สวัสดีค่า
ยืมลอคอินของน้องสาวมาตั้งกระทู้ค่ะ
สิ่งที่บอกเล่าต่อไปนี้เป็นของสามีดิฉันเอง ก่อนที่เขาจะเข้ารับการผ่าตัดเขาหาข้อมูลในเนทมาพอสมควรตอนที่จะตัดสินใจว่าผ่าแบบไหน แต่ไม่ค่อยพบข้อมูลเท่าไหร่นัก เขาเลยเขียนประสบการณ์มา แล้วให้ดิฉันเอามาลงในพันทิปเผื่อว่ามีท่านอื่นๆที่ค้นหาข้อมูล จะได้มาพบข้อมูลนี้และเป็นประโยชน์ได้ค่ะ
ข้อมูลเบื้องต้นคร่าวๆ สามีตอนผ่าตัดอายุ 51 ปี เป็นโรคเบาหวานแต่สามารถคุมน้ำตาลได้เองไม่ให้เกินมาตรฐานและไม่ได้รับประทานยาเบาหวานแล้ว (ทำการผ่าตัดเมื่อเดือน พ.ย. 61) ด้านล่างคือข้อมูลที่สามีดิฉันพิมพ์มาค่ะ
ไส้เลื่อนผ่าตัดโดยใช้กล้อง
ข้อมูลที่หาได้ในเน็ท ข้อดีคือแผลเล็กฟื้นตัวได้เร็ว
ขั้นตอนจากประสบการณ์
1.หมอตรวจพบเป็นไส้เลื่อนก็ทำการนัดวันผ่าตัด แล้วให้เลือกว่าจะผ่าแบบเปิด (แผลประมาณ7ซม.) หรือผ่าใช้กล้อง (แผลเท่ารูปากกา 3 รู)
2.หมอผ่าตัดสั่งทำการตรวจเลือด, คลื่นหัวใจ,พบหมออายุรกรรม เพื่อลงความเห็นการผ่าตัด, ตรวจHIV
3.พบพยาบาลห้องผ่าตัด เพื่อสอบถามและแจ้งรายละเอียดต่างๆให้ทราบ
4.ถึงวันนัดผ่าตัด หมอนัดก่อน 1 วัน มีการตรวจเลือด และส่งเข้าหอผู้ป่วย เที่ยงคืนให้งดอาหารและน้ำมีการเจาะสายให้น้ำเกลือ ประมาณ7โมงเช้าเปลี่ยนขวดน้ำเกลือ (พยาบาลบอกขวดที่ให้กลางคืนมีส่วนผสมของน้ำตาล) พยาบาลเช็คน้ำตาลในเลือดโดยเจาะปลายนิ้ว พยาบาลโกนขนบริเวณที่จะผ่า
5.ก่อนถึงเวลาผ่าประมาณครึ่งชั่วโมง พนักงานไปรับตัวจากหอผู้ป่วยมายังหน้าห้องผ่าตัด มาถึงพยาบาลเอาสายมาวัดค่าต่างๆ
6.ได้เวลาผ่าตัด พยาบาลเข็นเข้าห้องผ่าตัด ย้ายจากรถขึ้นเตียงผ่าตัด พยาบาลเอาผ้าพันที่แขน อีกส่วนที่จะวางยาสลบ ก็บอกว่าจะทำให้หลับให้กลืนน้ำลายให้หมด รู้สึกว่ากลืนไปได้2ครั้งแล้วก็ไม่รู้สึกตัว
7.ฟื้นมาอีกทีก็อยู่หน้าห้องผ่าตัด มีอาการจะดิ้น (แขนโดนผ้าพันอยู่) พยาบาลบอกว่าคุณผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว จึงกลับมามีสติ สักพักพนักงานก็มาเข็นรถกลับมาส่งที่หอผู้ป่วย
8.พยาบาลทำการถอดท่อสวน ปัสสาวะออก (คงใส่ตอนที่สลบ) และเอาขวดย้ำเกลือออก
9.แผลไม่รู้สึกเจ็บหรือปวดหรือระบมเลย จะเจ็บเฉพาะตอนเปลี่ยนท่า จากนอนเป็นนั่งหรือนั่งเป็นนอนกับตอนที่ไอเพื่อเอาเสมหะออกจากคอ ซึ่งเจ็บบริเวณแนวสะดือใกล้กระดูกเชิงกราน (อยู่สูงกว่าบริเวณที่เป็นมาก) บุรุษพยาบาลที่ทำการวัดความดันและไข้เป็นช่วงๆ ได้ให้คำแนะนำ ว่าถ้าเจ็บแผลเวลาลุก ให้ตะแครงตัวแล้วงอตัว ทำตามคำแนะนำก็ไม่หาย เลยพบวิธีด้วยตัวเอง โดยเอามือโน้มที่เข่าเพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อที่ท้องทำงาน ก็แก้ปัญหาได้ กับการเอาเสมหะออก ก็ไม่ต้องไอแรงๆ ทำเบาๆและงอตัวเสมหะก็ออกได้
10.กลับมาที่หอผู้ป่วยประมาณบ่าย 3 โมง (ลงไปประมาณ 11 โมง) สักพักอาหารเย็นก็มาส่ง ก็พยายามกิน (ยังไม่ค่อยอยากกิน) ช่วงเย็นมีหมอ (อายุน้อยๆที่หอผู้ป่วย) เดินมาบอกว่าพรุ่งนี้ให้กลับบ้านได้ จริงๆจะให้กลับวันนี้แต่เนื่องจากเย็นแล้วกลัวเดินทางไม่สะดวก ผมเลยถามหมอว่าสามารถลุกเดินออกกำลังกายได้หรือไม่ หมอตอบว่าได้ ช่วงค่ำกับช่วงเช้าจึงได้ไปเดินออกกำลังกายพักใหญ่ๆ(เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว) ช่วงค่ำพยาบาลมาถามเรื่องปัสสาวะซึ่งยังไม่ได้ปัสสาวะเลย พยาบาลบอกว่าถ้าเที่ยงคืนยังไม่ปัสสาวะก็จะทำการสวนท่อปัสสาวะ เลยพยายามกินน้ำให้เยอะๆ จนปัสสาวะได้ (เจ็บแสบท่อปัสสาวะมาก ยิ่งกว่าตรงแผลผ่าตัด)
12.เช้าวันรุ่งขึ้นได้ถามพยาบาลว่าจะให้กลับกี่โมง พยาบาลตอบว่าต้องรอให้หมอขึ้นมาดูก่อน จนเกือบ 11 โมง พยาบาลจึงมาบอกว่าหมอบอกให้กลับได้เลย ให้ไปจ่ายเงิน (เนื่องจากใช้บัตรทอง ถ้าผ่าแบบใช้กล้องต้องเสียใช้จ่ายเพิ่ม กรณีนี้คือเพิ่ม 3,800 บาท) พยาบาลทำการถอดสายน้ำเกลือทื่แขนออกแลัวนำพลาสเตอร์กันน้ำมาปิดที่แผล บอกว่ากลับไปอาบน้ำได้เลย
13.นั่งรถกลับ รถสะเทือนมากๆ ตอนผ่านลูกระนาด จะเจ็บที่กล้ามท้องมากต้องบอกให้คนขับ ขับเบาเบา
14.กลับมานอนพักฟื้นที่บ้าน ผ่านไป 2 วันแทบไม่เจ็บเวลาเปลี่ยนท่า ไม่ต้องใช้มือโน้มเข่าแล้ว วันรุ่งขึ้นเลยทดลองหยุดยาแก้ปวด ปรากฏว่าปวดมาก (แสดงว่าที่ผ่านมาไม่ปวดที่แผลเป็นผลมาจากยาแก้ปวด ตอนอยู่โรงพยาบาลใช้ฉีดยาเข้าทางสายน้ำเกลือ) ยาแก้ปวดให้มา 2 ตัว โดยพยาบาลแจ้งว่าถ้ากินตัวแรกแล้วยังไม่หายปวดให้กินยาพาราเพิ่มได้ วันนั้นเลยกินยาพาราเพิ่มแต่อาการปวดแทบไม่ลดลงเลย
15.อาการต่างๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 6 ซึ่งเป็นวันที่หมอนัดไปพบหมอ หมอให้เจ้าหน้าที่แกะพาสเตอร์ออกเพื่อดูแผลผ่าตัด และหมออนุญาตให้ขับรถ ขี่มอเตอร์ไซด์และออกกำลังกายโดยวิธีเดินได้ ต้องระวังอย่าให้ตาข่ายที่ยึดอยู่ภายในช่องท้องเลื่อน หมอนัดดูอาการอีก 3 เดือนข้างหน้า
16.เมื่อถามหมอถึงอาการที่เจ็บกล้ามท้อง หมอตอบว่าตาข่ายที่ใส่เข้าไปยึดโดยยิงหมุดเข้ากับกล้ามเนื้อท้อง
17.หนึ่งเดือนถัดมาหมอนัดดูอาการ ทุกอย่างปกติ มีอาการตรงกล้ามเนื้อเจ็บตรงขาหนีบด้านล่างกับข้างกระดูกเชิงกรานบางครั้งถ้ามีการเคลื่อนไหวมากๆเคยทดสอบเอามือกดตรงที่มีอาการ จะเจ็บมาก (เหมือนกดลวดตำเข้าไปในกล้ามเนื้อ) ตอนหลังถ้ารู้สึกมีอาการก็จะหยุดกิจกรรมที่ทำ แจ้งหมอ หมอบอกไม่เกี่ยวและให้ยาคลายกล้ามเนื้อมากิน และหมอบอกให้ออกกำลังกายโดยให้วิ่งได้เลย
18.อาการที่ขาหนีบและข้างกระดูกเชิงกรานค่อยๆดีขึ้นจน 2 เดือนก็กลับมาเป็นปกติ
ใส่รูปในสปอยนะคะ รูปใหญ่ไม่ได้ลดขนาดลง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ใส่ข้อความ
ถ้ามีข้อสงสัยใดๆ สอบถามได้นะคะ แต่อาจจะตอบช้าหน่อยนึงเพราะว่าต้องวานให้น้องสาวตอบให้
บอกเล่าประสบการณ์ผ่าตัดไส้เลื่อนโดยการส่องกล้อง
ยืมลอคอินของน้องสาวมาตั้งกระทู้ค่ะ
สิ่งที่บอกเล่าต่อไปนี้เป็นของสามีดิฉันเอง ก่อนที่เขาจะเข้ารับการผ่าตัดเขาหาข้อมูลในเนทมาพอสมควรตอนที่จะตัดสินใจว่าผ่าแบบไหน แต่ไม่ค่อยพบข้อมูลเท่าไหร่นัก เขาเลยเขียนประสบการณ์มา แล้วให้ดิฉันเอามาลงในพันทิปเผื่อว่ามีท่านอื่นๆที่ค้นหาข้อมูล จะได้มาพบข้อมูลนี้และเป็นประโยชน์ได้ค่ะ
ข้อมูลเบื้องต้นคร่าวๆ สามีตอนผ่าตัดอายุ 51 ปี เป็นโรคเบาหวานแต่สามารถคุมน้ำตาลได้เองไม่ให้เกินมาตรฐานและไม่ได้รับประทานยาเบาหวานแล้ว (ทำการผ่าตัดเมื่อเดือน พ.ย. 61) ด้านล่างคือข้อมูลที่สามีดิฉันพิมพ์มาค่ะ
ไส้เลื่อนผ่าตัดโดยใช้กล้อง
ข้อมูลที่หาได้ในเน็ท ข้อดีคือแผลเล็กฟื้นตัวได้เร็ว
ขั้นตอนจากประสบการณ์
1.หมอตรวจพบเป็นไส้เลื่อนก็ทำการนัดวันผ่าตัด แล้วให้เลือกว่าจะผ่าแบบเปิด (แผลประมาณ7ซม.) หรือผ่าใช้กล้อง (แผลเท่ารูปากกา 3 รู)
2.หมอผ่าตัดสั่งทำการตรวจเลือด, คลื่นหัวใจ,พบหมออายุรกรรม เพื่อลงความเห็นการผ่าตัด, ตรวจHIV
3.พบพยาบาลห้องผ่าตัด เพื่อสอบถามและแจ้งรายละเอียดต่างๆให้ทราบ
4.ถึงวันนัดผ่าตัด หมอนัดก่อน 1 วัน มีการตรวจเลือด และส่งเข้าหอผู้ป่วย เที่ยงคืนให้งดอาหารและน้ำมีการเจาะสายให้น้ำเกลือ ประมาณ7โมงเช้าเปลี่ยนขวดน้ำเกลือ (พยาบาลบอกขวดที่ให้กลางคืนมีส่วนผสมของน้ำตาล) พยาบาลเช็คน้ำตาลในเลือดโดยเจาะปลายนิ้ว พยาบาลโกนขนบริเวณที่จะผ่า
5.ก่อนถึงเวลาผ่าประมาณครึ่งชั่วโมง พนักงานไปรับตัวจากหอผู้ป่วยมายังหน้าห้องผ่าตัด มาถึงพยาบาลเอาสายมาวัดค่าต่างๆ
6.ได้เวลาผ่าตัด พยาบาลเข็นเข้าห้องผ่าตัด ย้ายจากรถขึ้นเตียงผ่าตัด พยาบาลเอาผ้าพันที่แขน อีกส่วนที่จะวางยาสลบ ก็บอกว่าจะทำให้หลับให้กลืนน้ำลายให้หมด รู้สึกว่ากลืนไปได้2ครั้งแล้วก็ไม่รู้สึกตัว
7.ฟื้นมาอีกทีก็อยู่หน้าห้องผ่าตัด มีอาการจะดิ้น (แขนโดนผ้าพันอยู่) พยาบาลบอกว่าคุณผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว จึงกลับมามีสติ สักพักพนักงานก็มาเข็นรถกลับมาส่งที่หอผู้ป่วย
8.พยาบาลทำการถอดท่อสวน ปัสสาวะออก (คงใส่ตอนที่สลบ) และเอาขวดย้ำเกลือออก
9.แผลไม่รู้สึกเจ็บหรือปวดหรือระบมเลย จะเจ็บเฉพาะตอนเปลี่ยนท่า จากนอนเป็นนั่งหรือนั่งเป็นนอนกับตอนที่ไอเพื่อเอาเสมหะออกจากคอ ซึ่งเจ็บบริเวณแนวสะดือใกล้กระดูกเชิงกราน (อยู่สูงกว่าบริเวณที่เป็นมาก) บุรุษพยาบาลที่ทำการวัดความดันและไข้เป็นช่วงๆ ได้ให้คำแนะนำ ว่าถ้าเจ็บแผลเวลาลุก ให้ตะแครงตัวแล้วงอตัว ทำตามคำแนะนำก็ไม่หาย เลยพบวิธีด้วยตัวเอง โดยเอามือโน้มที่เข่าเพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อที่ท้องทำงาน ก็แก้ปัญหาได้ กับการเอาเสมหะออก ก็ไม่ต้องไอแรงๆ ทำเบาๆและงอตัวเสมหะก็ออกได้
10.กลับมาที่หอผู้ป่วยประมาณบ่าย 3 โมง (ลงไปประมาณ 11 โมง) สักพักอาหารเย็นก็มาส่ง ก็พยายามกิน (ยังไม่ค่อยอยากกิน) ช่วงเย็นมีหมอ (อายุน้อยๆที่หอผู้ป่วย) เดินมาบอกว่าพรุ่งนี้ให้กลับบ้านได้ จริงๆจะให้กลับวันนี้แต่เนื่องจากเย็นแล้วกลัวเดินทางไม่สะดวก ผมเลยถามหมอว่าสามารถลุกเดินออกกำลังกายได้หรือไม่ หมอตอบว่าได้ ช่วงค่ำกับช่วงเช้าจึงได้ไปเดินออกกำลังกายพักใหญ่ๆ(เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว) ช่วงค่ำพยาบาลมาถามเรื่องปัสสาวะซึ่งยังไม่ได้ปัสสาวะเลย พยาบาลบอกว่าถ้าเที่ยงคืนยังไม่ปัสสาวะก็จะทำการสวนท่อปัสสาวะ เลยพยายามกินน้ำให้เยอะๆ จนปัสสาวะได้ (เจ็บแสบท่อปัสสาวะมาก ยิ่งกว่าตรงแผลผ่าตัด)
12.เช้าวันรุ่งขึ้นได้ถามพยาบาลว่าจะให้กลับกี่โมง พยาบาลตอบว่าต้องรอให้หมอขึ้นมาดูก่อน จนเกือบ 11 โมง พยาบาลจึงมาบอกว่าหมอบอกให้กลับได้เลย ให้ไปจ่ายเงิน (เนื่องจากใช้บัตรทอง ถ้าผ่าแบบใช้กล้องต้องเสียใช้จ่ายเพิ่ม กรณีนี้คือเพิ่ม 3,800 บาท) พยาบาลทำการถอดสายน้ำเกลือทื่แขนออกแลัวนำพลาสเตอร์กันน้ำมาปิดที่แผล บอกว่ากลับไปอาบน้ำได้เลย
13.นั่งรถกลับ รถสะเทือนมากๆ ตอนผ่านลูกระนาด จะเจ็บที่กล้ามท้องมากต้องบอกให้คนขับ ขับเบาเบา
14.กลับมานอนพักฟื้นที่บ้าน ผ่านไป 2 วันแทบไม่เจ็บเวลาเปลี่ยนท่า ไม่ต้องใช้มือโน้มเข่าแล้ว วันรุ่งขึ้นเลยทดลองหยุดยาแก้ปวด ปรากฏว่าปวดมาก (แสดงว่าที่ผ่านมาไม่ปวดที่แผลเป็นผลมาจากยาแก้ปวด ตอนอยู่โรงพยาบาลใช้ฉีดยาเข้าทางสายน้ำเกลือ) ยาแก้ปวดให้มา 2 ตัว โดยพยาบาลแจ้งว่าถ้ากินตัวแรกแล้วยังไม่หายปวดให้กินยาพาราเพิ่มได้ วันนั้นเลยกินยาพาราเพิ่มแต่อาการปวดแทบไม่ลดลงเลย
15.อาการต่างๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 6 ซึ่งเป็นวันที่หมอนัดไปพบหมอ หมอให้เจ้าหน้าที่แกะพาสเตอร์ออกเพื่อดูแผลผ่าตัด และหมออนุญาตให้ขับรถ ขี่มอเตอร์ไซด์และออกกำลังกายโดยวิธีเดินได้ ต้องระวังอย่าให้ตาข่ายที่ยึดอยู่ภายในช่องท้องเลื่อน หมอนัดดูอาการอีก 3 เดือนข้างหน้า
16.เมื่อถามหมอถึงอาการที่เจ็บกล้ามท้อง หมอตอบว่าตาข่ายที่ใส่เข้าไปยึดโดยยิงหมุดเข้ากับกล้ามเนื้อท้อง
17.หนึ่งเดือนถัดมาหมอนัดดูอาการ ทุกอย่างปกติ มีอาการตรงกล้ามเนื้อเจ็บตรงขาหนีบด้านล่างกับข้างกระดูกเชิงกรานบางครั้งถ้ามีการเคลื่อนไหวมากๆเคยทดสอบเอามือกดตรงที่มีอาการ จะเจ็บมาก (เหมือนกดลวดตำเข้าไปในกล้ามเนื้อ) ตอนหลังถ้ารู้สึกมีอาการก็จะหยุดกิจกรรมที่ทำ แจ้งหมอ หมอบอกไม่เกี่ยวและให้ยาคลายกล้ามเนื้อมากิน และหมอบอกให้ออกกำลังกายโดยให้วิ่งได้เลย
18.อาการที่ขาหนีบและข้างกระดูกเชิงกรานค่อยๆดีขึ้นจน 2 เดือนก็กลับมาเป็นปกติ
ใส่รูปในสปอยนะคะ รูปใหญ่ไม่ได้ลดขนาดลง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ถ้ามีข้อสงสัยใดๆ สอบถามได้นะคะ แต่อาจจะตอบช้าหน่อยนึงเพราะว่าต้องวานให้น้องสาวตอบให้