เมื่อลูกคือแรงบันดาลใจ กับ 5 เดือน ของการเปลี่ยนแปลงตัวเอง

หลังจากมีลูกชายผมก็ปล่อยเนื้อปล่อยตัวปล่อยใจ กินทุกอย่างที่ขวางหน้า บุฟเฟ่ต์ต้องมีอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2-3 วัน แปปซี่กับโค้กนี่กินทุกวัน วันดีคืนดีกินคนเดียวเป็นลิตรก็มี จนน้ำหนักพุ่งไปถึง 94 กิโลกรัม

ภรรยาถามมาคำเดียว “พี่ไม่อยากอยู่กับลูกไปนานๆหรอ”

วันรุ่งขึ้นผมมองหน้าลูก แล้วพุ่งตัวไปหยิบรองเท้าและหูฟังออกไปวิ่งทันที !

กิจวัตรประจำหลังจากมีลูก พ่อบ้านแม่บ้านทุกคนต้องรู้ดีคือแทบจะหาเวลาไม่ได้เลย อย่าว่าแต่จะออกกำลังกายเลย เวลาแตะโทรศัพย์เล่นยังไม่มี

6:00 น. ตื่นไปดูลูกเพื่อให้ภรรยาอาบน้ำ
6:30 น. ลงไปเตรียมข้าว รอป้อนข้าวลูก ให้ภรรยาอาบน้ำให้ลูก
7:00 น. ป้อนข้าวลูก เพื่อให้ภรรยาได้ทำกับข้าวทาน
7:30 น. ล้างถ้วยล้างชาม และเล่นกับลูกอีกพักนึง
8:00 น. ออกไปทำงาน (ทำธุรกิจส่วนตัวครับ)
16:00 น. ถึงบ้าน ก็พุ่งตัวไปอยู่กับลูกทันทีเพื่อให้ภรรยาได้มีเวลาพักผ่อนและทำธุระส่วนตัว
18:00 น. เตรียมข้าว และป้อนข้าวให้ลูก ให้ภรรยาได้ทานข้าว อาบน้ำ
19:00 น. เล่านิทาน เล่นกับลูกพักนึง
20:00 น. ลูกเข้านอน ผมถึงมีเวลานอนเล่นโทรศัพย์พักผ่อน

เมื่อเวลามันไม่มี ผมจึงต้องหามันขึ้นมาเองด้วยวิธีที่ทุกคนรู้อยู่แก่ใจแต่จะทำหรือไม่แค่นั้นเอง

ผมตื่นให้เร็วขึ้นเพื่อให้ได้วิ่ง เริ่มออกวิ่งตี 5 และเข้าบ้าน 6 โมงเพื่อไปทำตามกิจวัตรประจำวันปกติเหมือนเดิมทุกอย่าง
และยอมทิ้งเวลานอนบื้อๆเล่นโทรศัพย์หลังสองทุ่มอีกซักชั่วโมง


ตอนเริ่มวิ่งวันแรกๆ ผมแบกน้ำหนักตัว 94 กิโลกรัม
วิ่งวันแรกคือทรมานมาก ไม่มีความสุข วิ่งไปได้แค่ 20 นาทีก็ต้องหยุดเดิน เพราะเจ็บไปหมด
แต่ passion เรายังมีเหมือนเดิม ทำเพื่อลูกเราก็ยังตั้งใจเหมือนเดิม
วันที่ 2 วันที่ 3 และวันต่อๆมา ก็ยังคงวิ่งอยู่ ไม่หยุดซักวัน
วิ่งเย็นทุกวัน วิ่งเช้าอาทิตย์ละ 5 วัน วันละ 40 นาทีบ้าง 50 นาทีบ้าง

วิ่งด้วยเพซ 8 เพซ 9 (ได้ลองวิ่งเครื่องเพื่อจับความเร็ว ได้ความเร็วที่ 6 กิโลเมตร/ชั่วโมง แบบต่อเนื่อง)

ผ่านไป 2 เดือน เหมือนร่างกายเราเริ่มปรับตัวได้ ความเร็วเราได้มากขึ้น และวิ่งได้นานขึ้นด้วย วิ่งได้ 1 ชั่วโมง 7 กิโลเมตรแล้ว นี่คือความรู้สึกที่ดีมากๆ ว่าเราสามารถวิ่งได้ครบชั่วโมงแล้ว ถึงแม้จะช้าบ้างก็ไม่เป็นไร

และทำแบบนี้มาประมาณ 3 เดือน ร่างกายเริ่มตอบสนองว่าเราหักโหมเกินไป จำได้ว่า 3 เดือนที่ผ่านมานี้ เราขาดการวิ่งไปแค่วันเดียว นอกนั้นไม่ได้หยุดเลย

ทำให้เจ็บส้นเท้าและเอ็นร้อยหวายมากๆ

ไปหาหมอ หมอบอกน่าจะเป็นรองช้ำและเอ็นอักเสบ ได้ยามาทานและหมอให้หยุดวิ่งไป 1 เดือน ผ่านไป 3 อาทิตย์ เท้าเริ่มดีขึ้นแต่ก็ไม่หายซะทีเดียว ผมเลยฝืนวิ่งต่อ เพราะอยากวิ่งมาก ไม่วิ่งมานานเหมือนร่างกายมันอ้วนขึ้น ทำใจไม่ได้

ผมเลยต้องปรับพฤติกรรมการวิ่งใหม่ มาเหลือวิ่งเย็นอย่างเดียว แล้วหาวันพักซักอาทิตย์ละ 1 วันครับ

หลังจากนั้นเข้าเดือนที่ 4 ผมก็สามารถวิ่งที่เพซ 5 ปลายๆได้ด้วยครับ สามารถทำเวลา วิ่ง 10 กิโลเมตร ด้วยเวลา 59 นาทีได้ นี่คือความรู้สึกที่ดีอีกหนึ่งอย่างหลังจากที่เราได้เริ่มวิ่ง

ส่วนด้านอาหารการกิน ผมไม่ทานคลีน เพราะผมรู้สึกว่าผมไม่สามารถทานได้ไปตลอดชีวิตแน่ๆ
ผมเลยเลือกที่จะลด และ งด บางอย่างแทน
งดแปปซี่ โค้ก น้ำอัดลมที่เครซี่มานาน คืองดไปเลย นานๆกินที
และ ลดของหวาน เค้ก ไอติม ต่างๆ กินให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทุกวันนี้คือ เช้าผมก็กินทุกอย่าง ไม่ค่อยเลือกเพราะไม่มีเวลาครับ
และเที่ยงกินแค่ก๋วยเตี๋ยวหรือเกาหลาไม่ใส่กระเทียมเจียวและน้ำตาล
เย็น ทานแค่อกไก่นึ่ง หรือ โยเกิร์ต

ส่วนบุฟเฟ่ต์ที่แต่ก่อนต้องกินอาทิตย์ละ 2-3 วันเป็นอย่างน้อย ทุกวันนี้ก็ยังกินอยู่ครับ แต่ลดปริมาณเหลือ อาทิตย์ละครั้งจัดเป็นชีทเดย์ให้ตัวเองไป

ชีทเดย์นี่ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผมมากๆ มันทำให้ผมยังสามารถวิ่งได้ถึงทุกวันนี้ ถ้าให้งดไปเลยผมคงหลุดตั้งแต่ 2 เดือนแรกแล้วแน่ๆ


จากวันนั้นถึงวันนี้ จาก อีก 6 โล 100 ตอนนี้ เหลือ 72 แล้วครับ อาจจะไม่มีซิกแพคให้เห็น อาจจะไม่ลีนอย่างที่คิด เพราะผมไม่ได้ควบคุมอาหารอะไรมากมายด้วยครับ

แต่มันก็คือการลดอย่างมีความสุขจริงๆ ได้วิ่งและได้กินและได้อยู่กับลูกไปอีกนานๆ


แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่