สวัสดีค่ะ หลังจากติดตามพี่ๆเพื่อนๆในห้องบลูหลายท่านที่ไปเที่ยวทริปเกาะชวากลางเลยมีความฝันว่าอยากไปเยือนซักครั้ง โดยสถานที่ที่พวกเราเลือกไปก็คือภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน ภูเขาไฟโบรโม่ และจากนั้นก็เดินทางไปเที่ยวต่อที่บุโรพุทโธกับปรัมบานันที่เมืองยอร์กยากาตาร์ค่ะ การเดินทางครั้งนี้เรามีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด 4 คนค่ะ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมีเรากับเพื่อนผู้หญิงอิกคนที่อยากไปอีเจี้ยนกับโบรโม่มาหลายปีแล้ว ส่วนเพื่อนผู้ชายอิกสองคนที่ตามมาด้วยนั้น คนแรกชอบไปในสถานที่แปลกๆไม่เคยไปอยู่แล้วเลยไม่ซีเรียสอะไรมากมาย ส่วนอิกคนถูกเราหลอกมาค่ะด้วยไม้ตายที่บอกมันไปว่า "ทริปนี้ถ้าแกไม่มากับชั้นอย่าหวังเลยว่าแกจะได้มาแถบนี้อิก เพราะเพื่อนแกแต่ละคนคงไม่มีใครคิดจะมาแถบนี้แน่นอน เราคุยกับมันแค่คืนเดียวตอนเช้ามันเขียนใบลาเลยค่ะ 5555555555 "
ทริปนี้ได้ประสบการณ์หลายอย่างค่ะ ตั้งแต่นั่งเครื่องบิน รถแอร์พอร์ตบัส รถทัวร์ฉิ่งฉับที่โกงค่าโดยสาร รถแวน รถจิ๊บ ขี่ม้า แท็กซี่ทั้งเปิดและไม่เปิดมิเตอร์ถูกโกงค่ามิเตอร์ รถไฟชั้นfirst class
วันแรก 16 มิถุนายน 58 ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองซึ่งทีแรกเครื่องต้องออกประมาณ 3 ทุ่มไปเปลี่ยนเครื่องที่กรุงจากาตาร์เพื่อไปลงเมืองสุราบายาค่ะ แต่ไฟท์บินของเราล่าช้าทางสายการบินเลยให้เรากินเบอเกอร์ของMcฟรี (ดีใจจุง)
ไฟท์จริงออกเดินทางประมาณ 5 ทุ่มครึ่ง ถึงกรุงจากาตาร์ประมาณตี 2 ก็นอนพักผ่อนเอาแรงที่สนามบิน เวลาประมาณ 6.30 น. ได้เวลาเปลี่ยนเครื่อง ของวันที่ 17 มิถุนายน 58
พวกเราเดินทางถึงสนามบินฆวนด้าเมืองสุราบาย่าประมาณ 8 โมงเช้า จากนั้นเราออกมาหน้าสนามบินเพื่อต่อรถบัสดำริ (Damri bus) ราคา 25,000 rp = 67.5 บาท ซึ่งมีพี่ลุยเดี่ยวเที่ยวโบรโม่ในห้องบลูรีวิวไว้ว่าเป็นรถของรัฐบาลอินโดไปลงที่สถานีขนส่งปุราจายาค่ะ
เราแวะกินข้าวเช้าที่สถานีขนส่งปุราจายาก่อนต่อรถทัวร์ฉิ่งฉับไปสถานีขนส่งโปรโบลิงโก (ส่วนตัวคิดว่ารถทัวร์ฉิ่งฉับคันนี้น่าจะเป็นรถของเอกชนเพราะเรารู้มาก่อนว่ามันมีรถบัสดำริไปโปรโบลิงโกเหมือนกัน เซงเลยไม่น่าเดินตามมันไป) และโกงค่าโดยสารพวกเราด้วยเพราะเพื่อนๆแอบเห็นว่าเก็บค่าโดยสารคนที่นั่น 25,000 rp = 67.5 บาท แต่เก็บเราคนล่ะ 50,000 rp = 135 บาทแหน่ะ จนลุงที่นั่งข้างๆแอบยิ้มไอ้พวกนี้มันโดนแล้ว)
เวลาผ่านไปเกือบสามชั่วโมงพวกเราไปไม่ถึงสถานีขนส่งโปรโบลิงโกค่ะ รถจอดรับคนตลอดทางขับแบบหวานเย็นมาก อารมณ์ประมาณว่าสระบุรี-ลพบุรีบ้านเราก็ไม่ปาน มีคนขึ้นมาแจกของและขนมตลอดทางแล้วอยู่ๆก็เดินมาเก็บคืนเสมือนว่าถ้าแกหยิบไปกินแกต้องจ่ายตังก์ ซักพักก็มีวัยรุ่นอยู่กลุ่มนึงขึ้นมาระหว่างทางเพื่อร้องเพลงและตีกลองกับเล่นอุคูเลเล่ไปตลอดทางระยะนึงแล้วก็ยื่นหมวกเพื่อขอเงินด้วย แล้วอยู่ๆพวกเราถูกทิ้งลงข้างทางแบบงงๆโดยคนคุมรถบอกพวกเราว่านี่ล่ะโปรโบลิงโก ยูจะไปโบรโม่ใช่ไหมลงตรงนี้เลย ซึ่งตรงนั้นเป็นคูหาหน้าถนนและเป็นบริษัททัวร์ท้องถิ่นแห่งหนึ่งที่นั่น (ไหนฟร้าสถานีขนส่งโปรโบลิงโก)
หลังจากที่ลงรถพี่เจ้าของทัวร์ก็ออกมาต้อนรับพวกเราพร้อมถามว่าเราจะไปเที่ยวไหนบ้าง เราจึงบอกไปว่าเราจะไปอีเจี้ยนที่แรกก่อน (คือเราเช็คสภาพอากาศก่อนที่จะมาว่า ถ้าไปโบรโม่ก่อนเราจะเจอฝน 40%) แล้วค่อยกลับมาเที่ยวต่อที่โบรโม่ หลังจากนั้น พวกเราจะไปขึ้นรถไฟที่สถานีกูเบงเมืองสุราบายาเพื่อไปลงที่สถานีรถไฟตูกูเมืองยอร์กยากาตาร์ซึ่งใกล้ที่พักที่เราจองเอาไว้
พี่เจ้าของทัวร์เลยเสนอว่าทัวร์นี้รวมค่าเช่ารถและน้ำมันพร้อมคนขับ ค่าที่พักของที่อีเจี้ยน โบรโม่ (มีน้ำอุ่นทั้ง 2 ที่) + อาหารเช้า, ค่าเข้าอุทยานทั้ง 2 ที่, ค่าไกด์ท้องถิ่น, ค่ารถจิ๊บ และค่ารถไปยอร์กยากาตาร์ แต่ไม่รวมค่าขี่ม้า ค่าอาหารกลางวันและอาหารเย็นนะ ขากลับมาโปรโบลิงโกเพื่อต่อรถไปยอร์กยากาตาร์จะพาไปทานอาหารกลางวันแถวทะเลได้ชมวิวด้วย ก็ตกคนละ 1,800,000 rp = 4,860 บาท ยูโอเคมั๊ย
ซึ่งในใจเราแอบไม่เห็นด้วยที่จะนั่งรถไปยอร์กยากาตาร์เพราะเรารู้มาว่าถ้านั่งรถจะช้ากว่ารถไฟแน่นอน (จากที่อ่านรีวิวและหนังสือท่องเที่ยวบอกไว้ว่า รถยนต์ประมาณ 7-9 ชม. แต่รถไฟ 5 ชม.เป๊ะ) แต่เจ้าของทัวร์ก็โน้มน้าวทุกคนว่าถ้าพวกยูจะกลับไปสุราบาย่าก็ใช้เวลา 2-3 ชม.แล้วต่อรถไฟไปยอร์ยากาตาร์อีก 5 ชม. มันเวลาก็พอๆกันซึ่งไม่แน่ อาจจะต้องค้างที่สุราบายาอิกคืนค่อยเดินทาง (ตรงนี้เราว่าเจ้าของทัวร์เขาหลอกพวกเราแน่นอนเพราะเขาก็คงอยากได้ค่ารถเพิ่ม ค่าร้านอาหารที่พาเราไปแวะ ซึ่งเราดูตารางรถไฟมาก่อนแล้วมันก็มีเที่ยว 5 โมงเย็น กับทุ่มนึง ยังไงๆก็ต้องถึงยอร์กยากาตาร์ ถ้าช้าสุดประมาณ 5 ทุ่มล่ะว้า) และเราอยากจะซื้อทัวร์แค่ไปอีเจี้ยนเท่านั้นเพราะราคาน่าจะประมาณ 1,200 บาท/คน ส่วนโบรโม่เราสามารถไปเองได้เพราะมีรถบีโมหารเฉลี่ยกับพวกฝรั่งจากโปรโบลิงโกไปถึงหมู่บ้านคาเมล่าลาแวง ส่วนที่พักโบรโม่ก็สามารถเดินหาเอาเองได้ไม่ยากจากที่อ่านในหลายรีวิว แต่ ณ จุดๆนั้น เห็นหน้าตาเพื่อนๆทุกคนเริ่มเหนื่อยกับการเดินทางแล้ว ส่วนตัวเราก็เริ่มเหนื่อยล้าเช่นกันจึงตอบตกลงซื้อทัวร์นี่ล่ะ เอาวะเพื่อความสะดวกและสบายใจก็จัดไป
หลังจากซื้อทัวร์เรียบร้อยแล้ว (ต้องจ่ายเงินทันที) พวกเราก็เริ่มเดินทางไปสถานที่แรกก็คือคาวาอีเจี้ยน ณ เมืองบอนโดโวโซ ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากโปรโบลิงโกประมาณ 5 ชม. คนขับรถพาพวกเราแวะพักกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารข้างทางซึ่งเงียบเหงามาก เมนูอาหารมีไม่ค่อยหลากหลายซักเท่าไหร่
จากนั้นก็แวะให้ซื้อขนมและของใช้ส่วนตัวในร้านซุปเปอร์มาเก็ตที่นั่น ชื่อว่า Alfamart (เราเห็นมันมีอยู่ทุกที่นะ คิดว่าน่าจะเทียบได้กับ 7-11 บ้านเรานี่ล่ะ อีกร้านคู่แข่งกันก็คือ Indomaret ก็คงเทียบได้กับ Family Mart อิอิ) เส้นทางที่ไปอีเจี้ยนเราว่าไกลมากและไม่สามารถหารถไปเองได้ คนขับรถของเราก็ต้องขับทำเวลาอย่างมาก ขับลัดเลาะรอบๆภูเขามีทั้งขึ้นและลงอยู่หลายลูกเหมือนขับรถไปเขาใหญ่เลย สภาพอากาศด้านนอกรถก็เริ่มเย็นลงและท้องฟ้าที่นี่มืดไวมากเพราะพระอาทิตย์จะเริ่มตกประมาณ 5 โมงเย็น จนในที่สุดก็ถึงที่พักของพวกเราชื่อว่า Arabica Homestay เวลาประมาณทุ่มกว่าๆ โดยพวกเรานัดแนะกับคนขับรถว่าพวกเราต้องการไปดู Blue flame ที่อีเจี้ยน ดังนั้นพรุ่งนี้รถจะออกจากที่นี่ตอนตี 1 เพื่อให้ไปถึงทางเข้าอุทยานประมาณตี 2
มาพูดสภาพที่พักของกันบ้าง เรารู้สึกว่าไม่ต่างจากบ้านพักอุทยาน สภาพห้องนอนไม่ได้สะอาดนัก ผ้าคลุมเตียง ผ้าห่ม ปลอกหมอน คิดว่าไม่ได้เปลี่ยนบ่อย เพราะนักท่องเที่ยวมาที่นี่ก็แค่นอนพัก 3-4 ชม. ต้องออกเดินทางไปขึ้นเขาแล้ว ส่วนผ้าเช็ดตัวที่มีให้สีเหมือนผ้าขี้ริ้วแต่มีกลิ่นซักใหม่ใช้การได้ และห้องน้ำเจ้าของทัวร์บอกกับเราว่าจะมีน้ำมีน้ำอุ่นให้อาบ แต่ในความเป็นจริงน้ำที่ออกมาจากฝักบัวกลับกลายเป็นน้ำร้อนแล้วอยู่ๆก็ตัดเป็นน้ำเย็นสลับกันไป เราจึงต้องเปิดใส่ถังน้ำเพื่อให้กลายเป็นน้ำอุ่นแล้วใช้ขันตักอาบแทน
จากนั้นได้เวลานอนพักเพื่อเก็บแรงไปขึ้นเขาในวันพรุ่งนี้ซึ่งจริงๆแล้วเวลาเที่ยงคืนเราต้องรีบตื่นมาจัดกระเป๋า และตี 1 ก็ต้องเช็คเอ๊าและเริ่มออกเดินทางโดยทางที่พักก็ได้เตรียมอาหารเช้าใส่ถุงไว้ให้พวกเราแล้ว (มีขนมปัง 2 แผ่น + เนย +ไข่ต้ม 1 ฟอง)
ระยะทางจากที่พักพวกเราจนถึงทางขึ้นอุทยานของคาวาอีเจี้ยนคนขับรถของเราใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชม. พวกเราได้พบกับพี่ไกด์ท้องถิ่นซึ่งสามารถพูดภาษาอังกฤษได้มาดูแลพวกเราในช่วงระหว่างเดินขึ้นอีเจี้ยน เราเริ่มเดินขึ้นเวลาประมาณเกือบตี 2 เพื่อให้ทันดูBlue flame ส่วนเส้นทางการเดินนั้นถือว่าโหดมาก ความชันประมาณ 45 องศา up คือแบบว่ายิ่งสูงยิ่งชันยิ่งเหนื่อยและหายใจไม่ออก ระหว่างทางก็ต้องใช้ไฟฉายส่องทางเพราะบนเขานั้นมืดมากๆ จากที่อากาศหนาวก็ทำให้ร่างกายเราเริ่มอุ่นขึ้น บนนั้นมีจะจุดที่พักของนักท่องเที่ยวอยู่ 1 จุด มีห้องน้ำที่ดูไม่เหมือนห้องน้ำเป็นแค่ลานเล็กๆมีสังกะสีกั้น บริเวณนั้นจะเริ่มได้กลิ่นกำมะกันจากปากปล่องอีเจี้ยนลอยมาทำให้พวกเราเริ่มแสบจมูกแสบคอ พี่ไกด์เลยหยิบหน้ากากกรองอากาศให้พวกเราใส่คนละอันซึ่งก็สามารถช่วยเราหายใจได้สะดวกขึ้นบ้าง (ค่าเช่าหน้ากากอันละ 50,000 rp) จากจุดเริ่มต้นใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชม.ครึ่ง และแล้วก็ถึงจุดที่ทำให้เราเห็น Blue flame
ระหว่างถ่ายรูปก็มีลูกหาบเอากำมะถันที่หล่อขึ้นเองมาขายตัวละ 10,000 rp
เวลาผ่านไปประมาณตี 4 ครึ่งฟ้าเริ่มสว่างทำให้เราเริ่มเห็นทะเลสาบที่ปากปล่องภูเขาไฟ
อยู่ๆพี่ไกด์ก็มาเตือนเราว่าต้องกลับไปถึงที่จอดรถ 7 โมงเช้าเพราะเราต้องเดินทางกลับไปโปรโบลิงโกต่อ เราใช้เวลาเดินขากลับประมาณ 1 ชม. เพราะเรามองเห็นเส้นทางแล้ว
ระหว่างทางที่เดินกลับไปที่จอดรถ ก็เดินสวนกับพวกลูกหาบที่มาขนกำมะถันและนักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาในช่วงเช้า
[CR] ทริปเร่งด่วนบนเกาะชวา (คาวาอีเจี้ยน โบรโม่ บุโรพุทโธ ปรัมบานัน)
ทริปนี้ได้ประสบการณ์หลายอย่างค่ะ ตั้งแต่นั่งเครื่องบิน รถแอร์พอร์ตบัส รถทัวร์ฉิ่งฉับที่โกงค่าโดยสาร รถแวน รถจิ๊บ ขี่ม้า แท็กซี่ทั้งเปิดและไม่เปิดมิเตอร์ถูกโกงค่ามิเตอร์ รถไฟชั้นfirst class
วันแรก 16 มิถุนายน 58 ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองซึ่งทีแรกเครื่องต้องออกประมาณ 3 ทุ่มไปเปลี่ยนเครื่องที่กรุงจากาตาร์เพื่อไปลงเมืองสุราบายาค่ะ แต่ไฟท์บินของเราล่าช้าทางสายการบินเลยให้เรากินเบอเกอร์ของMcฟรี (ดีใจจุง)
ไฟท์จริงออกเดินทางประมาณ 5 ทุ่มครึ่ง ถึงกรุงจากาตาร์ประมาณตี 2 ก็นอนพักผ่อนเอาแรงที่สนามบิน เวลาประมาณ 6.30 น. ได้เวลาเปลี่ยนเครื่อง ของวันที่ 17 มิถุนายน 58
พวกเราเดินทางถึงสนามบินฆวนด้าเมืองสุราบาย่าประมาณ 8 โมงเช้า จากนั้นเราออกมาหน้าสนามบินเพื่อต่อรถบัสดำริ (Damri bus) ราคา 25,000 rp = 67.5 บาท ซึ่งมีพี่ลุยเดี่ยวเที่ยวโบรโม่ในห้องบลูรีวิวไว้ว่าเป็นรถของรัฐบาลอินโดไปลงที่สถานีขนส่งปุราจายาค่ะ
เราแวะกินข้าวเช้าที่สถานีขนส่งปุราจายาก่อนต่อรถทัวร์ฉิ่งฉับไปสถานีขนส่งโปรโบลิงโก (ส่วนตัวคิดว่ารถทัวร์ฉิ่งฉับคันนี้น่าจะเป็นรถของเอกชนเพราะเรารู้มาก่อนว่ามันมีรถบัสดำริไปโปรโบลิงโกเหมือนกัน เซงเลยไม่น่าเดินตามมันไป) และโกงค่าโดยสารพวกเราด้วยเพราะเพื่อนๆแอบเห็นว่าเก็บค่าโดยสารคนที่นั่น 25,000 rp = 67.5 บาท แต่เก็บเราคนล่ะ 50,000 rp = 135 บาทแหน่ะ จนลุงที่นั่งข้างๆแอบยิ้มไอ้พวกนี้มันโดนแล้ว)
เวลาผ่านไปเกือบสามชั่วโมงพวกเราไปไม่ถึงสถานีขนส่งโปรโบลิงโกค่ะ รถจอดรับคนตลอดทางขับแบบหวานเย็นมาก อารมณ์ประมาณว่าสระบุรี-ลพบุรีบ้านเราก็ไม่ปาน มีคนขึ้นมาแจกของและขนมตลอดทางแล้วอยู่ๆก็เดินมาเก็บคืนเสมือนว่าถ้าแกหยิบไปกินแกต้องจ่ายตังก์ ซักพักก็มีวัยรุ่นอยู่กลุ่มนึงขึ้นมาระหว่างทางเพื่อร้องเพลงและตีกลองกับเล่นอุคูเลเล่ไปตลอดทางระยะนึงแล้วก็ยื่นหมวกเพื่อขอเงินด้วย แล้วอยู่ๆพวกเราถูกทิ้งลงข้างทางแบบงงๆโดยคนคุมรถบอกพวกเราว่านี่ล่ะโปรโบลิงโก ยูจะไปโบรโม่ใช่ไหมลงตรงนี้เลย ซึ่งตรงนั้นเป็นคูหาหน้าถนนและเป็นบริษัททัวร์ท้องถิ่นแห่งหนึ่งที่นั่น (ไหนฟร้าสถานีขนส่งโปรโบลิงโก)
หลังจากที่ลงรถพี่เจ้าของทัวร์ก็ออกมาต้อนรับพวกเราพร้อมถามว่าเราจะไปเที่ยวไหนบ้าง เราจึงบอกไปว่าเราจะไปอีเจี้ยนที่แรกก่อน (คือเราเช็คสภาพอากาศก่อนที่จะมาว่า ถ้าไปโบรโม่ก่อนเราจะเจอฝน 40%) แล้วค่อยกลับมาเที่ยวต่อที่โบรโม่ หลังจากนั้น พวกเราจะไปขึ้นรถไฟที่สถานีกูเบงเมืองสุราบายาเพื่อไปลงที่สถานีรถไฟตูกูเมืองยอร์กยากาตาร์ซึ่งใกล้ที่พักที่เราจองเอาไว้
พี่เจ้าของทัวร์เลยเสนอว่าทัวร์นี้รวมค่าเช่ารถและน้ำมันพร้อมคนขับ ค่าที่พักของที่อีเจี้ยน โบรโม่ (มีน้ำอุ่นทั้ง 2 ที่) + อาหารเช้า, ค่าเข้าอุทยานทั้ง 2 ที่, ค่าไกด์ท้องถิ่น, ค่ารถจิ๊บ และค่ารถไปยอร์กยากาตาร์ แต่ไม่รวมค่าขี่ม้า ค่าอาหารกลางวันและอาหารเย็นนะ ขากลับมาโปรโบลิงโกเพื่อต่อรถไปยอร์กยากาตาร์จะพาไปทานอาหารกลางวันแถวทะเลได้ชมวิวด้วย ก็ตกคนละ 1,800,000 rp = 4,860 บาท ยูโอเคมั๊ย
ซึ่งในใจเราแอบไม่เห็นด้วยที่จะนั่งรถไปยอร์กยากาตาร์เพราะเรารู้มาว่าถ้านั่งรถจะช้ากว่ารถไฟแน่นอน (จากที่อ่านรีวิวและหนังสือท่องเที่ยวบอกไว้ว่า รถยนต์ประมาณ 7-9 ชม. แต่รถไฟ 5 ชม.เป๊ะ) แต่เจ้าของทัวร์ก็โน้มน้าวทุกคนว่าถ้าพวกยูจะกลับไปสุราบาย่าก็ใช้เวลา 2-3 ชม.แล้วต่อรถไฟไปยอร์ยากาตาร์อีก 5 ชม. มันเวลาก็พอๆกันซึ่งไม่แน่ อาจจะต้องค้างที่สุราบายาอิกคืนค่อยเดินทาง (ตรงนี้เราว่าเจ้าของทัวร์เขาหลอกพวกเราแน่นอนเพราะเขาก็คงอยากได้ค่ารถเพิ่ม ค่าร้านอาหารที่พาเราไปแวะ ซึ่งเราดูตารางรถไฟมาก่อนแล้วมันก็มีเที่ยว 5 โมงเย็น กับทุ่มนึง ยังไงๆก็ต้องถึงยอร์กยากาตาร์ ถ้าช้าสุดประมาณ 5 ทุ่มล่ะว้า) และเราอยากจะซื้อทัวร์แค่ไปอีเจี้ยนเท่านั้นเพราะราคาน่าจะประมาณ 1,200 บาท/คน ส่วนโบรโม่เราสามารถไปเองได้เพราะมีรถบีโมหารเฉลี่ยกับพวกฝรั่งจากโปรโบลิงโกไปถึงหมู่บ้านคาเมล่าลาแวง ส่วนที่พักโบรโม่ก็สามารถเดินหาเอาเองได้ไม่ยากจากที่อ่านในหลายรีวิว แต่ ณ จุดๆนั้น เห็นหน้าตาเพื่อนๆทุกคนเริ่มเหนื่อยกับการเดินทางแล้ว ส่วนตัวเราก็เริ่มเหนื่อยล้าเช่นกันจึงตอบตกลงซื้อทัวร์นี่ล่ะ เอาวะเพื่อความสะดวกและสบายใจก็จัดไป
หลังจากซื้อทัวร์เรียบร้อยแล้ว (ต้องจ่ายเงินทันที) พวกเราก็เริ่มเดินทางไปสถานที่แรกก็คือคาวาอีเจี้ยน ณ เมืองบอนโดโวโซ ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากโปรโบลิงโกประมาณ 5 ชม. คนขับรถพาพวกเราแวะพักกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารข้างทางซึ่งเงียบเหงามาก เมนูอาหารมีไม่ค่อยหลากหลายซักเท่าไหร่
จากนั้นก็แวะให้ซื้อขนมและของใช้ส่วนตัวในร้านซุปเปอร์มาเก็ตที่นั่น ชื่อว่า Alfamart (เราเห็นมันมีอยู่ทุกที่นะ คิดว่าน่าจะเทียบได้กับ 7-11 บ้านเรานี่ล่ะ อีกร้านคู่แข่งกันก็คือ Indomaret ก็คงเทียบได้กับ Family Mart อิอิ) เส้นทางที่ไปอีเจี้ยนเราว่าไกลมากและไม่สามารถหารถไปเองได้ คนขับรถของเราก็ต้องขับทำเวลาอย่างมาก ขับลัดเลาะรอบๆภูเขามีทั้งขึ้นและลงอยู่หลายลูกเหมือนขับรถไปเขาใหญ่เลย สภาพอากาศด้านนอกรถก็เริ่มเย็นลงและท้องฟ้าที่นี่มืดไวมากเพราะพระอาทิตย์จะเริ่มตกประมาณ 5 โมงเย็น จนในที่สุดก็ถึงที่พักของพวกเราชื่อว่า Arabica Homestay เวลาประมาณทุ่มกว่าๆ โดยพวกเรานัดแนะกับคนขับรถว่าพวกเราต้องการไปดู Blue flame ที่อีเจี้ยน ดังนั้นพรุ่งนี้รถจะออกจากที่นี่ตอนตี 1 เพื่อให้ไปถึงทางเข้าอุทยานประมาณตี 2
มาพูดสภาพที่พักของกันบ้าง เรารู้สึกว่าไม่ต่างจากบ้านพักอุทยาน สภาพห้องนอนไม่ได้สะอาดนัก ผ้าคลุมเตียง ผ้าห่ม ปลอกหมอน คิดว่าไม่ได้เปลี่ยนบ่อย เพราะนักท่องเที่ยวมาที่นี่ก็แค่นอนพัก 3-4 ชม. ต้องออกเดินทางไปขึ้นเขาแล้ว ส่วนผ้าเช็ดตัวที่มีให้สีเหมือนผ้าขี้ริ้วแต่มีกลิ่นซักใหม่ใช้การได้ และห้องน้ำเจ้าของทัวร์บอกกับเราว่าจะมีน้ำมีน้ำอุ่นให้อาบ แต่ในความเป็นจริงน้ำที่ออกมาจากฝักบัวกลับกลายเป็นน้ำร้อนแล้วอยู่ๆก็ตัดเป็นน้ำเย็นสลับกันไป เราจึงต้องเปิดใส่ถังน้ำเพื่อให้กลายเป็นน้ำอุ่นแล้วใช้ขันตักอาบแทน
จากนั้นได้เวลานอนพักเพื่อเก็บแรงไปขึ้นเขาในวันพรุ่งนี้ซึ่งจริงๆแล้วเวลาเที่ยงคืนเราต้องรีบตื่นมาจัดกระเป๋า และตี 1 ก็ต้องเช็คเอ๊าและเริ่มออกเดินทางโดยทางที่พักก็ได้เตรียมอาหารเช้าใส่ถุงไว้ให้พวกเราแล้ว (มีขนมปัง 2 แผ่น + เนย +ไข่ต้ม 1 ฟอง)
ระยะทางจากที่พักพวกเราจนถึงทางขึ้นอุทยานของคาวาอีเจี้ยนคนขับรถของเราใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชม. พวกเราได้พบกับพี่ไกด์ท้องถิ่นซึ่งสามารถพูดภาษาอังกฤษได้มาดูแลพวกเราในช่วงระหว่างเดินขึ้นอีเจี้ยน เราเริ่มเดินขึ้นเวลาประมาณเกือบตี 2 เพื่อให้ทันดูBlue flame ส่วนเส้นทางการเดินนั้นถือว่าโหดมาก ความชันประมาณ 45 องศา up คือแบบว่ายิ่งสูงยิ่งชันยิ่งเหนื่อยและหายใจไม่ออก ระหว่างทางก็ต้องใช้ไฟฉายส่องทางเพราะบนเขานั้นมืดมากๆ จากที่อากาศหนาวก็ทำให้ร่างกายเราเริ่มอุ่นขึ้น บนนั้นมีจะจุดที่พักของนักท่องเที่ยวอยู่ 1 จุด มีห้องน้ำที่ดูไม่เหมือนห้องน้ำเป็นแค่ลานเล็กๆมีสังกะสีกั้น บริเวณนั้นจะเริ่มได้กลิ่นกำมะกันจากปากปล่องอีเจี้ยนลอยมาทำให้พวกเราเริ่มแสบจมูกแสบคอ พี่ไกด์เลยหยิบหน้ากากกรองอากาศให้พวกเราใส่คนละอันซึ่งก็สามารถช่วยเราหายใจได้สะดวกขึ้นบ้าง (ค่าเช่าหน้ากากอันละ 50,000 rp) จากจุดเริ่มต้นใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชม.ครึ่ง และแล้วก็ถึงจุดที่ทำให้เราเห็น Blue flame
ระหว่างถ่ายรูปก็มีลูกหาบเอากำมะถันที่หล่อขึ้นเองมาขายตัวละ 10,000 rp
เวลาผ่านไปประมาณตี 4 ครึ่งฟ้าเริ่มสว่างทำให้เราเริ่มเห็นทะเลสาบที่ปากปล่องภูเขาไฟ
อยู่ๆพี่ไกด์ก็มาเตือนเราว่าต้องกลับไปถึงที่จอดรถ 7 โมงเช้าเพราะเราต้องเดินทางกลับไปโปรโบลิงโกต่อ เราใช้เวลาเดินขากลับประมาณ 1 ชม. เพราะเรามองเห็นเส้นทางแล้ว
ระหว่างทางที่เดินกลับไปที่จอดรถ ก็เดินสวนกับพวกลูกหาบที่มาขนกำมะถันและนักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาในช่วงเช้า