ธปท.เผยเงินบาทเริ่มส่งสัญญาณอ่อนค่า หลังนักลงทุนมองบาทแข็งค่าเกินพื้นฐาน - ไม่ใช่ Safe haven แถมเจอมาตรการคุมเข้ม แนะผู้นำเข้าทำประกันความเสี่ยง ยันกองทุนฟื้นฟูฯ กอดหุ้น BAM แน่น 46-49% หวังนำผลตอบแทนล้างหนี้
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้จัดงาน เปิดตัว Thailand’s Integrated Database for Economics (TiDE) โดยมีนาย นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย มาเปิดงาน
โดยนายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทในปัจจุบัน ว่า ค่าเงินบาทเริ่มเคลื่อนไหว 2 ทิศทาง และมีแนวโน้มอ่อนค่ามากขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการ โดยเฉพาะนำเข้าจะต้องทำประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย เพื่อป้องกันความเสียหายและความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้นได้
สำหรับสาเหตุที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่ามากขึ้น เป็นผลจากค่าเงินดอลลาร์เริ่มปรับตัวแข็งค่า นักลงทุนเริ่มเปลี่ยนมุมมองต่อค่าเงินสกุลภูมิภาค และค่าเงินบาท จากเดิมที่ซื้อเคยล่วงหน้า (Long Position) มาเป็นขายล่วงหน้า (Short Position) ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของทิศทางค่าเงินบาทในช่วงต่อไป
นอกจากนี้ ยังเป็นผลจาก นักลงทุนโลกมองว่า ค่าเงินบาทไม่ใช่ Safe haven อีกต่อไป เนื่องจากปัจจุบันพบว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าเกินกว่าปัจจัยพื้นฐาน
ขณะเดียวกัน แรงกดดันจาก current account เริ่มลดลง เพราะการเกินดุลมีแนวโน้มลดลง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง แม้ว่าอาจจะไม่มีผลต่อค่าเงินบาทโดยตรงก็ตาม นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาถึง Yield Curve เมื่อเทียบกับสหรัฐอาจจะต่ำเกือบที่สุดในอาเซียน ซึ่งทำให้แรงดึงดูดเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินน้อยลง
นายเมธี กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ยืนยันว่า ธปท.ไม่ได้นิ่งนอนใจและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยการเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาทในบางช่วง เพื่อไม่ให้แข็งค่าเร็วเกินไป รวมถึงในช่วงที่ผ่านมา ธปท.ได้ออกมาตรการผ่อนคลายด้านการนำเข้าเงินเข้ามาของผู้ส่งออก เปิดให้คนไทยที่เป็นบุคคลธรรมดาสามารถลงทุนต่างประเทศได้
ขณะเดียวกัน ทองคำ ถือ เป็นปัจจัยที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นด้วย ซึ่งในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับลดลงค่อนข้างเยอะ การขายทองคำลดลงค่อนข้างมาก ส่งผลให้แรงกดดันจากการขายทองคำที่รับเงินตราต่างประเทศลดลง จึงได้หารือกับผู้ค้าทองคำ โดยเปิดให้สามารถซื้อขายเป็นดอลลาร์ได้
“ธปท.ไม่ได้สบายใจในช่วงที่ค่าเงินแข็งค่า ซึ่งธปท.ได้ดำเนินการหลายอย่างเพื่อชะลอการแข็งค่า ทั้งการเข้มงวดในการที่จะติดตามเงินที่ไหลเข้ามาเพื่อเก็งกำไร เรื่องออกมาตรการ เรื่องบัญชีเงินฝากของผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ การที่จะให้รู้ตัวตนที่ชัดเจนของผู้ลงทุนของ Nonresident แม้ว่าค่าเงินจะเริ่มอ่อนค่าแล้วแต่เรายังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด”นายเมธี กล่าว
ขณะที่นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. พอใจหลังจากที่นักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อหุ้น บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM จำนวนมาก โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ 32,000 ล้านบาท จะนำเงินไปชำระหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นประธาน
สำหรับปัจจุบัน หนี้คงเหลือของกองทุนฟื้นฟูฯ อยู่ที่ 8.03 แสนล้านบาท จากหนี้ทั้งหมด 1.13 ล้านล้านบาททั้งนี้ เชื่อว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จะช่วยส่งเสริมให้ BAM มีความเข้มแข็ง และสามารถขยายธุรกิจได้มากขึ้น และสามารถบริหารจัดการงานได้คล่องตัวมากขึ้น เงินจาก IPO จะมาลดหนี้ได้อีกประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท ช่วยลดภาระหนี้จะเหลือประมาณ 7 แสนลบ.
อย่างไรก็ตาม ธปท.ยืนยันว่ากองทุนฟื้นฟูฯ จะคงนโยบายถือหุ้น BAM ในสัดส่วน 46-49% เพื่อนำผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนไปชำระหนี้กองทุนฯต่อไป
" หลัง BAM เข้าตลาดสัดส่วนการถือหุ้นจะลดลงจากเดิมที่ 50% เหลือราว 46-49% ซึ่งต้องดูกรีนชูก่อนว่าจะมีคนใช้แค่ไหน แต่ยืนยันเรายังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เพราะเราต้องการปันผลมาลดภาระหนี้ของกองทุนฟื้นฟู "
สำหรับในวันนี้ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ (PIER) ได้จัดทำเว็บไซต์ศูนย์รวมข้อมูลเศรษฐกิจไทย หรือ Thailand’s Integrated Database for Economics (TiDE) เพื่อเป็นแหล่งรวมสืบค้นข้อมูลเศรษฐกิจไทยที่ครอบคลุมข้อมูลกว่า 25,000 series ใช้งานได้ง่ายขึ้น และเปิดให้สาธารณชนใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อให้ข้อมูลที่มีอยู่เกิดประโยชน์สูงสุด สำหรับเว็บไซต์ที่จัดทำขึ้นคือ
https://tide.pier.or.th https://www.efinancethai.com/LastestNews/LatestNewsMain.aspx?release=y&ref=M&id=L3A1eUlXNTJ6T289
ธปท.ส่งสัญญาณบาทเริ่มอ่อนค่า - ยันกองทุนฟื้นฟูฯ กอดหุ้น BAM แน่น
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้จัดงาน เปิดตัว Thailand’s Integrated Database for Economics (TiDE) โดยมีนาย นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย มาเปิดงาน
โดยนายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทในปัจจุบัน ว่า ค่าเงินบาทเริ่มเคลื่อนไหว 2 ทิศทาง และมีแนวโน้มอ่อนค่ามากขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการ โดยเฉพาะนำเข้าจะต้องทำประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย เพื่อป้องกันความเสียหายและความผันผวนที่อาจจะเกิดขึ้นได้
สำหรับสาเหตุที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่ามากขึ้น เป็นผลจากค่าเงินดอลลาร์เริ่มปรับตัวแข็งค่า นักลงทุนเริ่มเปลี่ยนมุมมองต่อค่าเงินสกุลภูมิภาค และค่าเงินบาท จากเดิมที่ซื้อเคยล่วงหน้า (Long Position) มาเป็นขายล่วงหน้า (Short Position) ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของทิศทางค่าเงินบาทในช่วงต่อไป
นอกจากนี้ ยังเป็นผลจาก นักลงทุนโลกมองว่า ค่าเงินบาทไม่ใช่ Safe haven อีกต่อไป เนื่องจากปัจจุบันพบว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าเกินกว่าปัจจัยพื้นฐาน
ขณะเดียวกัน แรงกดดันจาก current account เริ่มลดลง เพราะการเกินดุลมีแนวโน้มลดลง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง แม้ว่าอาจจะไม่มีผลต่อค่าเงินบาทโดยตรงก็ตาม นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาถึง Yield Curve เมื่อเทียบกับสหรัฐอาจจะต่ำเกือบที่สุดในอาเซียน ซึ่งทำให้แรงดึงดูดเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินน้อยลง
นายเมธี กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ยืนยันว่า ธปท.ไม่ได้นิ่งนอนใจและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยการเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาทในบางช่วง เพื่อไม่ให้แข็งค่าเร็วเกินไป รวมถึงในช่วงที่ผ่านมา ธปท.ได้ออกมาตรการผ่อนคลายด้านการนำเข้าเงินเข้ามาของผู้ส่งออก เปิดให้คนไทยที่เป็นบุคคลธรรมดาสามารถลงทุนต่างประเทศได้
ขณะเดียวกัน ทองคำ ถือ เป็นปัจจัยที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นด้วย ซึ่งในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับลดลงค่อนข้างเยอะ การขายทองคำลดลงค่อนข้างมาก ส่งผลให้แรงกดดันจากการขายทองคำที่รับเงินตราต่างประเทศลดลง จึงได้หารือกับผู้ค้าทองคำ โดยเปิดให้สามารถซื้อขายเป็นดอลลาร์ได้
“ธปท.ไม่ได้สบายใจในช่วงที่ค่าเงินแข็งค่า ซึ่งธปท.ได้ดำเนินการหลายอย่างเพื่อชะลอการแข็งค่า ทั้งการเข้มงวดในการที่จะติดตามเงินที่ไหลเข้ามาเพื่อเก็งกำไร เรื่องออกมาตรการ เรื่องบัญชีเงินฝากของผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ การที่จะให้รู้ตัวตนที่ชัดเจนของผู้ลงทุนของ Nonresident แม้ว่าค่าเงินจะเริ่มอ่อนค่าแล้วแต่เรายังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด”นายเมธี กล่าว
ขณะที่นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. พอใจหลังจากที่นักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อหุ้น บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM จำนวนมาก โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ 32,000 ล้านบาท จะนำเงินไปชำระหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นประธาน
สำหรับปัจจุบัน หนี้คงเหลือของกองทุนฟื้นฟูฯ อยู่ที่ 8.03 แสนล้านบาท จากหนี้ทั้งหมด 1.13 ล้านล้านบาททั้งนี้ เชื่อว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จะช่วยส่งเสริมให้ BAM มีความเข้มแข็ง และสามารถขยายธุรกิจได้มากขึ้น และสามารถบริหารจัดการงานได้คล่องตัวมากขึ้น เงินจาก IPO จะมาลดหนี้ได้อีกประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท ช่วยลดภาระหนี้จะเหลือประมาณ 7 แสนลบ.
อย่างไรก็ตาม ธปท.ยืนยันว่ากองทุนฟื้นฟูฯ จะคงนโยบายถือหุ้น BAM ในสัดส่วน 46-49% เพื่อนำผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนไปชำระหนี้กองทุนฯต่อไป
" หลัง BAM เข้าตลาดสัดส่วนการถือหุ้นจะลดลงจากเดิมที่ 50% เหลือราว 46-49% ซึ่งต้องดูกรีนชูก่อนว่าจะมีคนใช้แค่ไหน แต่ยืนยันเรายังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เพราะเราต้องการปันผลมาลดภาระหนี้ของกองทุนฟื้นฟู "
สำหรับในวันนี้ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ (PIER) ได้จัดทำเว็บไซต์ศูนย์รวมข้อมูลเศรษฐกิจไทย หรือ Thailand’s Integrated Database for Economics (TiDE) เพื่อเป็นแหล่งรวมสืบค้นข้อมูลเศรษฐกิจไทยที่ครอบคลุมข้อมูลกว่า 25,000 series ใช้งานได้ง่ายขึ้น และเปิดให้สาธารณชนใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อให้ข้อมูลที่มีอยู่เกิดประโยชน์สูงสุด สำหรับเว็บไซต์ที่จัดทำขึ้นคือ https://tide.pier.or.th https://www.efinancethai.com/LastestNews/LatestNewsMain.aspx?release=y&ref=M&id=L3A1eUlXNTJ6T289