เป็นกระทู้แรก ผิดพลาดยังไงขออภัยไว้ด้วยนะคะ
ติดตามข้อมูล รีวิวการเดินทาง พูดคุยกับผู้เขียนได้ที่
การได้มาเยือนภูเขาไฟบนเกาะชวาฝั่งตะวันออก (East Java) ของอินโดนีเซีย คงเป็นทริปในฝันของใครหลายๆ คน เพราะความงดงามของภูเขาไฟ Bromo ที่ยังปะทุ มีควันพวยพุ่งออกมาอยู่ตลอดเวลา และกลุ่มภูเขาไฟรอบๆ กับทะเลหมอกสีขาวที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ไม่ว่าจะถ่ายรูปจากมุมไหนก็ดูสวยไปหมด และการได้มาเห็นความเป็นที่สุดในโลกหลายอย่างรวมอยู่ในที่เดียวกันที่ภูเขาไฟ Kawah Ijen ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เปลวไฟสีน้ำเงิน Blue Flame ที่ใหญ่ที่สุดในโลก Sulfur lake ทะเลสาบกรดที่ใหญ่และสูงที่สุดในโลก และ Kawah Ijen ยังเป็นหนึ่งในปากปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ซึ่งเหตุผลทั้งหมดนี้ ทำให้เราตัดสินใจมาที่นี่ได้ไม่ยากเลย
ขออธิบายคำว่า "The Ring of Fire" กันสักนิดตามชื่อกระทู้ ซึ่งก็คือบริเวณในมหาสมุทรแปซิฟิกที่เกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดบ่อยครั้ง มีลักษณะเป็นเส้นเกือกม้า ความยาวรวมประมาณ 40,000 กม. และวางตัวตามแนวร่องลึกก้นสมุทร แนวภูเขาไฟและบริเวณขอบแผ่นเปลือกโลก โดยมีภูเขาไฟที่ตั้งอยู่ภายในวงแหวนแห่งไฟทั้งหมด 452 ลูก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีภูเขาไฟมีพลัง (Active Volcano) อยู่กว่าร้อยละ 75 ของภูเขาไฟมีพลังทั้งโลก และภูเขาไฟ Bromo กับ Kawah Ijen ก็เป็นส่วนหนึ่งในวงแหวนแห่งไฟนี้ด้วยค่ะ
ทริปนี้เราเดินทางไปอินโดนีเซียระหว่างวันที่ 18 - 26 เม.ย 2016 โดยแบ่งการเดินทางออกเป็น 2 เกาะ เริ่มที่ฝั่งเกาะชวาก่อนซึ่งควรมีเวลาสำหรับภูเขาไฟ Bromo, น้ำตก Madakaripura และภูเขาไฟ Kawah Ijen ประมาณ 3 - 4 วัน จะได้ไม่เหนื่อยจนเกินไป ส่วนฝั่งเกาะบาหลี จะเขียนแยกอีกกระทู้นะคะ ฝั่งเกาะชวานี้สามารถบินไปกลับ กรุงเทพ - สุราบายาได้เลย แต่ทริปนี้เราบินมาลงสุราบายา เที่ยวบนเกาะชวา 4 วัน แล้วนั่งเรือข้ามเกาะ 1 ชม.ไปเกาะบาหลีเที่ยวต่ออีก 5 วัน แล้วบินกลับไทยจากสนามบินเดนปาซาร์ เกาะบาหลีค่ะ
ส่วนเรื่องการเดินทางบนเกาะชวา การใช้บริการรถเช่าพร้อมคนขับ เป็นตัวเลือกที่สะดวกและเหมาะสมที่สุดสำหรับการท่องเที่ยวที่นี่ เราใช้วิธีติดต่อกันทางอีเมล์ล่วงหน้า 1 เดือน หลังจากเปรียบเทียบราคาและเงื่อนไขต่างๆ มา 4 บริษัท ก็เลยตัดสินใจใช้บริการของ Tommy เพราะราคาดีสุด คิดค่าบริการรายหัวซึ่งจะต่างกับบริษัทอื่น ตอบอีเมล์ได้ชัดเจนและรวดเร็ว โดยเราเริ่มทริปกับ Tommy ตั้งแต่ลงเครื่องที่สุราบายา เที่ยว Bromo - Kawah Ijen 4 วัน (ฝั่งบาหลีใช้บริการของอีกบริษัทนึงค่ะ) ซึ่งค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ร่วมทริปด้วย ถ้าเดินทางประมาณ 2 - 6 คน (พอดีกับรถ 1 คัน) จะตกอยู่ที่ประมาณ 6,000 - 10,000 บาท/คน รวมค่าน้ำมัน คนขับ รถจี๊ปขึ้นเขา ค่าเข้าสถานที่ ค่าไกด์ท้องถิ่น ค่าที่พัก 3 คืน+อาหารเช้า ยกเว้นค่าอาหารมื้ออื่นๆ ค่าขี่ม้า (270 บาท) และค่าหน้ากากกันแก๊สกำมะถันที่ Kawah Ijen (135 บาท) ค่ะ ติดต่อ Tommy ได้ที่ Email : blueisland_024@yahoo.com
สำหรับนักท่องเที่ยวไทยสามารถไปท่องเที่ยวและพำนักในประเทศอินโดนีเซียได้ 30 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่านะ ส่วนสกุลเงินที่ใช้คือ รูเปียห์ Rupiahs (IDR) อัตราแลกเปลี่ยนเมื่อเดือนเมษายน 2016 อยู่ที่ประมาณ IDR1,000 = THB2.70
ออกเดินทางกันเลย....
Day 1 ดอนเมือง - สุราบายา ตอนนั้นเราบินตรงใช้เวลา 4 ชม. ได้ตั๋วของ Airasia ราคา 3,400 บาท แต่เท่าที่เช็คในปัจจุบันนี้ไม่มีบินตรงแล้ว ต้องต่อเครื่องที่อื่นก่อน ใช้เวลาเดินทางมากขึ้นเป็น 8 - 16 ชม. มีหลายสายการบินให้เลือกเช่น Airasia, Tigerair, Scoot ค่ะ
มาถึงสุราบายา "Iwan" คนขับรถจาก Tommy ก็มาถือป้ายรอรับ เพื่อเดินทางต่อไปที่เมือง Probolinggo ไปรอขึ้นภูเขาไฟ Bromo ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินประมาณ 3 - 4 ชม. ขึ้นอยู่กับปริมาณรถติดและความซิ่งของคนขับ ถึงโรงแรมก็รีบพักผ่อน เพราะต้องตื่นตอนตี 2:30 ค่ะ
Day 2 Iwan นัดตี 3 เปลี่ยนมาเป็นรถจี๊ป ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที ไปจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูเขา Penanjakan อากาศหนาวมาก มาถึงค่อนข้างเร็วประมาณตี 4 แล้วต้องยืนรอท่ามกลางความมืดและความหนาวอีกเกือบ 2 ชม. กว่าพระอาทิตย์จะขึ้น ตอนแรกก็แอบคิดว่าทำไมต้องพาเรามาแต่เช้าจัง แต่พอมาถึงแล้วก็เห็นว่านักท่องเที่ยวมารอกันมากมายแล้วค่ะ
เป็นการตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น เช้าที่สุดในชีวิต แต่สิ่งที่ทำให้ตื่นเต้นได้มากกว่าการมาดูพระอาทิตย์ขึ้นสวยๆ ก็คือการรอคอยแสงสว่าง เพื่อที่จะได้มองเห็นภูเขาไฟ Bromo ของจริง ไม่ใช่รูปในอินเตอร์เนต ><
พอฟ้าสว่างขึ้น ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า กลุ่มภูเขาไฟและ Bromo ที่กำลังพ่นควันอยู่ มันทำให้เราลืมความหนาว ง่วงและเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลไปจนหมด หันไปพูดกับเพื่อนพร้อมกันว่า เฮ้ย...มันสวยมาก ตัดสินใจถูกที่สุด ที่ทิ้งตั๋วขามาลงบาหลีแล้วซื้อตั๋วใหม่มาที่สุราบายา ถึงแม้เราจะมากันแค่ 2 คนโดนค่ารถเช่าแพงมาก แต่ก็ไม่รู้สึกเสียดายเงินเลยจริงๆ และนี่คือความอัศจรรย์ทางธรรมชาติที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งนึงของเกาะชวาตะวันออกค่ะ
วิวหมู่บ้าน Cemoro Lawang บริเวณโรงแรมที่เราพักนั่นเอง
ภูเขาไฟ Bromo ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Bromo - Tengger - Semeru บนเกาะชวาตะวันออก มีความสูง 2,329 เมตร และถูกเรียกว่า ลมหายใจของเทพเจ้า “Breathe of God” ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของศาสนาฮินดูค่ะ
หลังจากชมวิวบนภูเขา Penanjakan กันสักพัก ระหว่างทางลงมาก็มีอีกจุดที่คนขับจอดรถให้ลงไปถ่ายรูปกัน จะได้มุมนี้ค่ะ
วันนี้เราไม่ได้เห็นทะเลหมอกเต็มๆ เหมือนที่คิดไว้ แต่ก็ไม่เป็นไร แค่นี้ก็สวยจะแย่แล้ว
ภูเขาไฟ Batok เป็นภูเขาไฟที่สงบนิ่งแล้ว
ภูเขาไฟที่สำคัญอีกลูก คือเขา Semeru ภูเขาไฟที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดตามคติของศาสนาฮินดู ถือเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล และเป็นภูเขาไฟที่สูงที่สุดบนเกาะชวา มีความสูงเด่นลาดชันได้รูป และสวยงามของสัดส่วนความเป็นภูเขามากที่สุด ทุกๆ 15 - 20 นาที เขา Semeru จะระเบิดกลุ่มควันพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ายังกับมีระเบิดเวลาธรรมชาติซ่อนอยู่อะไรประมาณนั้น ตอนแรกที่ได้ยินเสียง....ตู้มมมม แว่วๆ แต่ไกล แอบตกใจเพราะไม่เคยรู้มาก่อน หันไปมองหน้า Iwan แบบงงๆ เขาก็เลยเล่าให้ฟังว่าเป็นเรื่องปกติ
ลงมาจากจุดชมวิว รถจี๊ปจะมาจอดตรงบริเวณตีนเขาด้านล่าง เพื่อให้เราเดินหรือขี่ม้า ตอนนั้นเราเลือกขี่ม้าเพราะอยากลอง แล้วระยะทางดูค่อนข้างไกลสำหรับพวกเราที่เดินทางไกลกันมาตลอดทั้งวันทั้งคืนและได้นอนแค่ชั่วโมงเดียว แอบหมดแรงก็เลยต้องพึ่งน้องม้าให้พาไปส่ง ราคามาตรฐานไป-กลับ อยู่ที่ 50,000 - 100,000 รูเปียห์
ม้าจะขึ้นมาส่งตรงจุดที่ขึ้นเขามาได้สักนิด หลังจากเราต้องปีนบันไดขึ้นมาเองค่ะ
ผงฝุ่นกำมะถันจะฟุ้งมากๆ ตกลงมาเหมือนฝน เต็มตาเต็มจมูกเลยทีเดียว
ภูเขาไฟ Batok ในมุมใกล้ๆ
ไต่ขึ้นมาแล้วหันกลับไปจากมุมนี้จะเห็นเทวสถานฮินดูที่เราขี่ม้าผ่านมา กองทัพรถจี๊ปและฝูงม้า วิวทะเลฝุ่นกำมะถันสีดำ และเทือกเขา Penanjakan ที่เราเพิ่งลงมากันเมื่อเช้ามืด อยู่ไกลๆ ค่ะ
ใช้เวลาไม่นานมาก ก็มายืนบนปากปล่องภูเขา Bromo แล้ววววว แอบน่ากลัวสำหรับคนกลัวความสูงอย่างเราค่ะ และสมกับที่ได้รับสมญานามว่าเป็น "ลมหายใจของเทพเจ้า" เสียงคำรามของ Bromo ดังสนั่นไปทั่ว มีควันพวยพุ่งขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา หนักบ้างเบาบ้าง กลิ่นและฝุ่นกำมะถันก็รุนแรงขึ้นกว่าตอนที่เดินขึ้นมา เรายืนอยู่ตรงนี้ได้ไม่นานก็ต้องถอย แต่บางคนกล้าหน่อยก็เดินไปรอบๆ ได้เลย แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังให้มากด้วย เพราะจุดนั้นมีรั้วคอนกรีตกั้นนิดเดียว ถ้าเดินเลยวนไปรอบๆ คืออันตรายมากเพราะมีนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์เพิ่งตกลงก่อนหน้าที่เราจะมาได้ไม่นาน
บนปากปล่องจะมีชาวบ้านพื้นเมืองมาขายดอกไม้ให้นักท่องเที่ยวได้อธิษฐาน ขอพร และเพื่อแสดงการสักการะเทพเจ้า อธิษฐานแล้วก็โยนลงไปในปล่องภูเขาไฟค่ะ
ขากลับลงมา เวลาประมาณ 8 โมงเช้า มีแดดพอให้อากาศอบอุ่นขึ้นมาบ้าง
ร่ำลาน้องม้ากันตรงนี้ และนี่เป็นการขี่ม้าครั้งแรกของเราค่ะ จับเชือกมือนึง ถือกล้องถ่ายรูปอีกมือนึง ทางตรงยังพอไหวแต่ทางขึ้นเขาต้องจับให้แน่นทั้งสองมือ เพราะทางชันมากถ้าตกลงมาเจ็บแน่ๆ ค่ะ ><"
จบจากลงภูเขาไฟ Bromo ก็นั่งรถจิ๊ปมาต่อที่ทุ่งหญ้า Savanna ค่ะ
แล้วก็จบทริปวันนี้ประมาณ 9 โมงเช้า ถึงเวลาอาหารเช้าพอดีและต้องพักผ่อนหลังจากเดินทางมาทั้งวันทั้งคืน และนี่คือรูปจากหน้าโรงแรมเราเลยค่ะ ^^
Day 3 วันนี้ตื่น 06.00 อาบน้ำ ทานอาหารเช้า แพ๊คกระเป๋า Check out เริ่มออกเดินทางตอน 08.30 ไปน้ำตก Madakaripura ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ค่ะ
[CR] ผจญภัยในดินแดนแห่ง "The Ring of Fire" ที่ภูเขาไฟ Bromo - Kawah Ijen อินโดนีเซีย