คาวาอีเจี้ยน (Kawah Ijen) เป็นหนึ่งในหลากหลายภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ ตั้งอยู่ในระยะ 20 กิโลเมตร ของเกาะชวาตะวันออก ในบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย
หลุมปล่องภูเขาไฟขอคาวาอีเจี้ยนมีความกว้างใหญ่เป็นกิโลเมตร มีแหล่งทะเลสาบภูเขาไฟสีเขียวขุ่นเทอควอยซ์ที่สามารถเห็นได้ชัดเจนในตอนกลางวัน และทะเลสาบยังมีมีส่วนผสมของกรดรั่วไหลของก๊าซกำมะถันอย่างต่อเนื่อง ทิวทัศน์ทะเลสาปสีเขียวมรกต เมื่อแดดยิ่งจัดผืนน้ำในทะเลสาปสีก็ยิ่งเข้มขึ้น จัดว่าเป็นความสวยงามที่แฝงเร้นด้วยพิษภัยอันตรายที่เราต้องพึงระวังอย่างสูง
ความมหัศจรรย์ของภูเขาไฟแห่งนี้ คือ ในตอนกลางคืนก๊าซร้อนจะเกิดการเผาไหม้ปะทุเปล่งแสงขึ้นมาเป็นลาวาซึ่งมีสีฟ้าน้ำเงินอันน่าตกตะลึง
แตกต่างจากสีของลาวาทั่วไป เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของภูเขาไฟที่ผู้คนให้ความสนใจกับความอัศจรรย์ธรรมชาติซึ่งมีอยู่ให้เห็นจริงๆ บนโลกของเราเอง ลาวาสีน้ำเงินเหล่านี้เกิดจากก๊าซปะทุตัวออกมาจากรอยแตกของภูเขาไฟที่มีความดันสูง และอุณหภูมิสูงถึง 600 องศาเซลเซียส และเมื่อก๊าซที่เผาไหม้ได้สัมผัสกับอากาศภายนอก ทำให้เกิดปฏิกิริยาปะทุขึ้นสูงถึง 16 ฟุต และบางส่วนของก๊าซกำมะถันก็กลายเป็นของเหลวที่ยังเผาไหม้ คล้ายกับบ่อลาวาสีน้ำเงิน ท่ามกลางเวลากลางคืน ที่ เรียกว่า “Blue Fire” คือ เปลวไฟจากการเผาไหม้ของกำมะถัน
เรื่องราวเริ่มขึ้น เมื่อผมได้รู้จักกับภูเขาสองลูกนามว่า “โบรโม่" และ "อีเจี้ยน" จากเพื่อนที่เพิ่งกลับมาจากอินโดฯ ซึ่งถ้าผู้อ่านเป็นช่างภาพ ก็น่าจะเคยเห็น "โบรโม่" อยู่บ่อยๆ เนื่องจากมันเป็นหนึ่งใน Dream Destination ของบรรดาช่างภาพสาย Landscape ที่ใฝ่ฝันว่าวันนึงจะมาล่าช้าง ถ่ายดาวหมุน เก็บทะเลหมอก
ส่วน "อีเจี้ยน" ความงามภายนอกไม่ใช้สิ่งที่ดึงดูดผู้คนเข้าไปหา แต่เป็นสิ่งที่อยู่ภายในปล่องไฟที่เต็มไปด้วยกำมะถัน "เปลวไฟสีฟ้า" คือสิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินกรุงเทพ-สุราบายา และก่อกำเนิดทริปฝ่าฝุ่นควันและกำมะถันแห่งชวาตะวันออกนี้ขึ้นมา
ในทริปนี้ เราเดินทางช่วงเดือน กรกฎาคม ที่วางแผนไว้เป็นเดือนนี้ เพราะเค้าว่ากันว่าโบรโม่เดือนนี้สวยที่สุด เนื่องจากไม่มีเที่ยวบินตรงไปลงสุราบายา
แต่จะมีหลายๆ ตัวเลือกว่าจะต่อเครื่องแบบไหน เวลาไหน สามารถปรับให้ตรงกับความสะดวกได้
Day 1: Bangkok To Surabaya
เริ่มทริปกันที่สนามบินดอนเมือง ไปลงสุราบายาครับ เราเดินทางด้วย Air Asia ต้องต่อเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 9 ชั่วโมงครับ สนามบินสุราบายาไม่ใหญ่มาก ไซส์ใกล้เคียงกับสนามบินเชียงใหม่ คนไม่เยอะทำให้ใช้เวลาไม่นานในการผ่านตม. และรับกระเป๋า
เมื่อเราเดินทางมาถึงสนามบินสุราบายา ช่วงเย็นของวันแรก ประมาณ 16.00 น. เรานัดกับไกด์มารอรับเราที่สนามบิน เพื่อออกเดินทางสู่คาวาอีเจี้ยน ด้วยระยะทางสุดไกล ออกเดินทางจากสุราบายาครับ ในคืนนี้จะต้องนั่งรถยาวไปให้ถึงอีเจี้ยนเลย เราวิ่งผ่านตัวเมืองสุราบายา ตัวเมืองค่อนข้าวเล็ก ลักษณะเป็นตึกแถวสองชั้น ไม่มีตึกสูง ถนนมีเลนเดียว รถค่อนข้างเยอะ และติดมาก วิ่งไปสักพัก พวกเราก็นั่งหลับยาวๆ เลย
ระหว่างทาง เราพักแวะกินข้าว
หลังจากพักรถบ้าง คนขับง่วงบ้าง ประมาณเที่ยงคืน เราก็มาถึงที่พัก
Arabica Homestay จองผ่าน booking ได้ในราคาไม่แพง รวมอาหารเช้า
วิวสวยงาม มีสวนดอกไม้และบริเวณให้เดิน มี Wifi บริการ (ไม่ค่อยดีเท่าไหร่) อาหารก็ไม่ถูกไม่แพง ราคากลางๆ ครับ
[CR] INDONESIA episode 2 "มหัศจรรย์ภูเขาไฟลาวาสีน้ำเงิน คาวาอีเจี้ยน (Kawah Ijen)" แห่งเกาะชวาตะวันออก
หลุมปล่องภูเขาไฟขอคาวาอีเจี้ยนมีความกว้างใหญ่เป็นกิโลเมตร มีแหล่งทะเลสาบภูเขาไฟสีเขียวขุ่นเทอควอยซ์ที่สามารถเห็นได้ชัดเจนในตอนกลางวัน และทะเลสาบยังมีมีส่วนผสมของกรดรั่วไหลของก๊าซกำมะถันอย่างต่อเนื่อง ทิวทัศน์ทะเลสาปสีเขียวมรกต เมื่อแดดยิ่งจัดผืนน้ำในทะเลสาปสีก็ยิ่งเข้มขึ้น จัดว่าเป็นความสวยงามที่แฝงเร้นด้วยพิษภัยอันตรายที่เราต้องพึงระวังอย่างสูง
ความมหัศจรรย์ของภูเขาไฟแห่งนี้ คือ ในตอนกลางคืนก๊าซร้อนจะเกิดการเผาไหม้ปะทุเปล่งแสงขึ้นมาเป็นลาวาซึ่งมีสีฟ้าน้ำเงินอันน่าตกตะลึง
แตกต่างจากสีของลาวาทั่วไป เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของภูเขาไฟที่ผู้คนให้ความสนใจกับความอัศจรรย์ธรรมชาติซึ่งมีอยู่ให้เห็นจริงๆ บนโลกของเราเอง ลาวาสีน้ำเงินเหล่านี้เกิดจากก๊าซปะทุตัวออกมาจากรอยแตกของภูเขาไฟที่มีความดันสูง และอุณหภูมิสูงถึง 600 องศาเซลเซียส และเมื่อก๊าซที่เผาไหม้ได้สัมผัสกับอากาศภายนอก ทำให้เกิดปฏิกิริยาปะทุขึ้นสูงถึง 16 ฟุต และบางส่วนของก๊าซกำมะถันก็กลายเป็นของเหลวที่ยังเผาไหม้ คล้ายกับบ่อลาวาสีน้ำเงิน ท่ามกลางเวลากลางคืน ที่ เรียกว่า “Blue Fire” คือ เปลวไฟจากการเผาไหม้ของกำมะถัน
เรื่องราวเริ่มขึ้น เมื่อผมได้รู้จักกับภูเขาสองลูกนามว่า “โบรโม่" และ "อีเจี้ยน" จากเพื่อนที่เพิ่งกลับมาจากอินโดฯ ซึ่งถ้าผู้อ่านเป็นช่างภาพ ก็น่าจะเคยเห็น "โบรโม่" อยู่บ่อยๆ เนื่องจากมันเป็นหนึ่งใน Dream Destination ของบรรดาช่างภาพสาย Landscape ที่ใฝ่ฝันว่าวันนึงจะมาล่าช้าง ถ่ายดาวหมุน เก็บทะเลหมอก
ส่วน "อีเจี้ยน" ความงามภายนอกไม่ใช้สิ่งที่ดึงดูดผู้คนเข้าไปหา แต่เป็นสิ่งที่อยู่ภายในปล่องไฟที่เต็มไปด้วยกำมะถัน "เปลวไฟสีฟ้า" คือสิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินกรุงเทพ-สุราบายา และก่อกำเนิดทริปฝ่าฝุ่นควันและกำมะถันแห่งชวาตะวันออกนี้ขึ้นมา
ในทริปนี้ เราเดินทางช่วงเดือน กรกฎาคม ที่วางแผนไว้เป็นเดือนนี้ เพราะเค้าว่ากันว่าโบรโม่เดือนนี้สวยที่สุด เนื่องจากไม่มีเที่ยวบินตรงไปลงสุราบายา
แต่จะมีหลายๆ ตัวเลือกว่าจะต่อเครื่องแบบไหน เวลาไหน สามารถปรับให้ตรงกับความสะดวกได้
Day 1: Bangkok To Surabaya
เริ่มทริปกันที่สนามบินดอนเมือง ไปลงสุราบายาครับ เราเดินทางด้วย Air Asia ต้องต่อเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 9 ชั่วโมงครับ สนามบินสุราบายาไม่ใหญ่มาก ไซส์ใกล้เคียงกับสนามบินเชียงใหม่ คนไม่เยอะทำให้ใช้เวลาไม่นานในการผ่านตม. และรับกระเป๋า
เมื่อเราเดินทางมาถึงสนามบินสุราบายา ช่วงเย็นของวันแรก ประมาณ 16.00 น. เรานัดกับไกด์มารอรับเราที่สนามบิน เพื่อออกเดินทางสู่คาวาอีเจี้ยน ด้วยระยะทางสุดไกล ออกเดินทางจากสุราบายาครับ ในคืนนี้จะต้องนั่งรถยาวไปให้ถึงอีเจี้ยนเลย เราวิ่งผ่านตัวเมืองสุราบายา ตัวเมืองค่อนข้าวเล็ก ลักษณะเป็นตึกแถวสองชั้น ไม่มีตึกสูง ถนนมีเลนเดียว รถค่อนข้างเยอะ และติดมาก วิ่งไปสักพัก พวกเราก็นั่งหลับยาวๆ เลย
ระหว่างทาง เราพักแวะกินข้าว
หลังจากพักรถบ้าง คนขับง่วงบ้าง ประมาณเที่ยงคืน เราก็มาถึงที่พัก Arabica Homestay จองผ่าน booking ได้ในราคาไม่แพง รวมอาหารเช้า
วิวสวยงาม มีสวนดอกไม้และบริเวณให้เดิน มี Wifi บริการ (ไม่ค่อยดีเท่าไหร่) อาหารก็ไม่ถูกไม่แพง ราคากลางๆ ครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้