ความลับจากสงครามต่างๆในอดีต

เกาะผีแห่งสงคราม เชื้อโรคร้ายแรงที่ถูกโซเวียตทอดทิ้ง ในช่วงสงครามเย็น


เกาะในช่วงสงครามเย็นที่ชื่อว่า Vozrozhdeniya ในอดีตเป็นหมู่บ้านชาวประมง ที่อยู่ระหว่างชายแดน คาซัคสถาน กับ อุซเบกิสถาน ที่อยู่ในทะเลอารัล ที่ติดอันดับ 1 ใน 4 ของโลกที่มีปลามากมาย และเป็นเกาะลับสุดยอดที่โซเวียตใช้ทำการทดสอบเชื้อโรคร้าย แม้ว่าเกาะแห่งนี้จะถูกทอดทิ้งมานานร่วม 2 ทศวรรษ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา น้ำบนเกาะลดลงและบางจุดกลับกลายเป็นฝุ่น และชั้นของดินทรายเต็มไปด้วยสารก่อมะเร็ง พื้นที่ประมงได้กลายสภาพเป็นไร่ฝ้าย  อุณหภูมิบนเกาะอยู่ที่ 60 องศาเซลเซียล หรือ 140 องศาฟาเรนไฮร์ และปัจจุบันพื้นที่บนเกาะ Vozrozhdeniya ขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าจนเชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ และตั้งแต่ปี 1970 

เกาะแห่งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ร้ายหลายครั้ง เช่น ในปีพ. ศ. 2514 นักวิทยาศาสตร์หนุ่มคนหนึ่งล้มป่วยหลังจากเรือวิจัยเลฟเบิร์กหลงเข้าไปในหมอกควันสีน้ำตาล วันต่อมาเขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไข้พิษ แต่ก็ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค แม้ว่าเขาหายดีแล้วแต่น้องชายของเขากลับติดโรคนี้

อีกหนึ่งปีต่อมาพบศพของชาวประมงสองคนที่ออกไปจับปลาตายติดอวนหาปลา และพวกเขาอาจจะติดเชื้อโรคระบาดนี้เช่นกัน ถัดมาในปีพ.ศ.2531 พบละมั่งกินหญ้าในบริเวณที่ราบกว้างและตายในช่วงระยะเวลาแค่หนึ่งชั่วโมง  Vozrozhdeniya ถูกทิ้งร้างในปี 1990 มีการเดินทางมาที่นี่เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น หนึ่งในนั้นคือ  นิค มิลเลอร์ตัน นักข่าวและนักภูมิศาสตร์จาก อ๊อคฟอร์ด ยูนิเวอซิตี้ ได้มาถ่ายทำสารคดีที่นี่ในปี 2005 

ภาพถ่ายทางอากาศของ CIA ในปี 1962 เปิดเผยว่าในขณะที่เกาะอื่นๆ มีท่าเรือและกระท่อมเก็บปลา แต่บนเกาะนี้กับพบว่ามีปืนไรเฟิล ค่ายทหาร และลานสวนสนาม นอกจากนี้ยังมีอาคารวิจัยและสถานที่ทดสอบกลางแจ้ง เกาะแห่งนี้กลายเป็นฐานทัพทหารที่อันตรายที่สุดซึ่งเป็นสถานที่ทดสอบอาวุธชีวภาพ  โครงการนี้เป็นความลับซึ่งไม่ได้ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่ของสหภาพโซเวียต แต่เป็นที่ทราบกันดีกับโครงการ Aralsk-7 ซึ่งช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้กลายเป็นฝันร้ายของสิ่งมีชีวิตที่อยู่โดยรอบเกาะที่มีเชื้อ แอนแทร็กซ์ ไข้ทรพิษ และโรคระบาด 
 แหล่งข้อมูล บีบีซี
Cr.login4.com/

 “The Great Los Angeles Air Raid”


(ยานลึกลับที่กองทัพสหรัฐฯ พยายามสอยให้ร่วงหลังรุกล้ำน่านฟ้าตัวเอง)

เป็นสงครามที่ใครหลายคนเชื่อว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ต่างดาวที่ถูกขนานนามว่า “The Great Los Angeles Air Raid” หรือ “สงครามเหนือน่านฟ้าแห่งลอสแอนเจลิส” ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 ของสหรัฐฯ กับกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น เมื่อยานบินที่ไม่สามารถระบุได้รุกล้ำเข้าสู่น่านฟ้าสหรัฐฯ
เช้ามืดในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1942 หน่วยป้องกันภัยทางอากาศของสหรัฐฯ พบการยืนยันวัตถุที่มีลักษณะเหมือนกับเครื่องบินรุกล้ำเข้ามาในน่านฟ้าของสหรัฐฯ บริเวณเมืองลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเฉพาะในช่วงสงครามที่กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นส่งเครื่องบินรบมาระเบิดที่เพิร์ลฮาร์เบอร์เละไม่เป็นท่า ยุทโธปกรณ์ต่อต้านอากาศยานทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมรับมือกับภัยที่คาดไม่ถึงทุกขณะ ซึ่งเจ้ายานปริศนาลำนี้จึงเป็นภัยอันตรายที่สุด

กองปืนใหญ่ชายฝั่งได้รับคำสั่งให้โจมตี อย่างไม่รีรอด้วยปืนกลหนักกระสุนขนาด .50 และเครื่องยิงต่อต้านอากาศยาน หลังจากระบุตัวเป้าหมายด้วยไฟสปอร์ตไลท์ ที่เห็นว่ามีลักษณะเหมือนจากบินขนาดใหญ่ มีการยิงต่อเนื่องเป็นระยะๆ ราว 1 ชั่วโมง โดยใช้กระสุนไปมากกว่า 1,400-2,000 นัดเพื่อสอยยานบินลึกลับนี้ จนหยุดยิงตอน 7 โมงเช้า แม้จะมีพยานหลายคนเห็นว่ายานลำดังกล่าวถูกกระสุนสอยไปจังๆ หลายนัด แต่นั้นกลับไม่ทำให้พบร่องรอยหรือซากของชิ้นส่วนเครื่องบินที่ว่านั้นเลย
ต่อมาในช่วงเช้าของวันนั้นทาง William Franklin Knox เลขานุการกองทัพเรือสหรัฐฯ ได้ออกมาแถลงว่าเป็นความผิดพลาดของสัญญาณเตือนภัยเท่านั้น และเป็นเพียงบอลลูนไฟของฝ่ายกองทัพญี่ปุ่นเพื่อสร้าง “สงครามประสาท” และความวิตกกับประเทศสหรัฐฯ

คนอยู่ในเหตุการณ์ต่างพูดว่า พวกเขาเห็นยานบินขนาดใหญ่ที่ถูกโจมตีจริงๆ และหากเป็นบอลลูนตามที่กองทัพเรืออ้างมันก็ต้องพบซากอะไรบ้าง หลายคนจึงตั้งคำถามว่าอาจเป็น “ยานยูเอฟโอของมนุษย์ต่างดาว” 
แน่นอนนักวิชาการด้านยูเอฟโอรีบออกมายืนยันว่า ยานปริศนาลำดังกล่าวเป็นยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวที่มาเยี่ยมชมโลก โดยอ้างจากภาพถ่ายที่ถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ชื่อดังที่เก็บภาพไว้ได้ แต่นักวิชาการบางกลุ่มออกมาโต้ว่าภาพดังกล่าวเป็นภาพที่ถูกปรับสีทำให้มันมีลักษณะเหมือนกับยานยูเอฟโอเท่านั้น
หลังความพ่ายแพ้ของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น พวกเขาได้ออกมาแถลงการณ์ว่าพวกเขาไม่ได้ทำการส่งบอลลูนหรือเครื่องบินสอดแนมไปยังลอสแองเจลิสในช่วงเวลาดังกล่าวแต่อย่างใด 
เรื่องราวของยานปริศนานี้ ถูกนำไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์เรื่อง Battle: Los Angeles 
ที่บอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ของทหารสหรัฐฯ กับผู้รุกรานจากต่างดาว ที่กำกับโดย Jonathan Liebesman เมื่อปี 2011 และกวาดรายไปได้มากถึง 211 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Cr.starsmanman.blogspot.com/

R-Point : สมรภูมิผี



 เรื่องจริงสุดสะพรึงที่เกิดขึ้นกับกองทัพเกาหลีใต้ ในวันที่ 7 มกราคม ปี 1972 ช่วงเวลาก่อนการสิ้นสุดสงครามเวียดนาม เมื่อทางกองทัพได้รับสัญญาณวิทยุขอความช่วยเหลือมาจากหน่วย Donkey 3 ที่ถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ในเขต R-Point ฐานที่มั่นสำคัญที่ใช้ในการสู้รบกับเวียดกง ข้อความที่ถูกส่งมานั้น ขาดๆหายๆ มีเสียงสัญญาณแทรกรบกวนตลอดเวลา แต่จับใจความสำคัญได้ว่า...

พวกเขาทรมานเหมือนอยู่ในนรก สร้างความพรั่นพรึงให้กับกองทัพเกาหลีใต้เป็นอย่างมาก เพราะว่าหน่วย Donkey 3 นั้น ถูกระบุว่าเสียชีวิตและหายสาบสูญไปในพื้นที่ R-Point เป็นเวลาร่วมกว่า 6 เดือนแล้ว ทางกองทัพจึงส่งทหารหน่วยหนึ่งไปตามหาและช่วยเหลือหน่วย Donkey 3 โดยมีรายงานว่าหน่วยนี้เจอแต่เรื่องประหลาดเหนือธรรมชาติตลอดการทำภารกิจช่วยเหลือในครั้งนี้ สุดท้ายเมื่อไปถึงพื้นที่ R-Point ก็กลับไม่พบทหารหน่วย Donkey 3 แต่อย่างใด
 สัญญาณขอความช่วยเหลือที่พวกเขาได้รับนั้น อาจเกิดจากดวงวิญญาณทหารนับร้อยนับพันที่เสียชีวิตที่นี่ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร อาจเป็นเพราะความรู้สึกห่วงหาอาลัยอยากกลับสู่มาตุภูมิเฉกเช่นเดียวกับทหารนายอื่นๆที่ได้กลับบ้านเกิด หรืออาจจะเป็นเพราะความเคียดแค้นชิงชังของบรรดาผีตายโหงในสงคราม ที่พวกมันต้องการให้ใครสักคนมาตายที่นี่ เพื่อเป็นตัวตายตัวแทนก็เป็นได้
- เรื่องนี้เป็นที่โด่งดังในหมู่ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์สงครามเวียดนามของเกาหลีใต้ จนมีการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เมื่อปี 2004 ในชื่อ R-Point
Cr.facebook.com/เรื่องลึกลับ

 “ตัวตุ่น (Mole)” สายลับจารกรรมข้อมูล


หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปีค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) ได้เกิดความขัดแย้งใหม่ระหว่างสหภาพโซเวียตกับสหรัฐอเมริกา
ทั้งสองชาตินี้มีระบอบการปกครองและเศรษฐกิจที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง สหภาพโซเวียตนั้นปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ส่วนสหรัฐอเมริกาปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย
ทั้งสองชาตินี้ต่างไม่วางใจกันและกัน และต่างก็เร่งกันสะสมอาวุธนิวเคลียร์เพื่อปกป้องประเทศตน สงครามนี้คือ “สงครามเย็น (Cold War)”
ในระหว่างสงครามเย็นนี้เอง สหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกาต่างสร้างเครือข่ายสายลับเพื่อสอดแนมฝ่ายตรงข้าม  สหรัฐอเมริกาได้ตั้ง “สำนักข่าวกรองกลาง (Central Intelligence Agency)” หรือ “ซีไอเอ (CIA)”  ทำหน้าที่กรองข่าวและข้อมูลที่เป็นภัยต่อความมั่นคง รวมทั้งยังมีจุดมุ่งหมายในการทำลายคอมมิวนิสต์  ส่วนทางฝั่งสหภาพโซเวียตก็มี “คณะกรรมการความมั่นคงแห่งรัฐ (Committee of State Security)” หรือ “เคจีบี (KGB)”

เทคนิคของสายลับเคจีบีคือการแทรกซึม การหาสายลับของชาติศัตรูโดยการล้วงความลับ
สายลับพวกนี้จะถูกเรียกว่า “ตัวตุ่น (Mole)” เนื่องจากเป็นการเปรียบเทียบว่าพวกเขาจะทำการขุดทางเข้าไปยังองค์กรของศัตรูโดยไม่มีใครรู้เห็น
“อัลดริช เอมส์ (Aldrich Ames)” เจ้าหน้าที่ซีไอเอรู้ดีว่าเคจีบีนั้นจ่ายเงินให้เหล่าตัวตุ่น หรือสายลับเหล่านี้ด้วยเงินจำนวนมากขนาดไหน

ในเวลานั้นเอมส์กำลังเป็นหนี้จำนวนมาก เขาจำเป็นต้องหาเงินมาใช้หนี้  เมษายน ค.ศ.1985 (พ.ศ.2528) เอมส์ได้เดินเข้าไปในสถานทูตโซเวียตในวอชิงตันดีซี พร้อมยื่นซองเอกสารที่มีรายชื่อของเจ้าหน้าที่เคจีบีสองนายที่แปรพักตร์ ทำงานให้ฝ่ายอเมริกา
เมื่อสหภาพโซเวียตได้รับข้อมูลที่มีค่านี้มา ก็ได้มอบซองเอกสารที่บรรจุเงินสด 50,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,500,000 บาท) ให้เอมส์ในทันที
เมื่อได้เงินมาอย่างง่ายดายเช่นนี้ เอมส์ก็ทำต่อเนื่อง  ในระยะเวลาเก้าปี เอมส์ขายชื่อสายลับอเมริกันที่แทรกซึมอยู่ในโซเวียตอย่างน้อย 25 คน รวมทั้งรายละเอียดปฏิบัติการของซีไอเออีกกว่า 100 ปฏิบัติการ

เอมส์ถูกจับได้ในค.ศ.1994 (พ.ศ.2537)  เขาก็ได้สร้างความเสียหายให้หน่วยงานอย่างมากมายเกินจะประเมินมูลค่าความเสียหายได้
แต่เอมส์ไม่ใช่สายลับรายแรกที่หักหลังประเทศชาติตัวเอง เอมส์นั้นหักหลังเพราะเงิน ในขณะที่สายลับคนอื่นๆ ไม่ได้หักหลังเพื่อเงินหรือผลประโยชน์
ได้มีนายพลโซเวียตที่หักหลังประเทศตัวเองและยอมเป็นสายลับให้สหรัฐอเมริกา เหตุผลก็คือเขาเชื่อว่าระบอบการปกครองคอมมิวนิสต์จะทำให้ประเทศชาติย่อยยับ  อีกรายก็หักหลังโซเวียตเพราะเชื่อว่าโซเวียตจะนำพาประเทศเข้าสู่สงครามนิวเคลียร์ จึงยอมเข้ากับฝ่ายอเมริกา

เช้าวันที่ 7 กันยายน ค.ศ.1978 (พ.ศ.2521) นักข่าวชาวบัลแกเรียชื่อ “จอร์กี้ มาร์คอฟ (Georgi Markov)” กำลังเดินทางเพื่อจะไปทำงาน  แต่ในขณะที่เขากำลังยืนรอรถเมล์อยู่นั้น มาร์คอฟก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรแทงอยู่ที่ขาและรู้สึกเจ็บ สามวันต่อมา มาร์คอฟเสียชีวิต ชายคนที่แทงเขานั้นเป็นมือสังหารจากเคจีบี และได้ใช้ร่มอาบยาพิษสังหารมาร์คอฟ เนื่องจากมาร์คอฟได้เคยพูดโจมตีคอมมิวนิสต์ทางวิทยุ

ร่มพิษนี้เป็นหนึ่งในอาวุธไม่กี่อย่างที่ใช้ในช่วงสงครามเย็น  อาวุธชนิดอื่นก็เช่น แว่นตาที่มองเห็นได้ในที่มืด กล้องถ่ายรูปที่สามารถตรวจจับความร้อนของร่างกายได้ รวมทั้งไมโครโฟนที่สามารถดักฟังได้ในระยะไกลกว่า 100 เมตร  สำหรับการสอดแนมในระยะไกล ก็ได้มีการออกแบบเครื่องบินที่ชื่อว่า “U-2”
U-2 สามารถบินตรงจากนิวยอร์กถึงมอสโควโดยบินเหนือพื้นดินกว่า 21 กิโลเมตรเหนือพื้นดิน  เครื่องบินลำนี้สามารถสำรวจฐานของศัตรูแม้จะเป็นในที่กันดานแค่ไหนก็ตาม

การสอดแนม ชิงไหวชิงพริบระหว่างสองชาตินี้ได้ดำเนินการอย่างเข้มข้นมาเรื่อยๆ ตลอดสงครามเย็น และก็ต้องยอมรับว่าอุปกรณ์สายลับต่างๆ นั้นโด่งดังขึ้นมาได้จากภาพยนตร์สายลับเรื่อง “James Bond 007”
Cr.blockdit.com/

"กีฬา"ความลับที่ช่วยเยียวยาหัวใจของเหล่าทหาร ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
 

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นมีผู้คนมากมายที่ได้รับผลกระทบจากสงครามในครั้งนั้น ทั้งยังมีการสูญเสียมากมาย 
และ "ทหาร" ก็เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่มีส่วนในการทำสงคราม ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างกำลังใจที่ดีให้กับทหารจึงมีการจัด "กีฬา" ไว้ให้เหล่าทหารเล่นกันในกองทัพ เพื่อกำจัดความเศร้าโศก ทั้งยังช่วยให้ร่างกายแข็ง มีทักษะมากขึ้น 




Cr.clipmass.com/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่