสิ่งในหนังถูกทำออกมาได้อย่างกลมกล่อม เหงา เศร้า ซึ้งและอบอุ่นเหลือเกิน เราชอบ Lady Bird พอๆ กับที่เราชอบ Little Woman ทั้งสองเรื่องมีจุดร่วมเดียวกันที่น่าสนใจ คือการที่ตัวหนังดำเนินเรื่องโดยตัวละครหญิง และต้องฝ่าฝันอุปสรรคบางอย่าง เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ซึ่ง Greta Gerwig เป็น ผกก. ที่เล่าอะไรแบบนี้ออกมาได้ดีมากๆ
.
ตัวหนังมีความ feminist ที่ชัดเจนมากๆ เพราะมันมาพร้อมกับประเด็นที่ว่าด้วยเรื่องของ “ความสำเร็จ และการถูกตีกรอบจากสังคม” เราค้นพบว่า 1 ในตัวละครหลักที่เราชอบมากๆ อย่าง Jo (รับบทโดย Saoirse Ronan) ซึ่งเป็นตัวละครที่เราชอบที่สุด เส้นทางชีวิตของเธอเต็มไปด้วยขวากหนามมากมาย ปัญหาต่างๆ ที่ถูกหยิบมาเล่า คำพูดมากมายจากบรรดาตัวละครภายในเรื่อง มุมมองที่ตัวละครมีต่อตัวเอง เป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้ theme หลักของเรื่องแข็งแรง เพราะความสำเร็จของเพศหญิงมักถูกตีกรอบโดยสังคม “ผู้หญิงหญิงไม่มีวันสำเร็จได้ด้วยตนเอง, ผู้หญิงทำนั่นไม่ได้ ทำนี่ไม่ได้, กีฬานี้ผู้ชายเล่นได้ ผู้หญิงเล่นไม่ได้, ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วก็ต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูก, ผู้หญิงต้องแต่งงาน ต้องหาผู้ชายรวยๆ“ สิ่งเหล่านี้คือตัวอย่างของกรอบทางสังคมที่มีมาอย่างยาวนาน นานจนทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ เราค้นพบเรื่องราวเหล่านี้ในชีวิตประจำวัน จากข่าว จากคำบอกเล่าของผู้คนรอบข้างเสมอ หนังเรื่องนี้จึงเปรียบเสมือนสารถึงเพศหญิงว่าให้สู้ต่อไปและอย่ายอมแพ้ต่อความฝัน
.
เราค้นพบว่าตลอดการรับชมหนังเรื่องนี้เรารักในทุกสิ่งที่หนังเล่ามา โดยเฉพาะนักแสดงทั้ง Emma Watson, Saoirse Ronan, Timothée Chalamet และ Florence Pugh คือเหล่านักแสดงที่พอมาอยู่ด้วยกัน แล้วทำให้หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยสีสัน นักแสดงแต่ละคนถ่ายทอดแต่ละตัวละครออกมาได้ดี มีสเนห์ที่ชวนให้เราหลงรัก เราชอบทุกอย่างมากๆ แต่พอมันดำเนินเรื่องมาจนถึงพาร์ทท้าย เรากลับไม่ชอบพาร์ทท้ายเอาเสียเลย ซึ่งนั่นไม่ใช่ความผิดของหนัง มันเป็นสิ่งที่สมควรเกิดขึ้นในหนังแล้ว เพียงแต่เราดันไม่ชอบมันเพราะมุมมองส่วนตัวของเราเฉยๆ (ซึ่งมันไม่ดีเลยนะ)
.
ในภาพรวม ถึงแม้หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้มอบความบันเทิงสำหรับทุกคน (ด้วยการที่ตัวหนังค่อนข้างถือตัวเป็น feminist พอสมควร) แต่ประเด็นภายในหนังก็ถือว่าทำออกมาได้ทันสมัย โดดเด่นไปด้วยบรรยากาศอบอุ่น เหงา ซึ้ง, การเล่าเรื่องสุดละเมียดละไม, การถ่ายภาพที่ออกแบบมาได้งดงาม และสไตล์การลำดับภาพที่ชวนให้เรื่องน่าสนใจและน่าติดตาม นั่นจึงทำให้หนังเรื่องนี้ เป็น 1 ในหนังที่ไม่ควรพลาดรับชมต้อนรับปี 2020 อีกเรื่องเลย .
[SR] Movie Review : Little Woman - สี่ดรุณี (10/10)
SCORE : 8/10
เรื่องราวว่าด้วยเรื่องของ 4 พี่น้องตระกูล March ที่ตัดสินใจออกจากบ้านเดิมของครอบครัวมาใช้ชีวิตกันเอง โดยมี Jo March ที่มีความฝันอยากเป็นนักเขียน, Meg March อยากเป็นนักแสดง, Amy March อยากเป็นจิตรกร และ Beth March น้องสาวตัวน้อย สิ่งที่ทั้ง 4 คนต้องเผชิญก็คือ การต่อสู้กับกรอบของสังคมที่วัดความสำเร็จของผู้หญิงจากการแต่งงาน
.
เป็นหนังพลังหญิงเปิดปี 2020 ที่ครบรส เส้นเรื่องเต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวที่ชวนให้ติดตามของ 4 พี่น้อง กับเส้นทางชีวิตของแต่ละคนที่แตกต่างกัน แต่มีจุดร่วมเดียวกันคือ “ความฝัน” บรรยากาศภายในเรื่องถูกเช็ตติ้งอยู่ระหว่างปี 1861-1868 แต่ประเด็นกลับใหม่สุดๆ ซึ่งห่างจากปี 2020 ค่อนข้างนาน แต่ประเด็นที่พูดถึงคุณค่าความเป็นผู้หญิงและความสำเร็จ ไม่ได้เก่าตามไปด้วยเลยสักนิดเดียว
.
เราชอบที่หนังเล่าเรื่องราวที่ดูไม่มีอะไร ให้มีอะไรได้ ตัวหนังมีสไตล์การเล่าเรื่องที่โดดเด่น มีการลำดับเรื่องที่น่าสนใจ หลายสิ่งในหนังถูกทำออกมาได้อย่างกลมกล่อม เหงา เศร้า ซึ้งและอบอุ่นเหลือเกิน เราชอบ Lady Bird พอๆ กับที่เราชอบ Little Woman ทั้งสองเรื่องมีจุดร่วมเดียวกันที่น่าสนใจ คือการที่ตัวหนังดำเนินเรื่องโดยตัวละครหญิง และต้องฝ่าฝันอุปสรรคบางอย่าง เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ซึ่ง Greta Gerwig เป็น ผกก. ที่เล่าอะไรแบบนี้ออกมาได้ดีมากๆ
.
ตัวหนังมีความ feminist ที่ชัดเจนมากๆ เพราะมันมาพร้อมกับประเด็นที่ว่าด้วยเรื่องของ “ความสำเร็จ และการถูกตีกรอบจากสังคม” เราค้นพบว่า 1 ในตัวละครหลักที่เราชอบมากๆ อย่าง Jo (รับบทโดย Saoirse Ronan) ซึ่งเป็นตัวละครที่เราชอบที่สุด เส้นทางชีวิตของเธอเต็มไปด้วยขวากหนามมากมาย ปัญหาต่างๆ ที่ถูกหยิบมาเล่า คำพูดมากมายจากบรรดาตัวละครภายในเรื่อง มุมมองที่ตัวละครมีต่อตัวเอง เป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้ theme หลักของเรื่องแข็งแรง เพราะความสำเร็จของเพศหญิงมักถูกตีกรอบโดยสังคม “ผู้หญิงหญิงไม่มีวันสำเร็จได้ด้วยตนเอง, ผู้หญิงทำนั่นไม่ได้ ทำนี่ไม่ได้, กีฬานี้ผู้ชายเล่นได้ ผู้หญิงเล่นไม่ได้, ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วก็ต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูก, ผู้หญิงต้องแต่งงาน ต้องหาผู้ชายรวยๆ“ สิ่งเหล่านี้คือตัวอย่างของกรอบทางสังคมที่มีมาอย่างยาวนาน นานจนทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ เราค้นพบเรื่องราวเหล่านี้ในชีวิตประจำวัน จากข่าว จากคำบอกเล่าของผู้คนรอบข้างเสมอ หนังเรื่องนี้จึงเปรียบเสมือนสารถึงเพศหญิงว่าให้สู้ต่อไปและอย่ายอมแพ้ต่อความฝัน
.
เราค้นพบว่าตลอดการรับชมหนังเรื่องนี้เรารักในทุกสิ่งที่หนังเล่ามา โดยเฉพาะนักแสดงทั้ง Emma Watson, Saoirse Ronan, Timothée Chalamet และ Florence Pugh คือเหล่านักแสดงที่พอมาอยู่ด้วยกัน แล้วทำให้หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยสีสัน นักแสดงแต่ละคนถ่ายทอดแต่ละตัวละครออกมาได้ดี มีสเนห์ที่ชวนให้เราหลงรัก เราชอบทุกอย่างมากๆ แต่พอมันดำเนินเรื่องมาจนถึงพาร์ทท้าย เรากลับไม่ชอบพาร์ทท้ายเอาเสียเลย ซึ่งนั่นไม่ใช่ความผิดของหนัง มันเป็นสิ่งที่สมควรเกิดขึ้นในหนังแล้ว เพียงแต่เราดันไม่ชอบมันเพราะมุมมองส่วนตัวของเราเฉยๆ (ซึ่งมันไม่ดีเลยนะ)
.
ในภาพรวม ถึงแม้หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้มอบความบันเทิงสำหรับทุกคน (ด้วยการที่ตัวหนังค่อนข้างถือตัวเป็น feminist พอสมควร) แต่ประเด็นภายในหนังก็ถือว่าทำออกมาได้ทันสมัย โดดเด่นไปด้วยบรรยากาศอบอุ่น เหงา ซึ้ง, การเล่าเรื่องสุดละเมียดละไม, การถ่ายภาพที่ออกแบบมาได้งดงาม และสไตล์การลำดับภาพที่ชวนให้เรื่องน่าสนใจและน่าติดตาม นั่นจึงทำให้หนังเรื่องนี้ เป็น 1 ในหนังที่ไม่ควรพลาดรับชมต้อนรับปี 2020 อีกเรื่องเลย .
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้