KAWAH IJEN INDONESIA [OCT 2019] มายาวี หนีเที่ยว :)



DAY 2 :  ที่  KAWAH  IJEN  ที่นี่เป็นอีกภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ 
และสิ่งที่ทำให้มายาต้องมาถึงที่นี่ก็คือ “เจ้าเปลวไฟสีน้ำเงิน หรือว่า Blue Fire”  เกิดจาก 
ก๊าซซัลเฟอร์ถูกดันออกมาจากรอยเเตกภายใต้ความดันสูงและที่อุณหภูมิ 600°C เมื่อเจอกับก๊าซอ็อกซิเจนจึงเกิดเป็น 
เปลวไฟสีน้ำเงิน .. บนโลกมีแค่ 2 ที่คือ ที่นี่ และที่ ไอซ์แลนด์

เหมือนที่บอกไว้ตอนแรกว่าที่โบรโมว่า     “ทริปนี้การนอนไม่ใช่เพื่อนของเรา” 
วันนี้ ตื่นตั้งแต่ ตี 1 จ้า จิตใจแน่วแน่ ด้วยความอยากเห็นเจ้าเปลวไฟสีน้ำเงินนี้มากกก 
เป็นไงเป็นกัน ไกด์พาเราขับรถผ่านเส้นคดเคี้ยว มืดตึ๊ดตื๊ออ ระหว่างทางจะมีต้นไม้ล้ม ขวางทางตลอด 
ถ้าไม่ใช่คนชำนาญทางจริงๆคือ อันตรายมาก

มาถึงที่คาวาอีเจี้ยน ไกด์ Sonny ก็จะส่งต่อเราให้กับ ไกด์ท้องถิ่นอีกคน ชื่อว่า Roze
เราไปถึงที่นั่นประมาณ ตี 2 ไกด์ Roze บอกว่า เราจะต้องเดิน เป็นระยะทางประมาณ เกือบ 4 ก.ม. 
เป็นทางเดินขึ้นเขาประมาณ 3 ก.ม  แล้วก็ไต่ลงเขา (ไป-กลับ เส้นทางเดิม) 
เอ้า !!! เริ่มเดิน 
กิโลเมตร แรกไม่เป็นไร ... กิโลเมตรถัดไปใจจะขาดดดดดด 
อมยิ้ม39
เราเดินทางขึ้นเขากันด้วยความมืด มีแค่แสงไฟจากไฟฉายที่คอยส่องทางให้เรา
ต้องบอกก่อนว่า มายา ไม่ใช่สายเดินป่าเดินเขา ไม่ถนัดเดินเลย
ครั้งนี้น่าจะเป็นการเดินที่ไกล และ โหด ที่สุดในชีวิตแล้ว

** ทุกคนคืออุปกรณ์เทร็กกิ้งพร้อม เรากับเพื่อน มีแค่ 2 มือเปล่า แม้แต่น้ำดื่มก็ยังลืมเอามา 555

ตอนที่เดินขึ้นเขา ทางมันชันแล้วพื้นที่เดินมันเป็นดินร่วนๆคือลื่นนน มากกก  
งานนี้เราใช้งานไกด์ได้คุ้มมากกก มายาเดินจูงมือไกด์ไม่ปล่อยเลย 5555 
(เอาจริงๆถ้าใครไม่ไหวเค้ามี ตั๊กๆๆๆกี้ หรือ แท็กซี่ ไว้คอยบริการนะ เป็นรถลาก ใช้คน 2-3 คนผลัดกันลาก
จากที่ดูแล้วคือเดินเหอะ ไม่รู้ว่านั่งรถกับเดินอันไหนลำบากว่ากัน  555)

" ไหนๆมาแล้ว อ่ะ มันต้องไปด้วยขาของเราดิ่ว่ะ!!! "

**ตอนที่เดินไปมันก็เหนื่อยมากๆนะ แต่ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนพอได้หยุดพักสักแปบมันก็หาย
ก็เหมือนการใช้ชีวิต พอรู้สึกเหนื่อยเมื่อไหร่ ก็แค่...หยุดพักสักแปบ !! แล้วค่อยไปต่อ สุดท้ายก็ถึงจุดหมายเหมือนคนอื่นๆ


ช่วงนี้เป็นทางลงเดินลัดเลาะลงไปตามหน้าผา เพื่อที่จะลงไปดู Blue fire ต้องรีบทำเวลา
ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น ชั่วโมงนี้ ทักษะการปีนป่ายต้อง มาค่ะ ล้มต้องรีบลุก ห้ามโอดครวญ 55
เพราะถ้ามัว ... ช้า หมด อดเห็น นะจ้ะ !! นี่คือเหตุผลที่ทุกคนต้องมาตั้งแต่ ตี 1 ตี 2 


และ แล้วววววว 
นี่คือเหตุผลที่เรามาที่นี้  “ เห็นนนแล้ว เจ้าเปลวไฟสีน้ำเงิน เงิน เงินน“   
**ถ้าใครนึกภาพไม่ออก ไปเปิดเตาแก๊สในครัว เปลวไฟสีฟ้าๆคล้ายกันเพียงแต่อันนี้มันเป็นเองตามธรรมชาติ

แต่อารมณ์ตอนนั้นคือ เหม็นกลิ่นกำมะถันมากกก (ไกด์เค้ามีหน้ากากกันแก๊สให้นะ แต่บอกเลยว่าไม่ช่วยอะไร)
แสบคอ แสบจมูก แสบตา มองอะไรไม่เห็น หายใจไม่ออก 
ความรู้สึกเหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต ยังไง ยังงั้น !

เรารีบเดินขึ้นมาข้างบน เพื่อหาอากาศบริสุทธ์อย่างไว 
พระอาทิตย์ค่อยๆ ขึ้นมาช้าๆ  เมื่อบรรยากาศรอบๆ ค่อยๆ สว่างขึ้นเราถึงกับอึ้งงงง !!! 
(อึ้ง กว่าเจ้าเปลวไฟสีน้ำเงินที่ตั้งใจมาดูซะอีก) 


ทะเลสาบสีฟ้า ขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยภูเขา 
อู้หู้ !! แกรรร มันสวยกว่าที่คิดไว้อีกหว่ะ !! เหมือนหลุดมาอีกโลกนึงเลย 
แล้วก็ขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระทึกหน่อย
ว่าเราเกือบมีวันสุดท้ายของชีวิตด้วยกันที่นี้ !!  5555

**สภาพเนื้อตัวมอมแมมมาก  รองเท้ามันเคยเป็นสีขาวมาก่อนนะ 555



และนี่ๆจ้าาา อดพูดถึงไม่ได้เลยจริงๆคนนี้ 
"เดอะเบส ไกด์ เอฟ เว่อร์ ออฟ คาวา อีเจี้ยน !! ปรบมือออ "
Roze  ดูแลดีตั้งแต่ต้นจนจบ ฝากชีวิตไว้กับนางเลย เห็นตัวจิ๋ววว แต่แจ๋วนะคะ
คุยสนุก นางรู้จักเพลงหญิงลีด้วย  พวกเราเลย จัดทั้งร้อง ทั้งเต้น ให้นางดูไป 1 ซิงเกิ้ล 555 
(Roze เพิ่งอายุ 24 นะ  ต้องเดินพานักท่องเที่ยวขึ้นลงเขาทุกวัน สูดเอากำมะถันเข้าปอดทุกวัน
มันเป็นงานที่เสี่ยงอันตรายมาก แต่มันเป็นอาชีพที่เค้าต้องทำเพื่อเลี้ยงตัวเอง เลยทิปให้นางไปหนักๆ)






ตลอดระยะทางเดินกลับคือไม่เหนื่อยเลย (ทั้งๆที่ระยะทางเท่าเดิม)
เพราะวิว สวยๆแบบนี้ตลอดทาง 
ท้องฟ้า ก้อนเมข แสงแดดอ่อนๆ ภูเขา ต้นไม้ นี่แหละ...อรรถรสของการเดินทาง  




 ระหว่างทางเดินลงเค้าจะมีจุดพัก 1 จุด ไว้พักดื่มชา กาแฟ รึถ้าใครๆหิวก็ซื้อ มาม่ากินรองท้องก่อนได้เลย 
ส่วนเราก็แวะซื้อน้ำดื่มกันจ้าาา คนอะไรเดินเขา ไม่พกน้ำดื่ม 5555 


คงจะเหมือนที่เค้าบอกกันว่า “The happiness is a way of travel not a destination”
ความสุขของการเดินทางอยู่ที่ระหว่างทาง .. ไม่ใช่อยู่ที่จุดหมายปลายทาง

ถ้าถามความถึง โหดของที่นี้ 10/10 
ความสวยให้ 10/10 
ความประทับใจ 10/10
แต่ถามว่าให้มาอีกมามั้ยย บอกเลยว่า  ไ ม่ ม า แ ล้ ว จ้ า 555 
ถ้าใครมีความกล้า ชอบความท้าทาย อยากให้มาลองดูสนุกไปอีกแบบ
  
มายาเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะชอบเที่ยวแนวผจญภัยแบบนี้ได้
เพราะปกติก็เป็นสาวออฟฟิต นั่งทำงานห้องแอร์ ใส่รองเท้าส้นสูง  
จนได้มาลอง มันคุ้มค่า มันสะใจ มันเหมือนเราแค่ต้องแข่งกับใจตัวเอง
ในระหว่างที่เดินไป บางทีก็คิดว่าจะไม่เดินแล้วให้เพื่อนไป จะรออยู่ตรงนี้
แต่พอตั้งใจเดินเอาชนะใจตัวเอง ได้แล้วจริงๆมันมีความสุขมากๆเลยนะ


                                    

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน และติดตามนะคะ ฝากบันทึกการเดินทางของมายาด้วยน้ะ
**สำหรับใครอยากมาเที่ยวแค่ โบรโม - คาวาอีเจี้ยน ใช้เวลาแค่ 3 วัน 2 คืน ก็มาได้เลยนะ

มาเหอะสักครั้งในชีวิต แล้วคุณจะไม่เสียดายเลยที่เลือกมาที่นี่


สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนมาคาวาอีเจี้ยน 
- รองเท้าดีสักๆคู่ ถ้ามีรองเท้าเทร็กกิ้ง เอามา (มายาใส่รองเท้าวิ่ง ซึ่งมันผิดวัตถุประสงค์มากๆ555) 
- แว่นกันลม เพราะกำมะถันทำเราแสบตามาก ลืมตาไม่ได้เลย (ซึ่งมายาไม่ได้เอามา) 
- ไฟฉายแบบคาดหัว เพราะมือจะได้ว่างไว้เกาะนู่นนี้ 
- ร่างกายต้องพร้อม 
- ที่สำคัญ “ใจ” ต้องพร้อมมาก
- ลงจากคาวาอีเจี้ยนแล้ว  > ก็ไปขึ้นเรือต่อ เพื่อที่จะข้ามไปเกาะบาหลี 

ครอยากไปเที่ยว ติดต่อไกด์เดียวกับพวกเรา ทักไปเลย
(อยากได้อะไร ไปที่ไหน ขอไปเยอะๆ  ที่สำคัญอย่าลืมต่อรองราคานะจ้ะ)
Line ID: sonnyfamily
Email : sonnyyanuar2@gmail.com
Facebook : Sonny Yanuar 

 
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่