ผีแม่หม้าย...
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับปู่โอด ปัจจุบันปู่ได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยโรคชรา จึงเล่าเรื่องนี้เป็นวิทยาทาน ความบันเทิงหรืออย่างไรแล้วแต่วิจารณญานเพื่อเป็นการรำลึกถึงปู่ เจ้าของเรื่องราวอันเป็นที่รักของหลานๆ
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสักยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา.........
บ้านเราอยู่อยุธยา สมัยนั้นมีช่วงหนึ่งที่ผีแม่หม้ายกำลังเป็นกระแสเลยก็ว่าได้ ใครในหมู่บ้านที่นอนตายไปเฉยๆก็จัดว่าเป็นฝีมือของผีแม่หม้าย โดยเฉพาะกลุ่มชายหนุ่ม ชายหนุ่มในหมู่บ้านต่างก็ทาเล็บแดงทาปากแดงกันเป็นแถวเพื่อหลอกผีแม่หม้าย ว่าฉันไม่ใช่ผู้ชายนะไม่ต้องมาเอาฉันไปอยู่ด้วย
ปู่โอด..(คือปู่ของเราเอง) ทุกเช้าปู่จะไปร้านชำเล็กๆในหมู่บ้านที่มีเพื่อนๆรุ่นราวคราวเดียวกันกับแกในตอนนั้น อายุปู่ในตอนนั้น ก็สักประมาน ห้าสิบกว่าเห็นจะได้ ไปนั่งกินกาแฟ โอเลี้ยง และจับกลุ่มสนทนา แน่นอนล่ะว่าวันนี้คงจะไม่พ้นเรื่องผีแม่หม้าย เพื่อนๆของปู่บางคนก็ทาเล็บสีแดง มือบ้าง เท้าบ้าง แล้วแต่จะสะดวก บางคนก็นั่งปากแดงเวลาซดกาแฟ ลิปจะเปื้อนขอบแก้วกาแฟ ต่างคนก็ต่างขบขันกันเอง ปู่โอดก็เป็นคนนึงที่หัวเราะชอบใจที่เพื่อนๆที่ แต่งตัวหลอกผีแม่หม้าย
“โอด แกนั่งขำพวกข้า แกไม่กลัวผีแม่หม้ายเหรอ” เพื่อนแกถาม
“ข้าไม่กลัวหรอก ผีแม่มงแม่หม้ายอะไร ลองมาหาข้าสิจะจับทำเมียเสียให้หมด” ปู่กล่าวไว้ โดยไม่ยอมเสียเชิงนักเลงเก่า
“แกทำพูดไป ถ้ามันมาจริงๆจะแย่เอานา “ เพื่อนแกเตือน ความปากพล่อยของปู่ “เออ ให้มันมาเหอะ” ปู่ก็ยังเก่งอยู่ และวงสนทนาก็ยังดำเนินต่อไป สักพัก ก็แยกย้าย
ค่ำคืนที่น่าจดจำของปู่..ไม่ใช่สิ ของทุกคนก็มาถึง
บ้านเรามีคลองอยู่หน้าบ้านถ้าจะเดินเข้าบ้านต้องข้ามสะพานไม้เข้ามา สะพานเป็นไม้กระดานต่อกันหน้ากว้างพอแค่ขับจักรยานข้ามได้แบบต้องเจ๋งจริงๆ ความยาวสักสิบกว่าเมตรน่าได้ เวลาผ่านไปสักประมานสองทุ่ม สมัยก่อนบ้านเรือนห่างกัน ทีวียังมีไม่ครบทุกบ้านเลย เวลานี้คนส่วนมากก็ปิดไฟนอนกันแทบจะทุกบ้าน ที่บ้านเรามี ปู่ ย่า เราและ น้องสาว กำลังจะเข้ามุ้งนอน “พี่โอดๆ” มีเสียงเรียกมาจากสะพานฝั่งโน้น เสียงนั้นเย็น ยาน ดูมีพลัง เรียกซ้ำอยู่หลายเที่ยว จนทุกคนมั่นใจว่าเป็นผู้หญิง “เปิดไฟซิ “ ปู่บอก เราเอื้อมมือไปกดสวิตซ์ไฟ ไฟในบ้านส่องสว่างขึ้น เสียงเรียกนั้น ยังคงอยู่ “พี่โอดๆ มานี่สิ ออกมาสิ” เราในตอนนั้นยังเด็กน่าจะสักสิบขวบ ยังงงๆอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น ปู่เดินไปมองที่ช่องหน้าต่างหน้าบ้านเป็นคนแรก แล้วสะดุ้งสุดตัว เดินตัวสั่นไปหยิบปืนลูกซองยาวที่วางพิงอยู่ข้างฝาบ้าน ย่าเลยเดินไปมองที่ช่องหน้าต่างว่าข้างนอกนั้นมันคืออะไร สิ่งที่ย่าเห็น (แกเล่าตอนเช้า) เห็นผู้หญิงสองคน คนนึงใส่ชุดแดงคนนึงใส่ชุดม่วง เป็นชุดยาวๆ จากแสงของพระจันทร์ แกว่าน่าจะอายุประมานสี่สิบขึ้นไป แต่สวยมากผมยาว ผิวขาว ทาปากแดง แกเห็นตกใจหันหลังนั่งลงผิงฝาบ้านเรียกหลานสองคนมาสู่อ้อมกอด นางสองคนนั้นยังคงส่งเสียงเรียกปู่อยู่ตลอดเวลา จนมันดังเข้ามาในหู ปู่แกคงกลัวมากตัวสั่นเทา มือก็บรรจุกระสุนใส่ปืนลูกซอง แกเปิดหน้าต่างออกหนึ่งบาน ยิงปืนออกข้ามหัวพวกเราไป “เปรี้ยงๆๆ” เสียงก็ยังคงดังอยู่ “พี่โอด ๆ ออกมาสิ ออกมา ฮ่าๆๆๆ” เสียงเรียกปนเสียงหัวเราของมันเย็นยะเยือก ปู่ก็ยังคงยิงอย่างไม่ลดละ “เปรี้ยงๆๆ” มาถึงจุดนี้เราเริ่มกลัว ไม่รู้ว่ากลัวอะไรระหว่างผีสองนางข้างนอกหรือปู่ที่สติแตกยิงปืนไปทั่ว เสียงปืนปนเสียงหัวเราะเป็นไปอย่างต่อเนื่องสักสิบนาที เสียงหัวเราะเงียบหายไป ปู่ยังคงยืนตัวสั่นหอบแฮกๆ ทุกอย่างดูอื้ออึงไปหมดรวมทั้งหูด้วย ย่าเริ่มได้สติพาพวกเราลุกขึ้นแล้ว บอกกับปู่ว่า ให้ไปเข้านอนซะไม่มีอะไรแล้ว มันเข้ามาไม่ได้หรอก คงมีเจ้าที่เจ้าทางรักษาอยู่ มันถึงอยู่ได้แค่สะพานฝั่งโน้น ปู่เริ่มดีขึ้นแต่ยังคงหวาดระแวงกับสิ่งที่แกเจอ แกเอาตะกรุดมาแขวนที่เอว แล้วนั่งลงกับพื้นบ้าน ปืนยังคงวางข้างตัว เอาผ้าห่มคลุมไหล่ไว้ นั่งมองออกไปทางหน้าบ้าน ไม่ยอมนอน แกคงกลัวว่าถ้าแกหลับไป แกจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกก็ได้ เรากะผลอยหลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นเช้ามาอีกที ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายที่ใต้ถุนบ้าน เดินลงมาดูเห็นคนหลายคนมาถามเรื่องเสียงปืนเมื่อคืน สภาพของปู่ตอนนั้นเป็นไข้ หัวตั้ง ผมขาวทั้งหัว นั่งอยู่บนร้านใต้ถุนบ้าน “นึกแล้วเชียว ว่าต้องใช่ ข้าบอกแกแล้วว่าอย่าไปลองดีกับมัน เป็นไงล่ะ จะจับผีแม่หม้ายทำเมีย แล้วยิงมันทำไม” เพื่อนแกพูดขึ้นทุกคนต่างพากันหัวเราะชอบใจ “เออ ข้าเข็ดแล้วว่ะ” ปู่ตอบอย่างหมดสภาพเลยก็ว่าได้ ปู่ไม่สบายอยู่ สองสามวัน อาการก็ดีขึ้น แต่เรื่องนี้ก็ถูกเล่าต่อกันจนกระจายไปทั่วหมู่บ้าน ดังเลยปู่เรา และมันยังคงเป็นความทรงจำครั้งนึงของเรากับวีรกรรมที่ปู่ทำตลอดมา.
ผีแม่หม้าย
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับปู่โอด ปัจจุบันปู่ได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยโรคชรา จึงเล่าเรื่องนี้เป็นวิทยาทาน ความบันเทิงหรืออย่างไรแล้วแต่วิจารณญานเพื่อเป็นการรำลึกถึงปู่ เจ้าของเรื่องราวอันเป็นที่รักของหลานๆ
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสักยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา.........
บ้านเราอยู่อยุธยา สมัยนั้นมีช่วงหนึ่งที่ผีแม่หม้ายกำลังเป็นกระแสเลยก็ว่าได้ ใครในหมู่บ้านที่นอนตายไปเฉยๆก็จัดว่าเป็นฝีมือของผีแม่หม้าย โดยเฉพาะกลุ่มชายหนุ่ม ชายหนุ่มในหมู่บ้านต่างก็ทาเล็บแดงทาปากแดงกันเป็นแถวเพื่อหลอกผีแม่หม้าย ว่าฉันไม่ใช่ผู้ชายนะไม่ต้องมาเอาฉันไปอยู่ด้วย
ปู่โอด..(คือปู่ของเราเอง) ทุกเช้าปู่จะไปร้านชำเล็กๆในหมู่บ้านที่มีเพื่อนๆรุ่นราวคราวเดียวกันกับแกในตอนนั้น อายุปู่ในตอนนั้น ก็สักประมาน ห้าสิบกว่าเห็นจะได้ ไปนั่งกินกาแฟ โอเลี้ยง และจับกลุ่มสนทนา แน่นอนล่ะว่าวันนี้คงจะไม่พ้นเรื่องผีแม่หม้าย เพื่อนๆของปู่บางคนก็ทาเล็บสีแดง มือบ้าง เท้าบ้าง แล้วแต่จะสะดวก บางคนก็นั่งปากแดงเวลาซดกาแฟ ลิปจะเปื้อนขอบแก้วกาแฟ ต่างคนก็ต่างขบขันกันเอง ปู่โอดก็เป็นคนนึงที่หัวเราะชอบใจที่เพื่อนๆที่ แต่งตัวหลอกผีแม่หม้าย
“โอด แกนั่งขำพวกข้า แกไม่กลัวผีแม่หม้ายเหรอ” เพื่อนแกถาม
“ข้าไม่กลัวหรอก ผีแม่มงแม่หม้ายอะไร ลองมาหาข้าสิจะจับทำเมียเสียให้หมด” ปู่กล่าวไว้ โดยไม่ยอมเสียเชิงนักเลงเก่า
“แกทำพูดไป ถ้ามันมาจริงๆจะแย่เอานา “ เพื่อนแกเตือน ความปากพล่อยของปู่ “เออ ให้มันมาเหอะ” ปู่ก็ยังเก่งอยู่ และวงสนทนาก็ยังดำเนินต่อไป สักพัก ก็แยกย้าย
ค่ำคืนที่น่าจดจำของปู่..ไม่ใช่สิ ของทุกคนก็มาถึง
บ้านเรามีคลองอยู่หน้าบ้านถ้าจะเดินเข้าบ้านต้องข้ามสะพานไม้เข้ามา สะพานเป็นไม้กระดานต่อกันหน้ากว้างพอแค่ขับจักรยานข้ามได้แบบต้องเจ๋งจริงๆ ความยาวสักสิบกว่าเมตรน่าได้ เวลาผ่านไปสักประมานสองทุ่ม สมัยก่อนบ้านเรือนห่างกัน ทีวียังมีไม่ครบทุกบ้านเลย เวลานี้คนส่วนมากก็ปิดไฟนอนกันแทบจะทุกบ้าน ที่บ้านเรามี ปู่ ย่า เราและ น้องสาว กำลังจะเข้ามุ้งนอน “พี่โอดๆ” มีเสียงเรียกมาจากสะพานฝั่งโน้น เสียงนั้นเย็น ยาน ดูมีพลัง เรียกซ้ำอยู่หลายเที่ยว จนทุกคนมั่นใจว่าเป็นผู้หญิง “เปิดไฟซิ “ ปู่บอก เราเอื้อมมือไปกดสวิตซ์ไฟ ไฟในบ้านส่องสว่างขึ้น เสียงเรียกนั้น ยังคงอยู่ “พี่โอดๆ มานี่สิ ออกมาสิ” เราในตอนนั้นยังเด็กน่าจะสักสิบขวบ ยังงงๆอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น ปู่เดินไปมองที่ช่องหน้าต่างหน้าบ้านเป็นคนแรก แล้วสะดุ้งสุดตัว เดินตัวสั่นไปหยิบปืนลูกซองยาวที่วางพิงอยู่ข้างฝาบ้าน ย่าเลยเดินไปมองที่ช่องหน้าต่างว่าข้างนอกนั้นมันคืออะไร สิ่งที่ย่าเห็น (แกเล่าตอนเช้า) เห็นผู้หญิงสองคน คนนึงใส่ชุดแดงคนนึงใส่ชุดม่วง เป็นชุดยาวๆ จากแสงของพระจันทร์ แกว่าน่าจะอายุประมานสี่สิบขึ้นไป แต่สวยมากผมยาว ผิวขาว ทาปากแดง แกเห็นตกใจหันหลังนั่งลงผิงฝาบ้านเรียกหลานสองคนมาสู่อ้อมกอด นางสองคนนั้นยังคงส่งเสียงเรียกปู่อยู่ตลอดเวลา จนมันดังเข้ามาในหู ปู่แกคงกลัวมากตัวสั่นเทา มือก็บรรจุกระสุนใส่ปืนลูกซอง แกเปิดหน้าต่างออกหนึ่งบาน ยิงปืนออกข้ามหัวพวกเราไป “เปรี้ยงๆๆ” เสียงก็ยังคงดังอยู่ “พี่โอด ๆ ออกมาสิ ออกมา ฮ่าๆๆๆ” เสียงเรียกปนเสียงหัวเราของมันเย็นยะเยือก ปู่ก็ยังคงยิงอย่างไม่ลดละ “เปรี้ยงๆๆ” มาถึงจุดนี้เราเริ่มกลัว ไม่รู้ว่ากลัวอะไรระหว่างผีสองนางข้างนอกหรือปู่ที่สติแตกยิงปืนไปทั่ว เสียงปืนปนเสียงหัวเราะเป็นไปอย่างต่อเนื่องสักสิบนาที เสียงหัวเราะเงียบหายไป ปู่ยังคงยืนตัวสั่นหอบแฮกๆ ทุกอย่างดูอื้ออึงไปหมดรวมทั้งหูด้วย ย่าเริ่มได้สติพาพวกเราลุกขึ้นแล้ว บอกกับปู่ว่า ให้ไปเข้านอนซะไม่มีอะไรแล้ว มันเข้ามาไม่ได้หรอก คงมีเจ้าที่เจ้าทางรักษาอยู่ มันถึงอยู่ได้แค่สะพานฝั่งโน้น ปู่เริ่มดีขึ้นแต่ยังคงหวาดระแวงกับสิ่งที่แกเจอ แกเอาตะกรุดมาแขวนที่เอว แล้วนั่งลงกับพื้นบ้าน ปืนยังคงวางข้างตัว เอาผ้าห่มคลุมไหล่ไว้ นั่งมองออกไปทางหน้าบ้าน ไม่ยอมนอน แกคงกลัวว่าถ้าแกหลับไป แกจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกก็ได้ เรากะผลอยหลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นเช้ามาอีกที ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายที่ใต้ถุนบ้าน เดินลงมาดูเห็นคนหลายคนมาถามเรื่องเสียงปืนเมื่อคืน สภาพของปู่ตอนนั้นเป็นไข้ หัวตั้ง ผมขาวทั้งหัว นั่งอยู่บนร้านใต้ถุนบ้าน “นึกแล้วเชียว ว่าต้องใช่ ข้าบอกแกแล้วว่าอย่าไปลองดีกับมัน เป็นไงล่ะ จะจับผีแม่หม้ายทำเมีย แล้วยิงมันทำไม” เพื่อนแกพูดขึ้นทุกคนต่างพากันหัวเราะชอบใจ “เออ ข้าเข็ดแล้วว่ะ” ปู่ตอบอย่างหมดสภาพเลยก็ว่าได้ ปู่ไม่สบายอยู่ สองสามวัน อาการก็ดีขึ้น แต่เรื่องนี้ก็ถูกเล่าต่อกันจนกระจายไปทั่วหมู่บ้าน ดังเลยปู่เรา และมันยังคงเป็นความทรงจำครั้งนึงของเรากับวีรกรรมที่ปู่ทำตลอดมา.