Day3 Kawah Ijen กับเปลวไฟสีน้ำเงิน
ตื่นนอนตอนเช้า ได้เวลาที่ทุกคนต้องเตรียมตัวเก็บกระเป๋าเพื่อเดินทางต่อแล้วล่ะครับ หลังจากที่ตะลอนบาหลีมา 2วัน
และผิดแผนไปทั้ง2วันเพราะฝนฟ้าไม่เป็นใจ พวกเรามีแผนจะย้ายเมืองไปที่ Banyuwangi ซึ่งจะเป็นเมืองที่เราจะพักก่อนจะปีนภูเขาไฟลูกแรกของทริป ซึ่งก็คือ “Kawah Ijen” อันโด่งดังนั่นเอง
เราเดินทางออกจากที่พักโดยใช้บริการ Grab Taxi เพื่อไปส่งเราที่สถานีรถบัส “Mengwi” หรือ Mengwi Bus Terminal
หลังจากออกจากโรงแรม พี่Taxiก็พาเราลัดเลาะเข้าถนนหลัก ตัดเข้าถนนรองบ้าง ผ่านทางที่สองข้างทางเป็นทุ่งนาบ้าง สุดท้ายพี่เขาก็มาส่งผมหน้าสถานีรถบัส แต่ก่อนที่จะถึงสถานีพี่Taxiได้บอกกับพวกเราว่า อย่าบอกใครหรือแสดงท่าทีอะไรว่าพี่แกเป็น Grab เพราะจะเป็นปัญหาสำหรับแก
ให้บอกว่าเป็นเพื่อนกัน ซึ่งผมพอจะเดาได้ตั้งแต่พี่แกบอกว่าไม่ให้บอกใครว่าเป็นGrabแล้วล่ะครับ เพราะเรื่องราวมันเป็นฉากเดียวกันกับที่เป็นปัญหาในบ้านเรา
หลังจากลงจากรถพวกเราก็จัดฉากช่วยพี่แกนิดนึง แต่ละคนเข้าไปอำลา จับไม้จบมือกันก่อนจาก ระหว่างนั้นจะมีผู้คนมากมายมารอต้อนรับเราครับ
ทั้งคนที่จะมารอเข็นกระเป๋า ทั้งคนที่จะมาถามเราว่าจะไปไหน คือเรียกได้ว่ารายล้อมเลยทีเดียว
พอเดินไปถึงบริเวณชานชาลาก็มีคนเข้ามาสมทบ ผมบอกไปว่าผมจะไป Banyuwangi จากนั้นก็จะมีคนเสนอตัวว่าไปคันนี้สิ คันนี้จะออกแล้ว คันนี้ข้ามฝั่งแล้วส่งลงถึงที่ได้เลย ผมก็ไม่อ้อมค้อมที่จะถามราคา มีผู้ชายวัยหนุ่มคนนึงที่ประสบการณ์น่าจะยังไม่มาก เอาตั๋วให้ผมดูในราคา 90,000 IRD
ซักพักก็โดนวัยเก๋ากีดกันออกไป และพวกก็รุมกันเหมือนเดิม ประเด็นที่ผมถามจะมีแค่2ข้อเท่านั้นในการพูดคุย คือ
1. ตั๋วราคาเท่าไหร่ ก็จะมีคนเขียนใส่กระดาษมาว่า คนละ120,000IRD เราก็ต่อราคาลง จนสุดท้ายเหลือคนละ 100,000IRD ซึ่งแพงกว่าความเป็นจริงอยู่ 10,000IRD หรือ 25บาทไทย ซึ่งเป็นจุดที่ยอมรับได้ เพราะพยายามจะเอา90,000IRD อยู่หลายครั้งแต่ไม่เป็นผล
2. รถจะพาเราไปถึงไหน เพราะรถบางคันจะส่งถึงแต่ท่าเรือ “Gilimanuk” บางคันจะเอารถขึ้นเรือ หลังจากขึ้นท่าก็จะขับรถไปยังเมืองปลายทางต่อ
รถแบบปรับอากาศจะราคา 120,000IRD แต่จะถึงแค่ท่าเรือ ซึ่งเราจะต้องไปต่อเรือเอง ขึ้นท่าต้องหารถไปเอง ซึ่งผมคิดว่าอยากจะรวดเดียวให้ถึงที่พักเลย ไม่อยากเสียเงินจุกจิกกับค่าเดินทาง ดังนั้นจึงเลือกรถแบบร้อน ร้อนสมชื่อนะครับ เพราะพัดลมก็ไม่มี หน้าต่างเป็นแบบเปิดไม่ได้
เลื่อนได้แค่ช่องรับลมที่หน้าต่างด้านบน
หลังจากรถลัดเลาะเส้นทางริมชายหาดมหาสมุทรแปซิฟิกมาเรื่อยๆ ผมก็ค่อยๆเห็นความเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากที่บาหลีจะเจอรูปแบบความเชื่อแบบฮินดู อาคารบ้านเรือนตามรูปแบบความเชื่อ ก็จะกลายเป็นศาสนาอิสลามชัดเจนมากขึ้นตามระยะทางที่เพิ่มขึ้น
แอบอิจฉาราคาน้ำมันของที่นี่เหมือนกันแฮะ
ใช้เวลาประมาณ3ชั่วโมงรถก็มาถึงท่าเรือ "Gilimanuk" เราไม่ต้องลงจากรถครับ รถจะทำการเข้าคิวเพื่อขึ้นไปบนเรือ หลังจากขึ้นไปบนเรือแล้วรถจะหยุดและดับเครื่องยนต์ เรามีเวลา45นาทีครับสำหรับการขึ้นไปรับลมรับแดดบนเรือ ออกไปมองดูวิวภูเขาสูงทางฝั่งชวา และวิวอีกฝั่งที่เราพึ่งผ่านมา บอกได้คำเดียวว่าคุ้มค่ามากๆครับกับการยืนตากแดดดูวิวสวยๆ คุ้มค่าจริงๆ
ถึงแล้ว รถต่อคิวเข้าท่าเรือครับ
ไปลำไหนดีน้าาา
เรือกำลังออกจากฝั่งแล้ววว
ตากแดด แต่วิวคุ้มมากครับ
ก่อนที่เรือจะต่อแถวเข้าเทียบท่าผมก็ลงไปที่รถ ไปเตียมตัวขึ้นฝั่ง ออกจากท่าเรือรถจะพาพวกเรามุ่งหน้าไปที่ Banyuwangi หากไม่แน่ใจให้สอบถามพนักงาน หรือเน้นย้ำไปเลยนะครับว่าจะลงที่ Banyuwangi
พร้อมเดินทางต่อแล้วนะ
พี่ๆเหล่านี้ก็เตรียมพร้อมเหมือนกัน
หลังพวกเราลงรถแล้วก็ได้เวลาเดินไปที่พักครับ พวกเราต้องเดินย้อนไปราวๆ1กิโลเมตร พร้อมกระเป๋าใบใหญ่คนละใบสองใบ เพราะรถวิ่งเลยที่พัก5555
ที่พักของเราชื่อ "Tegar Homestay" ซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่ครับ อยู่ค่อนข้างลึกลับ ตอนแรกนึกว่าผิดทางครับแต่แผนที่บอกให้ไปตามนั้นจริงๆ เลยทำใจเดินเข้าไปมั่วๆ แต่สุดท้ายก็เจอ
Tegar Homestay
หลังจากเลือกห้อง วางของเสร็จแล้วก็ได้เวลาออกไปหาข้าวกิน เพราะวันนี้ตั้งแต่เช้ามีแค่ขนมกับน้ำที่ตกถึงท้อง เอ้อ ลืมบอกไปว่าวันนี้เราจะพักที่บ้านหลังนี้พร้อมกับฝรั่ง หญิง-ชาย 1คู่ ผมสังเกตุเห็นผู้หญิงครับ ตอนที่เขาใส่ชุดว่ายน้ำตัวจิ๋วนอนอาบแดดอยู่หลังบ้าน ผมนี่มันจะตาแร้งตาเหยี่ยวอะไรขนาดนั้นเนี่ย55555
ระหว่างเดินออกไปหาอะไรกินพวกเราก็เจอเข้ากับฝนครับ และทีท่าไม่ใช่ตกเล่นๆด้วย ตกหนักมากๆจนอดคิดถึงการปีนขึ้น Kawah Ijen คืนนี้ไม่ได้
เภาวนาอย่าให้ผิดแผนด้วยเถอะ เพราะมันจะกลายเป็นทริปที่ล้มเหลวไปทุกอย่าง
พวกเรานั่งทานข้าวอยู่ร้านข้างถนน แม่ค้าเป็นชาวอิสลาม อาหารก็จะมีพวกไก่ทอด+น้ำจิ้ม ผักต่างๆ แต่รสชาติอร่อยครับ รู้สึกได้เลยว่าไม่ได้กินอาหารรสชาติแบบนี้มาหลายวัน
หลังจากนั่งรอให้ฝนหยุดตกอยู่ครู่นึง พวกเราพากันเดินกลับที่พักและคุยกันเรื่องขึ้น Kawah Ijenสำหรับคืนนี้ สำหรับการขึ้นเขาจะต้องแชร์รถพาเราไป แต่เราโชคดีที่ที่พักมีบริการอยู่ โดยราคาช่วงธรรมดาจะอยู่ที่ 275,000IRD ต่อคน เราพยายามสื่อสารกับป้าที่ดูแลที่พัก ด้วยความที่ป้าคุยภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ ทำให้การคุยไม่ค่อยรู้เรื่อง จะกลายเป็นฮาซะด้วยซ้ำ555
มีเบอร์ติดต่อนะครับ ราคารวมหน้ากากกันแก๊ส ไฟฉาย และไกด์ 1คน
ตกเย็นป้าให้ลูกสาวเข้ามาคุยกับเราครับ จะบอกว่าลูกสาวป้าสวยมากกกก เป็นสาวอิสสามที่สวยและคมมากจริง คุยภาษาอังกฤษก็เก่ง แต่ตอนนี้ผมต้องนิ่งฟังครับ เพราะจะเป็นหัวหอกในการคุย พวกผู้ชายที่เหลือมันนั่งมองลูกสาวป้าอย่างเดียว5555
หลังจากคุยแล้วกันแล้วพวกเราได้ส่วนลดมานิดหน่อยครับ และเรามีนัดกันตอน 00.00 - 00.30 น. เพื่อเดินทางไปขึ้น Kawah Ijen เพื่อชมความงามของ Blue Fire หรือเปลวไฟสีน้ำเงิน อันเลื่องลือ ซึ่งมีเพียง2แห่งในโลก
ค่ำคืนแห่งการนอนเล่นโซเชียลของผมก่อนไปขึ้น Kawah Ijen ไปๆมาๆได้พักผ่อนแค่2ชั่วโมง ร่างกายยังล้ากับการเดินทางในวันนี้อยู่เลย เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ผมเริ่มไปล้างหน้าล้างตาและมานั่งรอที่Lobbyของที่พัก แต่ละคนเริ่มทยอยลงมารวมตัวกัน ไม่นานรถก็มาจอดที่หน้าบ้าน
ถึงเวลาที่เราจะต้องเดินทางแล้วล่ะครับ ก่อนจะมาผมไม่เคยอ่านรีวิวการขึ้น Kawah Ijen จากที่ไหนเลย ไม่รู้เรื่องสภาพเส้นทางอะไรเลย คืนนี้จึงเป็นการเที่ยวแบบไม่ได้เตรียมตัวอีก1คืน
รถพาเราลัดเลาะไปตามเส้นทางเรื่อยๆ และเส้นทางเริ่มชันมากขึ้นช่วงท้าย และเราก็มาถึงจุดเริ่มต้นของการขึ้นภูเขาไฟลูกนี้
คาวาอีเจี้ยน (Kawah Ijen) เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับของอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ในเขตชวาตะวันออก ความสูงประมาณ 2,799 เมตร
จุดเด่นคือ เปลวไฟสีน้ำเงิน (Blue Flame) จากเหมืองกำมะถันและทิวทัศน์ของทะเลสาบสีเขียวมรกตในปากปล่องภูเขาไฟ
ที่ Base จะมีที่ให้เรากางเต้นท์นอนได้ฟรีนะครับ หากเพื่อนๆคนไหนไม่อยากจ่ายค่าโรงแรมที่นี่ เพียงแต่ต้องหารถขึ้นไปที่Baseเอง หรืออาจจะเช่ารถมอเตอร์ไซด์ขับขึ้นไป ก่อนจะขึ้นเขาก็เตรียมเช่าหน้ากากกันควัน ไฟฉาย ให้เรียบร้อย
พวกเราเริ่มเดินขึ้นไปตามทางพร้อมกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ที่วันนี้คนไม่เยอะมากนัก เส้นทางช่วงเริ่มต้นพอเดินได้ดีครับ ความชันราวๆ15-20องศา ระยะทางสำหรับการเดินจะประมาณ3-4กิโลเมตร ใช้เวลาเดินขึ้นประมาณ1ชั่วโมง เนื่องจากทางบางช่วงจะชันถึง45องศา พวกเราขึ้นไปค่อนข้างช้าครับเพราะมีผู้หญิงอีกคนในกลุ่มเริ่มไม่ไหว เริ่มเดินแล้วมึนหัว เวียนศรีษะ ซึ่งผมก็เห็นนักท่องเที่ยวหลายคนมีอาการเดียวกัน
แบกเป้ท่องโลก บาหลี-คาวาอิเจี้ยน-โบรโม่ และสิงคโปร์ - วันที่ 3 "Kawah Ijen กับเปลวไฟสีน้ำเงิน"