บทความเรื่อง "หลงติดสุขในฌาน"

กระทู้สนทนา


หลงในรูปฌาน  ก็คือ การติดสุขในฌาน (คิดว่าฌานเป็นของดี หลงพอใจยินดีติดสุขอยู่แค่นั้น ไม่ไปเจริญวิปัสสนาเพื่อยกระดับจิตต่อ ถึงได้เรียกว่าหลง)
(เพราะความสุขจากฌานสมาธิ จะเป็นความสุขที่หาความสุขใดๆบนโลกนี้มาเทียบไม่ได้เลย จึงทำให้ง่ายต่อการหลง จมแช่อยู่กับที่) 

คุณเห็นในภาพด้านบนนี้มั้ยว่า คนที่จะตัดละกิเลสสังโยชน์ ข้อ6(หลงในรูปฌาน) กับ ข้อ7(หลงในอรูปฌาน) ได้  จะต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น 
(ขนาดพระอนาคามียังตัดละในข้อนี้ไม่ได้เด็ดขาดเลย แล้วคุณเป็นใคร?  เพราะฉนั้น คุณจึงไม่ต้องไปคิดมาก ตอนนี้เราก็อาศัยมันเป็นเครื่องมือไปก่อน)
(เพราะคุณจำเป็นจะต้องใช้กำลังของฌานสมาธิมาช่วยในการตัดละกิเลส ถ้าคุณไม่มีฌาน การเจริญวิปัสสนาของคุณก็เป็นแค่วิปัสสนึกเท่านั้น)     

การหลงติดสุขในฌานสมาธิ สำหรับคนทั่วๆไป ที่ยังไม่มีฌานสมาธิ คุณไม่จำเป็นจะต้องกลัว  (แต่คุณควรจะกลัวที่ตัวเองไม่มีฌานสมาธิมากกว่า)
เพราะการมีฌานสมาธิ สำหรับคนทั่วไปเป็นเรื่องยาก  (คนบางคนเข้าฌานได้เพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิต แล้วก็ทำไม่ได้อีกเลย แล้วจะไปติดสุขตอนไหน?)


เพราะฉนั้น......

สำหรับผู้ที่เริ่มต้นฝึกสมาธิใหม่ๆ ไม่ต้องกลัวการติดฌาน เพราะสภาวะจิตของคนเรานั้น จะมีสภาพที่คลายตัวออกจากฌานอยู่แล้ว  (ถ้าเก่งแล้วค่อยกลัว)
(การประคองให้มันทรงตัวอยู่ตลอดไปต่างหากที่เป็นเรื่องยาก) (แค่คุณทิ้งช่วงการปฏิบัติไปไม่กี่วัน คุณก็อาจจะหาทางเข้าฌานอีกครั้งนึงไม่ได้แล้ว)

เอาไว้ให้คุณมีความชำนาญในการเข้าฌานแล้วค่อยมากลัว แต่เบื้องต้นคุณควรจะกลัวการติดกามมากกว่า เพราะการติดกามจะทำให้คุณเข้าฌานไม่ได้
เพราะกามฉันทะ เป็นนิวรณ์ตัวแรก(1ในนิวรณ์5 ที่ขัดขวางการเข้าฌาน) ถ้าตัดละลงไม่ได้ชั่วคราว คุณก็จะเข้าฌานไม่ได้ และจะไปทำอะไรต่อไม่ได้ 
 
(คนที่เข้าฌานได้ บางคนหลงติดสุขในฌานสมาธิ นั่งสมาธิทั้งวันทั้งคืน ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน เสียสุขภาพ เพราะไม่มีความรู้ว่าจะต้องไปทำอะไรต่อ) 
(การฝึก อานาปานสติ ที่ถูกต้อง จึงควรจะต้องมีการฝึกเจริญสติและวิปัสสนาญาณ ควบคู่กันไปด้วย เพื่อป้องกันการติดเพ่ง และติดสุขในฌาน)



ฌานโลกีย์ จำเป็นต่อการบรรลุธรรม เราจึงจำเป็นจะต้องทำให้มีฌานสมาธิเกิดขึ้นกับตนเองเสียก่อน (ถึงจะเอากำลังของฌานสมาธิไปตัดละอะไรได้) 

เพราะว่า จิตของปุถุชน จำเป็นจะต้องใช้กำลังของฌาน(โลกีย์) มาช่วยกดข่มกิเลสนิวรณ์เอาไว้เสมอ  (ถึงจะทำวิปัสสนาได้ถึงขั้น)
ถ้าเจริญวิปัสสนาในขณะที่จิตมีนิวรณ์พอกอยู่ จะทำให้จิตไม่มีกำลังมากพอที่จะตัดละกิเลสให้หมดจดได้  (เขาถึงบอกให้ต้องมี ปฐมฌาน เป็นอย่างน้อย)
(เพราะว่า พระอรหันต์หมวดสุกขวิปัสสโก หมวดที่ใช้กำลังของฌานสมาธิที่น้อยที่สุด ก็ยังต้องใช้กำลังสมาธิถึง ปฐมฌาน ถึงจะบรรลุธรรมได้) 

พอเข้าฌานได้ จิตก็จะสงบระงับจากกิเลสนิวรณ์5 ได้ชั่วคราว แต่พอไม่นาน อารมณ์ฌานก็จะคลายตัว
จึงจำเป็นจะต้องเจริญกรรมฐาน ให้จิตเข้าฌาน(โลกีย์)ให้ได้อีก แล้วก็ใช้กำลังของฌานมาทำวิปัสสนาอีก (อารมณ์จิตจะขึ้นๆลงๆวนลูปอยู่แบบนี้)  

โดยเมื่อใดที่จิตของคุณคลายตัวออกจากฌาน ก็ให้กลับไปเจริญกรรมฐานกองใดก็ได้ที่คุณถนัด จนสามารถกลับไปทรงอารมณ์ฌานได้อีกครั้ง
แล้วก็ให้กลับไปพิจารณาตัดละร่างกายตามหลักวิปัสสนาญาณ9 อีกที พิจารณาวนลูปแบบนี้ไปให้บ่อยที่สุด ให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้

ทำแบบนี้บ่อยๆ จนจิตของคุณตัดละกิเลสสังโยชน์ได้ครบตามเงื่อนไขของพระอริยะเจ้า ในแต่ละระดับ
   

"ฌานไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน  ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นแลอยู่ในที่ใกล้นิพพาน"  




[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่