เราถูกฟ้อง คดีแพ่ง ฐานความผิด..ตัวการ ตัวแทน เพิกถอนนิติกรรม ละเมิด เรียกค่าเสียหาย /
เมื่อเดือน กันยายน 2559 ย่าของสามีโอนที่ดินให้สามี เป็นการให้ด้วยความเสน่หา **โอนที่สำนักงานที่ดิน ถูกต้องตามกฏหมาย *โดยวันที่โอนนี้ มีย่าของสามี อาของสามี 2 คน และตัวสามี รวมเป็น 4 คน ไปทำการโอน และรับโอน เราไม่ได้ไป เพราะไม่ได้เกี่ยวอะไรกะเราในการกระทำการดังกล่าว
ต่อมาในเดือน พฤศจิกายน 2560 สามี โอนให้เราครึ่งนึง (ในโฉนดก็เป็นชื่อสามี และเรา เพียง 2 คน)
ต่อในเดือน ธันวาคม 2561 สามีได้โอนส่วนของตนเองให้ลูกสาวที่เกิดกับเรา (ในโฉนดก็เป็นชื่อเรา กับลูกสาวอายุ 3 ขวบ)
ช่วงต้นปี 62 ที่ผ่านมา มีคนมาทาบทามถามซื้อที่ดินส่วนของเราและลูก เพื่อไปรวมกับผืนใหญ่ พออาผู้ชาย และพี่สาวสามีรู้เรื่อง ด้วยความโลภ ก็รวมหัวกัน ตั้งพี่สาวเป็นโจทก์ฟ้อง ว่า สามีเรา (จำเลยที่ 1) และเรา (จำเลยที่ 2) ฐานความผิด..ตัวการ ตัวแทน เพิกถอนนิติกรรม ละเมิด เรียกค่าเสียหาย โดยมีอาผู้ชายเป็นพยาน ในสำนวนฟ้อง อ้างว่า โจทก์ คือ พี่สาวสามี อ้างว่า ที่ดินที่สามีได้รับโอนมาจากย่านั้น ต้องแบ่งให้ตนเองครึ่งหนึ่ง เพราะย่าเคยสัญญาว่าจะให้ โดยมีญาติๆ รับรู้กันว่า ให้สามีไปรับโอนที่ดินมาก่อน แล้วต้องมาโอนให้ตนเองในภายหลัง เพราะวันที่โอน ตนเองติดธุระสำคัญ ต้องไป ตจว. จึงให้น้องชายไปรับโอนมาแต่เพียงผู้เดียว เมื่อตนเองได้กลับมาจากทำธุระ ก็ได้ติดตามทวงถามกับน้องชาย แต่น้องชายไม่ยอมโอนให้ตนเองครึ่งหนึ่ง ตนเองจึงต้องขออำนาจบารมีศาลให้ตัดสิน.....
***ซึ่งพี่สาวได้กล่าวอ้างเท็จค่ะ 3 ปีที่โอนเปลี่ยนถ่ายมือจากย่า ไม่มีการมาทวงถามอะไรเลย เพราะมันไม่เป็นความจริงแต่แรก การรับโอนที่ดินส่วนนี้จากย่าของสามี ในตอนนั้น พี่สาวสามีได้รับโอนที่ดินผืนนึงจากอาผู้หญิง ซึ่งเป็นที่ ที่มีพื้นที่กว้างกว่าส่วนของสามีที่ได้รับจากย่า แต่มันอยู่ลึกจากถถนน ส่วนของสามี อยู่ติดถนน รกร้าง มีพื้นที่น้อยกว่า ในตอนนั้น พีสาวก็พึงพอใจ ไม่ติดใจอะไร จึงตกลงกันตามนั้นในหมู่ญาติ ต่อมาเมื่อรู้ว่า ที่ดินส่วนของดิฉันที่ได้รับโอนมาจากสามีอีกที มีคนอยากได้ มีทาบาทมถามขอซื้อ จึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เขาฟ้องกันอย่างหน้าด้านๆ อาผู้ชายก็ตั้งตัวเป็นพยาน บอกว่าตกลงกันแต่แรกให้สามีไปรับมาก่อน และต้องโอนให้พี่สาวภายหลัง ย่าซึ่งอยู่บ้านใกล้อา ก็ถูกกล่อมให้กลับคำพูด ไปยืนยันในชั้นศาลว่า ต้องการให้ที่ดินกับหลาน 2 คน คนละครึ่ง *ในวันที่สามีรับโอนจากย่า อา 2 คนที่ไปด้วยนั้น พอเป็นคดีความ ก็ไม่กล้ามาเป็นพยานให้สามี เพราะเกรงกลัวว่าจะผิดใจกับอาผู้ชาย ทางฝั่งเขามีเพียง การกล่าวอ้างลอยๆ ยกเมฆมาว่า มีการตกลงกัน รับรู้กันในหมู่ญาติ ***ทางดิฉันไม่มีพยานบุคคลเลยค่ะ แต่ทนายบอกว่า จนท. สำนักงานที่ดิน นั่นแร่ะ ที่ต้องเป็นพยานให้ทางฝั่งดิฉัน ****แต่...ปัจจุบัน พนง.งานที่ดิน คนดังกล่าว ได้เกษียณอายุราชการไปแล้ว และเหมือนว่าจะไม่มาเป็นพยานให้ทางฝั่งดิฉัน ## ถ้าพยานคนเดียวของดิฉันไม่มาเป็นพยานในชั้นศาล ดิฉันจะแพ้ไหมคะ? เอกสารโฉนดที่ถูกต้องตามกฏหมาย นิติกรรมทำที่สำนักงานที่ดินถูกต้อง หลังโฉนด หรือเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องไม่มีระบุเลยว่า มีชื่อพี่สาวสามีเป็นผู้มีส่วน มีกรรมสิทธิ์รวมด้วยเลยตั้งแต่แรก การที่เขามากล่าวอ้างลอยๆ แบบนี้ เขาสามารถชนะคดีได้ไหน
***อาผู้ชายที่ หวังจะได้ที่ดินครึ่งหนึ่งนี้ แล้วให้พี่สาวมาเป็นตัวละครในการเป็นโจทก์ฟ้อง **เขามีอาชีพ ค้าที่ดินอยู่แล้วค่ะ มีเหลี่ยม และเจนจัดในการเอาที่ดิน ที่มิใช่ของตนเอง มาเป็นของตนเอง (ที่ดินทำกินของชาวกะเหรี่ยงที่อยู่ในประเทศมานาน ก็เคยโกงเอาของเขามาแล้วค่ะ) เรื่องขึ้นโรง ขึ้นศาล ก็ถนัดและเจนจัด รู้จักคนบนศาลทุกคน แม้แต่อัยการ ก็ไปกินเหล้าอยู่ที่บ้านเขา ล่าสุด อัยการคนนี้ ฝากคนอื่นมาบอกว่า ทางฝั่งดิฉัน จ่ายค่าทนายไปหรือยัง? ถ้ายัง ก็ไม่ต้องจ่ายนะ จ่ายไป สู้ก็แพ้ ยังไงก็แพ้ ให้เข้ามาคุยกะเขา เขาจะช่วย เรื่องนี้มันมีทางออก 1.คือ ต้องคืนที่ดินครึ่งหนึ่งให้พี่สาว 2.คือต้องซื้อที่ดินต่อจากพี่สาว เท่านั้น....เขาเป็น เจ้าหน้าที่กระบวนการยุติธรรม เขากล้าออกตัวแรงขนาดนี้ได้อย่างไร ดิฉันไม่เข้าใจ
***ที่ดินผืนนี้ ดิฉันไม่ได้อยากได้ ไม่ได้โกงมา ไม่ได้ยื้อยุดของคนอื่นมาเป็นของตนเอง สามีได้มาอย่างถูกต้อง สุจริต ตามกฏหมาย แต่ต้องมาถูกความโลภของญาติตนเองครอบงำ กระทำเรื่องเสื่อมเสีย ฟ้องร้องดิฉันกะสามีเป็นจำเลย เช่นนี้ ดิฉันยอมไม่ได้ค่ะ
***กรุณาอย่าถามถึงทนายของดิฉันเลย เขาไม่เคยพูดอะไรให้มันใจเลย เงียบ ติดต่อก็ยาก คือ ไม่มีอะไรจากปากเขาเลยค่ะ
วอนผู้รู้ ช่วยชี้แจงข้อเท็จจริง เรื่องที่ดิฉันไม่มีพยานในชั้นศาลทีค่ะ ฝ่ายโจทก์ก็เจนจัดการขึ้นโรงขึ้นศาล เกี่ยวกับคดีที่ดินกันเหลือเกินค่ะ เป็นทุกข์มาก เจอญาติสามีแบบนี้...กราบขอบพระคุณทุกท่านล่วงหน้าค่ะ
พยาน (จนท.ที่ดิน) ไม่ไปศาลเป็นพยาน เราจะแพ้คดีไหมคะ
เมื่อเดือน กันยายน 2559 ย่าของสามีโอนที่ดินให้สามี เป็นการให้ด้วยความเสน่หา **โอนที่สำนักงานที่ดิน ถูกต้องตามกฏหมาย *โดยวันที่โอนนี้ มีย่าของสามี อาของสามี 2 คน และตัวสามี รวมเป็น 4 คน ไปทำการโอน และรับโอน เราไม่ได้ไป เพราะไม่ได้เกี่ยวอะไรกะเราในการกระทำการดังกล่าว
ต่อมาในเดือน พฤศจิกายน 2560 สามี โอนให้เราครึ่งนึง (ในโฉนดก็เป็นชื่อสามี และเรา เพียง 2 คน)
ต่อในเดือน ธันวาคม 2561 สามีได้โอนส่วนของตนเองให้ลูกสาวที่เกิดกับเรา (ในโฉนดก็เป็นชื่อเรา กับลูกสาวอายุ 3 ขวบ)
ช่วงต้นปี 62 ที่ผ่านมา มีคนมาทาบทามถามซื้อที่ดินส่วนของเราและลูก เพื่อไปรวมกับผืนใหญ่ พออาผู้ชาย และพี่สาวสามีรู้เรื่อง ด้วยความโลภ ก็รวมหัวกัน ตั้งพี่สาวเป็นโจทก์ฟ้อง ว่า สามีเรา (จำเลยที่ 1) และเรา (จำเลยที่ 2) ฐานความผิด..ตัวการ ตัวแทน เพิกถอนนิติกรรม ละเมิด เรียกค่าเสียหาย โดยมีอาผู้ชายเป็นพยาน ในสำนวนฟ้อง อ้างว่า โจทก์ คือ พี่สาวสามี อ้างว่า ที่ดินที่สามีได้รับโอนมาจากย่านั้น ต้องแบ่งให้ตนเองครึ่งหนึ่ง เพราะย่าเคยสัญญาว่าจะให้ โดยมีญาติๆ รับรู้กันว่า ให้สามีไปรับโอนที่ดินมาก่อน แล้วต้องมาโอนให้ตนเองในภายหลัง เพราะวันที่โอน ตนเองติดธุระสำคัญ ต้องไป ตจว. จึงให้น้องชายไปรับโอนมาแต่เพียงผู้เดียว เมื่อตนเองได้กลับมาจากทำธุระ ก็ได้ติดตามทวงถามกับน้องชาย แต่น้องชายไม่ยอมโอนให้ตนเองครึ่งหนึ่ง ตนเองจึงต้องขออำนาจบารมีศาลให้ตัดสิน.....
***ซึ่งพี่สาวได้กล่าวอ้างเท็จค่ะ 3 ปีที่โอนเปลี่ยนถ่ายมือจากย่า ไม่มีการมาทวงถามอะไรเลย เพราะมันไม่เป็นความจริงแต่แรก การรับโอนที่ดินส่วนนี้จากย่าของสามี ในตอนนั้น พี่สาวสามีได้รับโอนที่ดินผืนนึงจากอาผู้หญิง ซึ่งเป็นที่ ที่มีพื้นที่กว้างกว่าส่วนของสามีที่ได้รับจากย่า แต่มันอยู่ลึกจากถถนน ส่วนของสามี อยู่ติดถนน รกร้าง มีพื้นที่น้อยกว่า ในตอนนั้น พีสาวก็พึงพอใจ ไม่ติดใจอะไร จึงตกลงกันตามนั้นในหมู่ญาติ ต่อมาเมื่อรู้ว่า ที่ดินส่วนของดิฉันที่ได้รับโอนมาจากสามีอีกที มีคนอยากได้ มีทาบาทมถามขอซื้อ จึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เขาฟ้องกันอย่างหน้าด้านๆ อาผู้ชายก็ตั้งตัวเป็นพยาน บอกว่าตกลงกันแต่แรกให้สามีไปรับมาก่อน และต้องโอนให้พี่สาวภายหลัง ย่าซึ่งอยู่บ้านใกล้อา ก็ถูกกล่อมให้กลับคำพูด ไปยืนยันในชั้นศาลว่า ต้องการให้ที่ดินกับหลาน 2 คน คนละครึ่ง *ในวันที่สามีรับโอนจากย่า อา 2 คนที่ไปด้วยนั้น พอเป็นคดีความ ก็ไม่กล้ามาเป็นพยานให้สามี เพราะเกรงกลัวว่าจะผิดใจกับอาผู้ชาย ทางฝั่งเขามีเพียง การกล่าวอ้างลอยๆ ยกเมฆมาว่า มีการตกลงกัน รับรู้กันในหมู่ญาติ ***ทางดิฉันไม่มีพยานบุคคลเลยค่ะ แต่ทนายบอกว่า จนท. สำนักงานที่ดิน นั่นแร่ะ ที่ต้องเป็นพยานให้ทางฝั่งดิฉัน ****แต่...ปัจจุบัน พนง.งานที่ดิน คนดังกล่าว ได้เกษียณอายุราชการไปแล้ว และเหมือนว่าจะไม่มาเป็นพยานให้ทางฝั่งดิฉัน ## ถ้าพยานคนเดียวของดิฉันไม่มาเป็นพยานในชั้นศาล ดิฉันจะแพ้ไหมคะ? เอกสารโฉนดที่ถูกต้องตามกฏหมาย นิติกรรมทำที่สำนักงานที่ดินถูกต้อง หลังโฉนด หรือเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องไม่มีระบุเลยว่า มีชื่อพี่สาวสามีเป็นผู้มีส่วน มีกรรมสิทธิ์รวมด้วยเลยตั้งแต่แรก การที่เขามากล่าวอ้างลอยๆ แบบนี้ เขาสามารถชนะคดีได้ไหน
***อาผู้ชายที่ หวังจะได้ที่ดินครึ่งหนึ่งนี้ แล้วให้พี่สาวมาเป็นตัวละครในการเป็นโจทก์ฟ้อง **เขามีอาชีพ ค้าที่ดินอยู่แล้วค่ะ มีเหลี่ยม และเจนจัดในการเอาที่ดิน ที่มิใช่ของตนเอง มาเป็นของตนเอง (ที่ดินทำกินของชาวกะเหรี่ยงที่อยู่ในประเทศมานาน ก็เคยโกงเอาของเขามาแล้วค่ะ) เรื่องขึ้นโรง ขึ้นศาล ก็ถนัดและเจนจัด รู้จักคนบนศาลทุกคน แม้แต่อัยการ ก็ไปกินเหล้าอยู่ที่บ้านเขา ล่าสุด อัยการคนนี้ ฝากคนอื่นมาบอกว่า ทางฝั่งดิฉัน จ่ายค่าทนายไปหรือยัง? ถ้ายัง ก็ไม่ต้องจ่ายนะ จ่ายไป สู้ก็แพ้ ยังไงก็แพ้ ให้เข้ามาคุยกะเขา เขาจะช่วย เรื่องนี้มันมีทางออก 1.คือ ต้องคืนที่ดินครึ่งหนึ่งให้พี่สาว 2.คือต้องซื้อที่ดินต่อจากพี่สาว เท่านั้น....เขาเป็น เจ้าหน้าที่กระบวนการยุติธรรม เขากล้าออกตัวแรงขนาดนี้ได้อย่างไร ดิฉันไม่เข้าใจ
***ที่ดินผืนนี้ ดิฉันไม่ได้อยากได้ ไม่ได้โกงมา ไม่ได้ยื้อยุดของคนอื่นมาเป็นของตนเอง สามีได้มาอย่างถูกต้อง สุจริต ตามกฏหมาย แต่ต้องมาถูกความโลภของญาติตนเองครอบงำ กระทำเรื่องเสื่อมเสีย ฟ้องร้องดิฉันกะสามีเป็นจำเลย เช่นนี้ ดิฉันยอมไม่ได้ค่ะ
***กรุณาอย่าถามถึงทนายของดิฉันเลย เขาไม่เคยพูดอะไรให้มันใจเลย เงียบ ติดต่อก็ยาก คือ ไม่มีอะไรจากปากเขาเลยค่ะ
วอนผู้รู้ ช่วยชี้แจงข้อเท็จจริง เรื่องที่ดิฉันไม่มีพยานในชั้นศาลทีค่ะ ฝ่ายโจทก์ก็เจนจัดการขึ้นโรงขึ้นศาล เกี่ยวกับคดีที่ดินกันเหลือเกินค่ะ เป็นทุกข์มาก เจอญาติสามีแบบนี้...กราบขอบพระคุณทุกท่านล่วงหน้าค่ะ