(ครั้งแรกของผม) ไส้เลื่อน! ผ่าตัดส่องกล้อง

ยืมล็อคอินแฟนมาแชร์ประสบการณ์ตรงครับ
ขอเกริ่นก่อนเลย ว่าผมเป็นไส้เลื่อนมานานแล้ว ลงลูกอัณฑะด้านขวา อาการคือ ไส้ลงมา แต่ยังคงดันขึ้นได้อยู่นะครับ ช่วงหลังมานี่ลงบ่อยมากๆ นั่ง นอน ยืน เดิน ก็ลงมาตลอดรู้สึกตึงๆและรำคาญมากครับ จึงตัดสินใจไปพบหมอที่ รพ.รัฐแห่งหนึ่ง เมื่อเดือน ธันวาคม 2559 เข้าพบหมอ พร้อมนัดผ่าวันวาเลนไทน์ 2560 เลยครับ (รีเควสหมอ ขอแบบส่องกล้อง) เพราะผมกลัวเจ็บ และคิดว่าแผลน่าจะหายเร็วกว่าผ่าแบบเปิดแผล

----- และแล้วก็ถึงเวลา Admit -----

13-02-2560 หมอนัด Admit ที่ รพ. ช่วงเช้า 9 โมง - เที่ยง ผมขับรถมาจาก ตจว. ตั้งแต่เมื่อวาน ในใจก็ลุ้นภาวนาขอให้มีที่จอดรถใน รพ. ด้วยเถิด (เพราะที่จอดรถหายากมากครับ วันที่มาตรวจครั้งแรก ก็ไม่มีที่จอด) สุดท้ายผมโชคดี ได้ที่จอดรถ หน้าตึกพอดีเลย ดีใจสุดๆ ยิ้ม ถือเป็นการเปิดฤกษ์ที่ดีในการเริ่มต้นผ่าตัดครั้งแรกของผมครับ เนื่องจากผมมาถึงก่อน 10 โมง ยังอยู่ในเวลานัด พอจะมีเวลาเหลือไปไหว้พระพรหมฯ พระภูมิเจ้าที่ เพื่อขอพรและแสดงความเคารพท่านก่อน
จากนั้นก็เดินเข้าตึกยื่นใบนัดแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อรับห้อง เตรียม admit (ก่อนหน้านี้จะมีเจ้าหน้าที่โทรมาคอนเฟิร์มเราตั้งแต่ก่อนวันนัด จนมาถึงวันนัดช่วงเช้าก็ยังคงโทรมาย้ำเราอีกครั้งครับ)
ได้ห้องเรียบร้อย เป็นห้องพิเศษครับ จองไว้ตั้งแต่มาตรวจครั้งแรก พอเดินเข้าห้องได้แปปเดียว พยาบาล 2 คนก็เข้ามาจัดการให้ผมเปลี่ยนชุดคนไข้ พร้อมซักประวัติโดยละเอียด แพ้ยา? เป็นมานาน? นน.ส่วนสูง? ฯลฯ และอีกมากมายหลายอย่างครับ *** ห้องพิเศษ จะต้องมีญาติมาเฝ้าอย่างน้อย 1 คนนะครับ ผมลากแฟนผมมาเฝ้าซะเลย
ซักประวัติกันเสร็จเรียบร้อย นั่งเล่นนอนเล่นรอสักครู่ ก็มีการเจาะเลือด / วัดความดัน / มีรถเข็นมารับพาไปเอ็กซเรย์ / ตรวจคลื่นหัวใจ / เจาะเข็มคาไว้ที่หลังมือ เพื่อรอให้น้ำเกลือพรุ่งนี้เช้าก่อนผ่าตัด สักพักก็มีหมอมาทำเครื่องหมายวงกลมไว้ที่ขา เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเราต้องผ่าข้างไหน ผ่าผิดล่ะแย่เลย -"-
เสร็จแล้วครับภารกิจวันนี้ พยาบาลแจ้งให้นอนตอน 2 ทุ่ม มียาคลายเครียดมาให้ 1 เม็ดครับ แต่ถึงจะกินยาแล้ว ผมก็ยังนอนไม่ค่อยหลับอยู่ดี ตื่นเต้น+กลัวมากจริงๆครับ T-T
ปล. คืนนี้เริ่มงดน้ำและอาหารตั้งแต่เที่ยงคืนจนกว่าจะผ่าเสร็จนะครับ

14-02-2560 ---- ฉลองวาเลนไทน์
"ครั้งแรกกับการผ่าตัดของผม"
05.30 น. พยาบาลเข้ามาวัดความดัน พร้อมกับบอกให้ผมอาบน้ำเปลี่ยนชุดเตรียมตัวผ่าตัดได้เลย เพราะจะไม่ได้อาบอีกหลายวัน
06.30 น. พยาบาลมาให้น้ำเกลือ
07.00 - 11.00 น. คือ ช่วงเวลาแห่งการรอคอยที่แสนจะทรมารจิตใจของผมมากครับ รอจนน้ำเกลือหมดไป 1 ถุงต่อด้วยถุงที่ 2 แล้วก็ยังไม่มีใครมารับไปผ่าสักที มันลุ้น มันตื่นเต้น มันกลัวไปหมด
11.30 น. มาแล้วครับ มาแล้ว รถเข็นพร้อมพยาบาลและผู้ช่วยอีก 3-4 คน มารับผมไปเตรียมตัวผ่าแล้วครับ
*** ผมผ่าแบบส่องกล้อง มีรู 3 รูตั้งแต่สะดือลงมา เป็นแนวตั้ง
รถเข็นพาผมไปยังอีกตึกหนึ่ง จำได้ว่าเป็นห้องปลอดเชื้อ พอผมผ่านประตูเข้าไปเท่านั้นแหละ สัมผัสได้ถึงบรรยากาศเย็นยะเยือก ชวนให้ขนลุก แต่ก็ยังดีครับที่ผมมีเพื่อนนอนรอผ่าตัดอยู่อีก 3-4 คน ผมก็ขึ้นเตียงนอนรอต่อไปอีกนานเลย เจ้าหน้าที่เหมือนรู้ว่าผมหนาว ก็เอาผ้ามาห่มให้ หรือเรียกว่าห่อตัวกันเลยดีกว่าครับ ผมต้องรอนานหน่อย เพราะได้คิวผ่าช่วงบ่าย หมอเดินมาย้ำอีกที ว่าผ่าข้างนี้ใช่มั้ย? เพื่อป้องกันการผ่าผิดที่ครับ

----- ได้เวลาเข้าห้องผ่าตัด -----
มีเจ้าหน้าที่วิสัญญี มาตรวจคลื่นหัวใจ ให้ Oxygen และแล้วทุกๆอย่างที่ผ่านเข้ามาในหัว ทุกๆความรู้สึกของผมก็ดับไป....
ตื่นมาอีกที รู้สึกจะเป็นตอนที่โดนยกออกจากเตียงผ่าตัด ..
คำถามแรกของผม
ผม : เสร็จแล้วเหรอครับ สวนฉี่ให้ผมยังครับ ?
** เนื่องจากก่อนหน้านี้ผมก็เปิดอ่านใน pantip นี่ล่ะครับ ว่าหลังผ่าเสร็จห้ามลืมบอกให้พยาบาลสวนฉี่ เพราะอาจจะเกิดการติดเชื้อได้ หากเราไม่ฉี่ออก
พยาบาล : สวนแล้วค่ะ เสร็จแล้วนะคะ
ผมค่อนข้างโล่งใจนะ ที่ผมตื่นมาแล้วไม่มีสายฉี่คาอยู่ เพราะผมได้ข่าวมาว่า สวนฉี่นั้นเจ็บ T-T
ผมกลับมาถึงห้องพักเวลาประมาณ 17.00 น. แล้วครับ แฟนผมบอกว่า ผมไปนานมาก เป็นห่วงแทบแย่ (ซึ้งครับซึ้ง)
มาถึงห้อง ผมยังรู้สึกเหมือนปวดฉี่อยู่เลย ก็เลยบอกพยาบาลว่าสวนฉี่ให้ผมรึยัง? (ยังคงกังวลเรื่องฉี่อยู่)
พยาบาลบอกว่าตอนสลบอยู่เพิ่งถอดสายฉี่ออกไปเองนะคะ ปวดฉี่จริงหรือป่าว?
พยาบาลก็เลยไปหยิบกระบอกฉี่ในห้องน้ำออกมาให้ผมนอนฉี่บนเตียงนี่ล่ะ แต่ขั้นตอนนี้แฟนผมช่วยนะครับ พยาบาลออกไปนอกห้องแล้ว
ผมพยายามบังคับให้ฉี่ออกมาอยู่สักพักหนึ่ง ในที่สุดฉี่ก็ออกครับ (แต่แฟนผมบอกว่าฉี่ไม่เยอะนะ นิดหน่อย) แต่ก็โอเคแล้วที่สามารถฉี่เองได้ โล่งครับโล่ง..
มาต่อกันเรื่องอาการคืนแรกหลังผ่าตัดกันดีกว่าครับ
หลังจากฉี่แล้ว ผมก็สลึมสลือ ยังเมายาสลบอยู่ครับ ตื่นมาดื่มน้ำ ดื่มนมได้นิดหน่อย แต่เนื่องจากผมหิว ผมก็ขอกินกล้วย แต่พอกินไปได้เกือบ 1 ลูก มันจะอ้วกครับ รู้สึกคลื่นไส้ แต่ก็ระงับเอาไว้ได้ ไม่อ้วกออกมา จากนั้นผมก็หลับต่อ หลับๆตื่นๆครับ เพราะเริ่มปวดแผลมาก ตึงๆและปวดมากครับ จนต้องขอมอร์ฟีนระงับปวดจากพยาบาล
ช่วงระหว่างคืน ก็จะมีพยาบาลมาให้ยาฆ่าเชื้อทุกๆ 6 ชั่วโมง เป็นเวลา 24 ชั่วโมง รวมถึง มีการวัดความดันตลอดเวลา เป็นเวลา 2 ชั่วโมง แถมด้วยพยาบาลเดินเข้าๆออกๆ วัดความดัน วัดไข้ ฉีดยา ให้น้ำเกลือ ตลอดทั้งคืนครับ (แฟนผมบอกมาว่าแทบไม่ได้นอนเลย)

15-02-2560 รุ่งเช้าหลังผ่าตัด ปวดแผล+ตึงมากครับ ผมไม่กล้าลุกจากเตียงไปฉี่ แต่โดนหมอและพยาบาล รวมถึงแฟนผม บังคับให้ผมเดินเอง มิฉะนั้น ท้องจะอืด ลำไส้จะไม่ทำงานเป็นปกติ รวมถึงแผลจะเกิดพังผืดได้
ด้วยความจำใจ ผมจึงต้องฝืนลุกจากเตียงเดินไปฉี่จนได้
แรกๆก็จะเจ็บมาก แต่พอเริ่มเดินบ่อยขึ้น ก็จะเริ่มดีขึ้นครับ แต่ทุกครั้งหลังจากล้มตัวลงนอน และลุกขึ้นมาเดินใหม่ ก็เจ็บแผลทุกครั้งไป
**แนะนำสำหรับคนที่กำลังจะผ่า ให้รีบลุกเดินเองให้ได้นะครับ แล้วก็เดินบ่อยๆ ลำไส้จะได้กลับมาทำงานระบบการย่อยอาหารจะได้ดีขึ้น ขับถ่ายก็จะกลับมาเป็นปกติเร็วๆครับ
ส่วนตัวผม ฉี่ได้เองแล้วในตอนเช้า ขับถ่ายได้เองในช่วงค่ำครับ
เนื่องจากวันนี้ผมมีไข้ต่ำๆ หมอจึงยังไม่อนุญาตให้กลับบ้าน นอน รพ.กันต่อไป ...

16-02-2560 เมื่อเช้าวัดไข้แล้วไม่มีไข้ครับ หมอเวรเข้ามาหาตั้งแต่เช้า ถามว่ากลับบ้านมั้ย กลับบ้านได้แล้วเนอะ ไอ้เราก็อยากกลับแล้ว รีบตอบเลยครับ "กลับบ้านครับ"
แฟนผมรีบอาบน้ำแต่งตัว เก็บของรอตั้งแต่เช้า
มีพยาบาลเข้ามาทำแผลให้ก่อนกลับบ้าน พร้อมกับแจกผ้าเทปปิดแผลให้ 1 ชุด
พยาบาลบอกว่า ไม่ต้องแกะแผลออกจนกว่าจะครบ 7 วัน นับตั้งแต่วันผ่า.. จากนั้นก็ให้ไปที่ รพ.ใกล้บ้าน หรืออนามัยก็ได้ ให้เค้าทำแผลให้ แล้วก็ใช้ผ้าเทปปิดแผลที่ให้ไป ปิดแผลไว้จนกว่าจะถึงเวลาที่หมอนัดตรวจอีกครั้ง (น่าจะประมาณอีก 2 อาทิตย์จากนี้ครับ)
ผมก็รอไปรอมา เดินไปเดินมา นั่งๆนอนๆอยู่ในห้องตลอดทั้งวัน กว่า รพ.จะทำเรื่องออกได้ ก็ปาเข้าไป บ่าย 4 โมงเย็น พอดีครับ
อาการวันนี้ มีความตึงที่แผลด้านใน ปวดๆ ชาที่ต้นขาเป็นปกติครับ

24/02/60
ครบ 10 วัน อาการ คือ เดินได้ช้าๆ แผลภายนอกปกติดี ไม่รู้สึกเจ็บ แต่จะรู้สึกตึงแผลด้านในมากกว่า
ผมยังไม่กล้าอาบน้ำเลยครับ ทำได้แค่เช็ดตัว เพราะกลัวแผลจะเปียก ทั้งๆที่พยาบาลก็ติดกันน้ำไว้ให้แล้ว แต่ด้วยความกังวล ผมคิดว่าไม่อาบดีกว่า สบายใจกว่าครับ

03/02/60
หมอนัดตรวจครั้งแรก หลังผ่าตัดมา 10 กว่าวัน
สิ่งที่สงสัย
อาการชาที่ต้นขา ?
ก้อนแข็ง ?
คำตอบ คือ ปกติครับ อาการจะค่อยๆดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป 1-2 เดือน

16/03/60
ครบ 1 เดือน เดินคล่องขึ้นแล้ว แต่ยังคงต้องรักษาตัวไม่ทำงานหนัก ไม่ยกของหนักกันต่อไป

16/05/60
ครบ 3 เดือน เดินตัวปลิวแล้วครับ ยิ้ม
แต่ยังคงต้องระวังเรื่องยกของหนัก การไอ จาม เดินขึ้นลงบันได ก็พยายามดูแลตัวเองไม่ให้พลาดครับ
ส่วนอาการชา ดีขึ้นเป็นลำดับ แทบจะหายเป็นปกติแล้วล่ะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่