แบกเป้ท่องโลก บาหลี-คาวาอิเจี้ยน-โบรโม่ และสิงคโปร์



เพื่อนๆสามารถเข้าไปเยี่ยมชมเพจของผมได้ที่ http://www.facebook.com/Backpacker.Pu
หรือที่เวป http://backpackerismeblog.wordpress.com/ 
มีข้อมูลหลายๆอย่างที่ได้รวบรวมไว้ที่นั่นครับ

แผนคร่าวๆ เพราะปกติจะไม่ค่อยวางแผนละเอียดนัก
-     8/04/2562            เดินทางจากดอนเมือง
-     9-10/04/2562       เที่ยวในบาหลี
-     11-12/04/2562     ปีนภูเขาไฟคาวาอิเจี้ยน
-     13/04/2562          ปีนภูเขาไฟโบรโม่
-     14/04/2562          สิงคโปร์
-     15/04/2562          เดินทางกลับเมืองไทย

อุปกรณ์ถ่ายภาพและวิดีโอ
-   DSLR  Nikon D5300
-   Iphone7
-   Lens   :  Nikon 18-140mm.    F3.5-5.6G (เลนส์เดียวเที่ยวรอบโลก)
                  Nikon Fix  50mm.    F1.8G (ใช้น้อยมาก เพราะเต็มจอเกินไป)

โปรแกรมจัดการภาพและวิดีโอ
-   Lightroom CC (โปรแกรมหมดอายุ ภาพแต่งไม่เสร็จ = พัง)
-   Darktable (ใช้แทน Lightroom CC)
-   Gimp (ใช้แทน Photoshop)
-   After Effect (โปรแกรมจัดการ VDO)


อารัมภบท 
           สวัสดีเพื่อนๆชาว Backpacker is me ทุกคนนะครับ วันนี้แอดจะมารีวิวสนุกๆ(หวังว่านะครับ555) จากการแบกเป้ท่องโลกอีกครั้ง ครั้งนี้ผมเดินทางไปในประเทศที่ยังไม่เคยไปมาก่อน และอยู่ไม่ไกลจากเมืองไทยมากนัก นั่งเครื่องราวๆ4ชั่วโมงกว่าๆเท่านั้นเอง(หลับคอพับแล้วคอพับอีก)
ประเทศนั้นก็คือ... "อิน โด นี เซีย เซีย เซีย เซีย...” (อย่าลืมใส่เอคโค่น้าา555) อ่ะ เอาดีๆก็คือ ประเทศ “อินโดนีเซีย”

โดยทริปนี้ผมขอตั้งชื่อว่า "แบกเป้ท่องโลก  บาหลี-คาวาอิเจี้ยน-โบรโม่ และสิงคโปร์" เอาจริงๆจะตัดสิงคโปร์ออกก็ได้นะครับ เพราะลงเครื่องตั้งแต่บ่ายโมง เกิดแอคซิเดนเอง กว่าจะได้ออกจากสนามบินก็ฟ้ามืดไปแล้ว  ทำได้แค่นั่งรถไฟไปหารุ่นพี่ ไปคุยงาน ไปพบปะกันเท่านั้นเอง555

           แรงบันดาลใจของการแบกเป้ในครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ยังไม่มีแฟน ตอนที่ยังเป็นหนุ่มโสด เกิดขึ้นหลังจากแบกเป้ลุยเดี่ยวมาหลายประเทศ ทั้งประเทศที่เจริญแล้ว อย่าง เนเธอร์แลนด์-สวิสเซอร์แลนด์-อิตาลี และประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างลาว-เวียดนาม(กลาง-ใต้) มันทำให้ประสบการณ์สะสมและกลมกล่อมมากขึ้น ความกล้าบ้าบอก็มากขึ้น นั่นแหละครับคือจุดเริ่มต้นของทริปนี้
"อยากไปปีนภูเขาไฟที่อินโดนีเซีย"  นั่นคือจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจทั้งหมดที่เกิดขึ้นสำหรับทริปนี้ แม้มันจะผ่านมานานหลายปีก็ตาม แต่ความอยากยังแรงกล้า  ส่งผลให้มาถึงจุดนี้   จุดที่เราก้าวขาเข้าเช็คอินที่สนามบินดอนเมือง

Start the trip 
8/04/2562   เป็นวันสุดท้ายของการทำงานก่อนหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ เป็นวันเดียวกับการแบกเป้ลุยเดี่ยวยุโรปเมื่อหลายปีก่อน เมื่อเดินทางจากที่พักด้วยรถไฟฟ้าBTS และต่อด้วยรถเมล์สายA1 เพื่อมุ่งสู่สนามบินนานาชาติดอนเมือง(พึ่งรู้ว่าสายนี้มีรถสีน้ำเงินแล้ว)
เมื่อไปถึงและเดินผ่านจุดที่เป็นภาพจำเมื่อครั้งนั้น วันนี้8เมษายน เป็นวันเดียวกับเมื่อหลายปีก่อนที่แบกเป้คนเดียวไปเที่ยวยุโรปแบบกล้าๆกลัวๆ มันทำให้ผมนึกถึงทุกจังหวะที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้อย่างชัดเจน นั่นแหละครับความพิเศษในการเดินทางของผมในครั้งนั้น  

จุดเดียวกันที่เคยยืนกล้าๆกลัวๆข้างเสาวันนี้เมื่อ4ปีก่อน


ทริปนี้ผมนัดกับเพื่อนๆอีก4คนไว้ที่สนามบินดอนเมือง วันนี้ไม่ได้กดเช็คอินกระเป๋าเพื่อโหลดใต้ท้องเครื่อง เลยโดนไป1,400บาท
สำหรับครั้งนี้สำหรับสายการบิน Air Asia    พวกเราต่างคนต่างเช็คอินและมุ่งไปที่ขาออกระหว่างประเทศ ผ่านด่าน ตม. ผ่านด่านตรวจความปลอดภัย
และแล้วพวกเราก็พร้อมแล้วล่ะครับ กับไฟล์ท 19:35น. แต่แล้วก็เจอกับ... Flight delay  มีประกาศออกมาว่าเครื่องมีปัญหาทางเทคนิค กำลังดำเนินการแก้ไข ในขณะที่ผู้คนเกือบจะล้นเกทด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวและคนเดินทางมหาศาล

ผ่านไปราวๆ30นาที มีประกาศจากสายการบินให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องได้ ซึ่งต้องนั่ง shutter bus เพื่อไปยังหลุมจอด
สำหรับครั้งนี้ก็เช่นเคย พวกเรา3ใน5คนไม่ยอมเสียตังค์จองที่นั่ง ทำให้พวกเรานั่งกระจัดกระจายกัน(ไม่ใช่งกนะ แต่คิดว่ามันคือเสน่ห์555)


พร้อมแล้วนะ อยากบินแล้วววว



ไปกันฮะ.....^___^


หลังจากเครื่อง take off แล้วก็ถึงเวลาแล้วล่ะครับ สำหรับการ "เหล่" สาวแอร์โฮสเตส 555 อันนี้ผมอาจจะพูดเล่นนะครับ^^
การเดินทางค่อนข้างจะนานนะครับในความรู้สึก เพราะที่นั่งไม่ได้กว้างเท่าไหร่นัก ที่ว่างด้านหน้าเหลือน้อยสำหรับคนที่สูง175cm.อย่างผม ทำให้หลับคอพับแล้วพับอีก  รู้สึกตัวเป็นระยะๆ  และแล้วความยาวนานของการเดินทางบนอากาศก็จะหยุดลงเมื่อนักบินทำการ Landing ลงสู่สนามบินเดนปาซ่า(Denpasar) หรือสนามบิน นูราราย(Ngurah Rai International Airport) แอบอ่านยากเหมือนกันแฮะ

หลังจากเครื่องเข้าเทียบจุดจอด และทำการเชื่อมต่อสะพานเข้ากับอาคารผู้โดยสารแล้ว พวกเราต่างพากันเดินปะปนกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆออกจากเครื่อง หลังจากที่เจอกลุ่มเพื่อนร่วมทริปครบทุกคนแล้วจึงเดินดิ่งไปที่ ตม.ขาเข้าของบาหลี, อินโดนีเซีย ภาษาอังกฤษคือ “Immigration” สำหรับใบ ตม.จะมีแจกให้บนเครื่องนะครับ สาวแอร์จะเดินถือและพูดว่า “Immigration card” เราสามารถเขียนตั้งแต่อยู่บนเครื่องได้เลย หากใครยังไม่ได้เขียน หรือไม่มีปากกา งานนี้ต้องหายืมจากนักเดินทางคนอื่นๆแล้วล่ะครับ สำหรับการผ่านด่าน ตม.ที่นี่จะดูแตกต่างจากหลายๆประเทศที่ผมเคยเดินทางมา เพราะที่บาหลีแห่งนี้เราจะผ่านเคาท์เตอร์ตรวจPassport จากเจ้าหน้าที่ก่อน พอเดินออกไปตามทางจะมีอีกจุดนึงสำหรับส่งบัตร ตม. 



                 หลังจากผ่านขั้นตอนการเข้าประเทศแล้วเดินออกไปตามทางเดินเรื่อยๆ ระหว่างทางจะพบกับผู้คนมากมายมารอต้อนรับเรา555
พี่ๆTaxiมากมายเข้ามารายล้อม ตอบแทบไม่หวาดไม่ไหว แม้ขณะนั้นจะเวลาตี1ตามเวลาท้องถิ่น(ไวกว่าไทย 1ชั่วโมง)
พี่ๆเขาไม่ลดละที่จะเข้ามาคุยเลยครับ ผมปฏิเสธไปหลายครั้งและหลายคนมากๆ แต่ก็ไม่วายที่จะเดินตาม ตามตื้อ แม้กระทั่งจะขึ้นลิฟท์ไปอีกชั้นเพื่อหาที่นั่งพัก ขณะที่ลิฟท์กำลังจะปิดพี่แกยื่นมือขวางลิฟท์เอาไว้และเข้ามาในลิฟท์กับพวกเรา และถามคำถามเดิมๆว่าจะไปไหน จะไปส่ง ผมเป็นTaxiถูกกฎหมาย ผมมีบัตรประจำตัว ซึ่งเพื่อนๆในทริปก็คงตกใจกันอยู่ไม่น้อยเพราะอีก2คนพึ่งเดินทางออกท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นครั้งแรก แต่สำหรับผมก็แอบตกใจอยู่เล็กน้อย ไม่คิดว่าเขาจะเข้ามาขวางลิฟท์และขึ้นมากับเรา มันเกินคาดไปนิดแหละครับ แต่ก็นะ โดนมาเยอะก็จะชินชาแบบนี้555

นี่แหละครับการถูกคุกคามครั้งแรกของทริปนี้ เปิดตัวแนวๆมาเฟียมันซะเลย^^


บรรยากาศภายในสนามบิน


บรรยากาศภายในสนามบิน


                สำหรับคืนนี้ผมวางแผนว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะสว่าง เลยขอนอนที่สนามบินครับ หลายๆคนอาจจะคิดว่ามันเป็นอะไรที่ทรมาน ก็นั่นแหละครับ
มันทรมานจริงๆ555 แต่สำหรับการได้เดินทางบ่อยๆ ไปไหนแบบ Backpackแล้วล่ะก็ เหตุการณ์แบบนี้คือเรื่องปกติครับ และไม่ใช่แค่เราที่เป็นแบบนี้
จะมีเพื่อนนักเดินทางอีกมากมายที่นอนสนามบินแบบพวกเรา มันคืออีกหนึ่งเสน่ห์ของ Backpacker นะครับ กับการนอนสนามบิน55555
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่