สวัสดีค่ะ ดิฉันอยากมาแชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนๆ ที่โดนกดดันหรือหลอกล่อ ให้ซื้อคอร์สจากสถาบันเสริมความงามหรือคลินิกเสริมความงามค่ะ
ต้องแจ้งก่อนว่าดิฉันเป็นคนไม่ชอบดูข่าว ไม่ค่อยเล่นโซเชียลมากเท่าไหร่ และไม่เคยไปรักษาหน้าที่คลินิกเสริมความงามมาก่อน
ดิฉันโดนกดดันให้ซื้อคอร์สจำนวน 10000 โดยพนักงานขายมาขอให้เราลงชื่ออะไรซักอย่างช่วยเขา ตอนนั้นดิฉันเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยไปเซ็นต์ให้ แล้วพนักงานขายผู้ชายสองคนก็มาประกบเราแล้วเริ่มชวนเราคุย ต้องยอมรับว่าพนักงานพวกนี้เขาพูดเก่งมาก ทำเป็นพูดออกนอกเรื่อง แล้วก็เริ่มถามประวัติส่วนตัวเรา ทำงานอะไร อายุเท่าไหร่ มีบัตรเครดิตไหม
พอมีคนมาถามหลายๆ คนดิฉันก็เริ่มแยกประสาทไม่ถูก สุดท้ายเขาก็ขอให้ไปกรอกแบบสอบถามให้หน่อย ระหว่างกรอกก็ชวนคุยนู้นนี่
สักพักก็บอกว่าเนี่ยมีพาราฟินมือฟรี ช่วยให้พังพืดมือหายไป พูดจบก็ดึงมือเราไปนวดเลยค่ะ ตอนนั้นเรากรอกข้อมูลอยู่เลยไม่ทันระวัง นวดเสร็จเขาก็ทาครีม ให้เราไปจุ่มมือลงหม้อพาราฟิน ซักพักเขาก็เอาแรบมาห่อมือทั้งสองข้างดิฉัน ตอนนั้นเริ่มรู้สึกแปลกๆ แล้วค่ะ แต่หนีไปไหนไม่ได้
ระหว่างรอให้พาราฟินเย็นเขาก็เริ่มชวนเราคุยเรื่องคอร์สเสริมความงาม พอเราเห็นราคาแล้วตกใจเลย 30000 กว่าบาท คิดว่ายังไงก็ไม่ซื้อแน่ๆ ปกติแล้วเราเป็นคนค่อนข้างงก พอพนักงานผู้ชายเห็นท่าว่าดิฉันไม่ตกลง ผู้จัดการอีกคนเลยมาพูดแทน โดยมีพนักงานชายคนเดิมเป็นตัวเสริมอยู่ข้างๆ
คุยไปคุยมา เขาก็ลดให้ดิฉันเรื่อยๆ ค่ะ จาก 30000 มาจบที่ 10000 พร้อมของแถมอีกมากมาย ตอนแรกดิฉันบอกว่าขอปรึกษาเพื่อนก่อน เขาก็บอกว่าจัดบูธวันนี้วันเดียวค่ะ มาพรุ่งนี้ก็ไม่ได้ราคานี้แล้วนะ ปฏิเสธเป็นสิบๆ รอบเขาก็ยังคงตื๊อ ด้วยความที่ผู้หญิงก็เป็นเพศที่รักความสวยความงามอยู่แล้ว บวกกับดิฉันมีปัญหาสิวและอื่นๆ ค่อนข้างเยอะ จึงคิดว่าจำนวนครั้งของคอร์สก็ราคาพอๆ กับพวกสกินแคร์ พวกมาร์คที่ดิฉันซื้อทุกเดือนอยู่แล้ว จึงตอบตกลงไป
พอวันต่อมาด้วยความที่กลัวโดนโกงจึงรีบไปใช้คอร์ส พอทำหน้าใกล้เสร็จ ก็มีเซลล์เข้ามาในห้องทรีทเม้นท์แล้วก็มาเสนอคอร์สอีก
โดยใช้วิธีเอาเซลล์หลายๆ คนมาช่วยกันพูด ดิฉันปฏิเสธเป็นสิบๆ รอบแต่เขาก็ไม่มีทีท่าจะปล่อยดิฉันไป พอพนักงานขายที่ต้องเช็ดมาร์คออกเข้ามา เขาจึงยอมออกไป แต่พอดิฉันออกมาก็ให้คนอื่นมาพูดอีกประมาณสี่คนได้ ซึ่งดิฉันก็ปฏิเสธไปซ้ำๆ แต่เขาก็ยังลดราคาลงเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าจะปล่อยดิฉันกลับบ้าน ด้วยความรำคาญและเราก็รีบกลับไปทำงานจึงตกลงไปที่ 5000 เป็นวีไอพีทำได้ทุกอย่างในร้านทั้งหน้าทั้งตัว
สรุปคือดิฉันเสียเงินทั้งหมด 15000 ได้อัพเกรดคอร์สเป็นวีไอพีทำได้ทุกอย่างในร้าน จากการเข้าไปรับบริการครั้งแรกที่มีพนักงานมาขายคอร์สอีก ทำให้ดิฉันไม่วางใจที่จะใช้บริการที่นี่อีกต่อไป บวกกับดิฉันไม่ชอบวิธีหาเงินของพวกเขา ที่ใช้พนักงานหลายคนมาพูดจาหว่านล้อมกดดันให้เราซื้อคอร์ส ดิฉันจึงเริ่มหาข้อมูลในพันทิปแล้วจึงเห็นว่ามีคนโดนหลอกให้ซื้อคอร์สหลายราย
โดยส่วนใหญ่จะทำตามข้อมูลจากกระทู้นี้ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://ppantip.com/topic/37665831
1. ดิฉันส่งไปรษณีย์แบบตอบรับ เป็นใบขอยกเลิกคอร์สและให้คืนเงินจำนวน 15000 บาท
2. ดิฉันรอใบตอบรับส่งกลับมา เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่าได้ทางคู่กรณีรับทราบเรื่องแล้ว
3. ดิฉันไปแจ้งความที่ สน. และได้ใบบันทึกประจำวันมา
4. ดิฉันไปขอใบรับรองแพทย์ เนื่องจากดิฉันมีอาการแพ้ที่ใบหน้าและมีตุ่ยคันๆ ใสขึ้นที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าหลังจากเข้ารับบริการไปแล้วสองวัน ซึ่งดิฉันไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต ซึ่งตอนแรกทางคลินิกบอกว่าทรีทเม้นต์ของเขาไม่ทำให้แพ้หรือระคายเคืองแน่นอน เหมาะกับผิวแพ้ง่าย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ Dyshidrotic Eczema เป็นหนึ่งภาวะการแพ้ของผิวหนัง อาการที่เป็นคือพบเป็นผื่นที่ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือด้านข้างของนิ้ว
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรค
- ความเครียด
- ประวัติในครอบครัว
- การทำงานบางอย่างที่ต้องสัมผัสสารเคมี
- การสัมผัสกับโลหะบางชนิด
- การทำงานเกี่ยวกับจิวเวอรี่
- การได้รับยาที่กดภูมิคุ้มกันของร่างกาย
5. แจ้งเรื่องที่สคบ. ด้วยตัวเอง (จะไวกว่าระบบออนไลน์)
6. แจ้งเรื่องที่กองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ (ผ่านระบบออนไลน์)
7. แจ้งเรื่องที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (ผ่านระบบออนไลน์)
8. ทางคลินิกที่ติดต่อกลับมา พยายามเกลี่ยกล่อมให้ดิฉันรับเป็นบริการอย่างอื่นแทน พวกเขาอ้างว่าไม่อาจมั่นใจได้ว่าอาการเเพ้เกิดจากสารจากคลินิก
ซึ่งดิฉันได้ปฏิเสธไป
9. สคบ. ส่งจดหมายมานัดวันเจรจาไกล่เกลี่ย
10. ดิฉันโทรไปตามเรื่องกับกองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ได้คำตอบว่ากำลังดำเนินการอยู่(บอกไม่ได้ว่าอยู่ในขั้นตอนไหน)
11. ดิฉันเริ่มหาข้อมูลที่จะนำไปเป็นข้อกล่าวหาทางคลินิก
- เนื่องจากไม่มีบริการฉีด ผ่าตัดที่นี่จึงไม่จัดว่าเป็นคลินิก ดังนั้นอยู่ในหมวดสถาบันเสริมความงาม จึงไม่ต้องมีใบอนุญาตเปิดคลินิก
- สถาบันเสริมความงามทุกเเห่งต้องจดทะเบียน กับทางกองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพก่อน จึงจะสามารถเปิดให้บริการให้
(ซึ่งตอนดิฉันไปสถานเสริมความงาม) มีเพียงใบประกาศนียบัตรอบรมของเจ้าของร้านโชว์อยู่
- หลักสูตรที่อบรมที่สามารถอบรมแล้วเปิดสถานเสริมความงามได้ ต้องเป็นหลักสูตรที่ทางกองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพอนุญาตแล้วเท่านั้น
(ซึ่งหลักสูตรอบรมที่ทางร้านนำมาโชว์นั้น ไม่ได้อยู่ในรายการที่ได้รับอนุญาต)
12. ไปไกล่เกลี่ยครั้งแรกที่สคบ. คู่กรณีไม่มา ส่งเพียงเอกสารมาที่เจ้าหน้าที่สคบ.
เจ้าหน้าที่: ทางคู่กรณีจะคืนเงินให้เพียงครึ่งเดียว
ดิฉัน: เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบเอกสารขออนุญาตเปิดสถานเสริมความงามหรือยังคะ
เจ้าหน้าที่: เขาบอกจะส่งให้ทีหลังค่ะ เอกสารที่ส่งมาแล้วตอนนี้มีแค่ใบอนุญาตขอประกอบธุรกิจ
ดิฉัน: ดิฉันได้ส่งเรื่องให้ทางกองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพแล้วน่ะค่ะ ให้ตรวจสอบคู่กรณีว่ามีใบอนุญาตหรือไม่
เจ้าหน้าที่: ส่งไปเมื่อไหร่ค่ะ
ดิฉัน: เกือบเดือนแล้วค่ะ ยังไม่มีการติดต่อกลับมาเลย
เจ้าหน้าที่: ทางสคบ. ก็เพิ่งส่งชื่อคลินิกให้กองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพตรวจสอบไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ค่ะ แต่ปกติแล้วกองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพทำเรื่องช้า
**ถ้ามีใบอนุญาตจริงก็คงไม่ให้เรารอหรอกมั้งค่ะ ดิฉันจึงโทรไปตามเรื่องถี่ๆ เลยค่ะ โอนสายไปทางนู้นทีคนนี้ที ตอนแรกมีการบอกว่าทำหาเคสไม่เจอ ให้ดิฉันส่งอีเมลไปใหม่(ไหนตอนแรกบอกดำเนินการอยู่ - -) สุดท้ายดิฉันจึงตัดสินใจที่กองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพเลยค่ะ
13. ไปตรวจสอบชื่อคลินิกที่กองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ
ดิฉันไปรอคิวนานมาก เนื่องจากมีพนักงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้ 4-5 คนแล้วดิฉันก็ต้องมารอต่อคิวจากคนที่มาขอใบอนุญาตอีก วันนั้นประมาณ 40 คนได้ค่ะ สุดท้ายรอไม่ไหวเพราะดิฉันไม่ได้มาอนุญาตแต่ตอนแรกเกรงใจว่าจะเป็นการเเซงคิวคนอื่น
เท้าความก่อนค่ะ สิ่งที่ดิฉันอยากรู้คือคลินิกนี้มีใบอนุญาตไหม แต่ตอนที่ดิฉันโทรมาที่กองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ
เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่สามารถบอกโดยตรงได้ รบกวนส่งเรื่องมาก่อน ดิฉันจึงจำเป็นต้องส่งเรื่อง
สุดท้ายเจ้าหน้าที่จึงเชิญดิฉันไปอีกห้องนึง แล้วขอชื่อ-นามสกุล หมายเลขเคสและเรียกเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเรื่องมา
เจ้าหน้าที่ก็ขอโทษใหญ่เลยค่ะว่าขอโทษที่ทำให้มาหาถึงที่นี่นะคะ (ไม่มาได้ไง โทรไปกี่ครั้งก็กำลังดำเนินการ)
สรุปคือเคสดิฉันยังไม่ได้ไปลงตรวจคลินิก ดิฉันจึงถือโอกาศขอเช็คชื่อสถานเสริมความงามนี้ได้หรือเปล่า ว่ามีใบอนุญาตไหม
เจ้าหน้าที่หายไปซักครู่บอกว่าไม่มีในระบบเลย
14. เจ้าหน้าที่สคบ. โทรมาบอกว่าทางสถานเสริมความงานยินดีคืนเงินให้จำนวน 12000 บาท ดิฉันตอบตกลงไปเพราะดิฉันไม่อยากเสียเวลาไปเจรจาที่สคบ. และไปติดต่อสถานที่ราชการที่ไหนๆ อีก
ดิฉันยอมรับว่าเกิดจากความไม่รอบคอบ ความใจอ่อน ขี้สงสารของดิฉันเองที่ทำให้โดนพนักงานขายกดดันให้ซื้อคอร์ส
ดิฉันไม่ได้เสียดายเงินที่เสียไป แต่เจ็บใจที่วิธีการที่พวกเขาใช้มันเอาเปรียบผู้บริโภคโดยใช้จิตวิทยา ใช้คนหมู่มาก และอื่นๆ
ดิฉันไม่อยากจะมาเสียเงินให้กับคนขี้โกงเหล่านี้ แทนที่จะเอาเวลาที่คิดจะโกงคนอื่น ไปพัฒนาสินค้า ผลิตภัณฑ์ บริการ แบรนด์ของตัวเองให้ดีขึ้น
ที่มาเล่าประสบการณ์วันนี้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้คนอื่นๆ ระมัดระวังตัวให้มากขึ้นค่ะ ภัยร้ายทุกวันนี้มาในหลายรูปแบบ หมั่นอัพเดทข่าวตลอดคุณจะได้รับรู้ว่ามีกลโกงแบบไหนบ้าง เพื่อตัวคุณเองนะคะ
ฝากถึงคลินิกเสริมความงาม
ถ้าคลินิกดีไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการที่เอาเปรียบผู้บริโภค เพราะผู้บริโภคก็มีสิทธิ์เลือกได้ว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ
คลินิกคุณอาจจะดีจริง แต่ถ้ามาเจอพนักงานขายที่มุ่งเน้นแต่จะขายอย่างเดียว ก็ทำให้ผู้บริโภคไม่อยากใช้บริการอีกต่อไป
การที่ทำธุรกิจไม่โปร่งใสอาจได้กำไรมาก็จริง แต่ก็ต้องแลกกับชื่อเสียงในด้านที่ไม่ดี ก็เหมือนผ้าขาวที่มีจุดดำเต็มไปหมด
ไม่มีทางจะเกิด brand royality กับแบรนด์ของคุณแน่
คำแนะนำสำหรับคนที่โดนกดดันให้ซื้อคอร์ส
1. ออกห่างจากพวกพนักงานขายอย่าสงสาร อย่าใจอ่อนเด็ดขาด!
2. ถ้าใจอ่อนแล้ว ก็ต้องมีสติ! ควรจะรับรู้ถ้าหากเขาใช้หลายคนมากดดันเรา ครั้งหน้าเขาก็ต้องทำเหมือนเดิมเช่นกัน อย่าคิดว่าไม่เป็นไรเงินแค่นี้ (เหมือนที่ดิฉันเคยคิด) แต่มันจะไม่ได้จบเเค่ครั้งนี้แน่นอน เราคงไม่อยากจ่ายเงินหรือพบเจอหน้าคนที่ไม่ดีกับเราหรอกใช่ไหมคะ
ดังนั้นให้ตั้งสติอย่าไปเซ็นต์หรือรับข้อเสนอใดๆ ทั้งนั้น ควรปฏิเสธเสียงแข็งไปเลย ถ้าพนักงานขายไม่ยอมก็ยืนขึ้นแล้วเดินออกไปเลยค่ะ
3. ถ้าคุณสนใจจะซื้อคอร์สเหล่านี้ ควรตรวจสอบใบอนุญาตหมอ ใบอนุญาตคลินิกให้ดีก่อนจ่ายเงิน
คำแนะนำสำหรับคนที่โดนกดดันให้ซื้อคอร์ส
1. ควรตรวจสอบใบอนุญาตหมอ ใบอนุญาตคลินิก ถ้าไม่ใช่คลินิกก็ตรวจสอบใบอนุญาตกับทางกรมเพื่อสุขภาพ
** ตามกฏหมายแล้วถ้าหากเป็นคลินิก ต้องติดป้ายใบอนุญาตเปิดคลินิกและใบอนุญาตหมอให้เห็นเด่นชัด
ถ้าหากเป็นสถานเสริมความงาม ก็ต้องมีป้ายอนุญาตเปิดสถานเสริมความงามและใบประกาศนีย์บัตรอบรมคอร์สเพื่อสุขภาพ
2. ทำตามสปอยลิ้งที่ดิฉันแนะนำได้เลยค่ะ
เล่าประสบการณ์ ยกเลิกคอร์สและเอาเงินคืนจากสถาบันเสริมความงามค่ะ
ต้องแจ้งก่อนว่าดิฉันเป็นคนไม่ชอบดูข่าว ไม่ค่อยเล่นโซเชียลมากเท่าไหร่ และไม่เคยไปรักษาหน้าที่คลินิกเสริมความงามมาก่อน
ดิฉันโดนกดดันให้ซื้อคอร์สจำนวน 10000 โดยพนักงานขายมาขอให้เราลงชื่ออะไรซักอย่างช่วยเขา ตอนนั้นดิฉันเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยไปเซ็นต์ให้ แล้วพนักงานขายผู้ชายสองคนก็มาประกบเราแล้วเริ่มชวนเราคุย ต้องยอมรับว่าพนักงานพวกนี้เขาพูดเก่งมาก ทำเป็นพูดออกนอกเรื่อง แล้วก็เริ่มถามประวัติส่วนตัวเรา ทำงานอะไร อายุเท่าไหร่ มีบัตรเครดิตไหม
พอมีคนมาถามหลายๆ คนดิฉันก็เริ่มแยกประสาทไม่ถูก สุดท้ายเขาก็ขอให้ไปกรอกแบบสอบถามให้หน่อย ระหว่างกรอกก็ชวนคุยนู้นนี่
สักพักก็บอกว่าเนี่ยมีพาราฟินมือฟรี ช่วยให้พังพืดมือหายไป พูดจบก็ดึงมือเราไปนวดเลยค่ะ ตอนนั้นเรากรอกข้อมูลอยู่เลยไม่ทันระวัง นวดเสร็จเขาก็ทาครีม ให้เราไปจุ่มมือลงหม้อพาราฟิน ซักพักเขาก็เอาแรบมาห่อมือทั้งสองข้างดิฉัน ตอนนั้นเริ่มรู้สึกแปลกๆ แล้วค่ะ แต่หนีไปไหนไม่ได้
ระหว่างรอให้พาราฟินเย็นเขาก็เริ่มชวนเราคุยเรื่องคอร์สเสริมความงาม พอเราเห็นราคาแล้วตกใจเลย 30000 กว่าบาท คิดว่ายังไงก็ไม่ซื้อแน่ๆ ปกติแล้วเราเป็นคนค่อนข้างงก พอพนักงานผู้ชายเห็นท่าว่าดิฉันไม่ตกลง ผู้จัดการอีกคนเลยมาพูดแทน โดยมีพนักงานชายคนเดิมเป็นตัวเสริมอยู่ข้างๆ
คุยไปคุยมา เขาก็ลดให้ดิฉันเรื่อยๆ ค่ะ จาก 30000 มาจบที่ 10000 พร้อมของแถมอีกมากมาย ตอนแรกดิฉันบอกว่าขอปรึกษาเพื่อนก่อน เขาก็บอกว่าจัดบูธวันนี้วันเดียวค่ะ มาพรุ่งนี้ก็ไม่ได้ราคานี้แล้วนะ ปฏิเสธเป็นสิบๆ รอบเขาก็ยังคงตื๊อ ด้วยความที่ผู้หญิงก็เป็นเพศที่รักความสวยความงามอยู่แล้ว บวกกับดิฉันมีปัญหาสิวและอื่นๆ ค่อนข้างเยอะ จึงคิดว่าจำนวนครั้งของคอร์สก็ราคาพอๆ กับพวกสกินแคร์ พวกมาร์คที่ดิฉันซื้อทุกเดือนอยู่แล้ว จึงตอบตกลงไป
พอวันต่อมาด้วยความที่กลัวโดนโกงจึงรีบไปใช้คอร์ส พอทำหน้าใกล้เสร็จ ก็มีเซลล์เข้ามาในห้องทรีทเม้นท์แล้วก็มาเสนอคอร์สอีก
โดยใช้วิธีเอาเซลล์หลายๆ คนมาช่วยกันพูด ดิฉันปฏิเสธเป็นสิบๆ รอบแต่เขาก็ไม่มีทีท่าจะปล่อยดิฉันไป พอพนักงานขายที่ต้องเช็ดมาร์คออกเข้ามา เขาจึงยอมออกไป แต่พอดิฉันออกมาก็ให้คนอื่นมาพูดอีกประมาณสี่คนได้ ซึ่งดิฉันก็ปฏิเสธไปซ้ำๆ แต่เขาก็ยังลดราคาลงเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าจะปล่อยดิฉันกลับบ้าน ด้วยความรำคาญและเราก็รีบกลับไปทำงานจึงตกลงไปที่ 5000 เป็นวีไอพีทำได้ทุกอย่างในร้านทั้งหน้าทั้งตัว
สรุปคือดิฉันเสียเงินทั้งหมด 15000 ได้อัพเกรดคอร์สเป็นวีไอพีทำได้ทุกอย่างในร้าน จากการเข้าไปรับบริการครั้งแรกที่มีพนักงานมาขายคอร์สอีก ทำให้ดิฉันไม่วางใจที่จะใช้บริการที่นี่อีกต่อไป บวกกับดิฉันไม่ชอบวิธีหาเงินของพวกเขา ที่ใช้พนักงานหลายคนมาพูดจาหว่านล้อมกดดันให้เราซื้อคอร์ส ดิฉันจึงเริ่มหาข้อมูลในพันทิปแล้วจึงเห็นว่ามีคนโดนหลอกให้ซื้อคอร์สหลายราย
โดยส่วนใหญ่จะทำตามข้อมูลจากกระทู้นี้ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
1. ดิฉันส่งไปรษณีย์แบบตอบรับ เป็นใบขอยกเลิกคอร์สและให้คืนเงินจำนวน 15000 บาท
2. ดิฉันรอใบตอบรับส่งกลับมา เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่าได้ทางคู่กรณีรับทราบเรื่องแล้ว
3. ดิฉันไปแจ้งความที่ สน. และได้ใบบันทึกประจำวันมา
4. ดิฉันไปขอใบรับรองแพทย์ เนื่องจากดิฉันมีอาการแพ้ที่ใบหน้าและมีตุ่ยคันๆ ใสขึ้นที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าหลังจากเข้ารับบริการไปแล้วสองวัน ซึ่งดิฉันไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต ซึ่งตอนแรกทางคลินิกบอกว่าทรีทเม้นต์ของเขาไม่ทำให้แพ้หรือระคายเคืองแน่นอน เหมาะกับผิวแพ้ง่าย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
5. แจ้งเรื่องที่สคบ. ด้วยตัวเอง (จะไวกว่าระบบออนไลน์)
6. แจ้งเรื่องที่กองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ (ผ่านระบบออนไลน์)
7. แจ้งเรื่องที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (ผ่านระบบออนไลน์)
8. ทางคลินิกที่ติดต่อกลับมา พยายามเกลี่ยกล่อมให้ดิฉันรับเป็นบริการอย่างอื่นแทน พวกเขาอ้างว่าไม่อาจมั่นใจได้ว่าอาการเเพ้เกิดจากสารจากคลินิก
ซึ่งดิฉันได้ปฏิเสธไป
9. สคบ. ส่งจดหมายมานัดวันเจรจาไกล่เกลี่ย
10. ดิฉันโทรไปตามเรื่องกับกองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ได้คำตอบว่ากำลังดำเนินการอยู่(บอกไม่ได้ว่าอยู่ในขั้นตอนไหน)
11. ดิฉันเริ่มหาข้อมูลที่จะนำไปเป็นข้อกล่าวหาทางคลินิก
- เนื่องจากไม่มีบริการฉีด ผ่าตัดที่นี่จึงไม่จัดว่าเป็นคลินิก ดังนั้นอยู่ในหมวดสถาบันเสริมความงาม จึงไม่ต้องมีใบอนุญาตเปิดคลินิก
- สถาบันเสริมความงามทุกเเห่งต้องจดทะเบียน กับทางกองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพก่อน จึงจะสามารถเปิดให้บริการให้
(ซึ่งตอนดิฉันไปสถานเสริมความงาม) มีเพียงใบประกาศนียบัตรอบรมของเจ้าของร้านโชว์อยู่
- หลักสูตรที่อบรมที่สามารถอบรมแล้วเปิดสถานเสริมความงามได้ ต้องเป็นหลักสูตรที่ทางกองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพอนุญาตแล้วเท่านั้น
(ซึ่งหลักสูตรอบรมที่ทางร้านนำมาโชว์นั้น ไม่ได้อยู่ในรายการที่ได้รับอนุญาต)
12. ไปไกล่เกลี่ยครั้งแรกที่สคบ. คู่กรณีไม่มา ส่งเพียงเอกสารมาที่เจ้าหน้าที่สคบ.
เจ้าหน้าที่: ทางคู่กรณีจะคืนเงินให้เพียงครึ่งเดียว
ดิฉัน: เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบเอกสารขออนุญาตเปิดสถานเสริมความงามหรือยังคะ
เจ้าหน้าที่: เขาบอกจะส่งให้ทีหลังค่ะ เอกสารที่ส่งมาแล้วตอนนี้มีแค่ใบอนุญาตขอประกอบธุรกิจ
ดิฉัน: ดิฉันได้ส่งเรื่องให้ทางกองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพแล้วน่ะค่ะ ให้ตรวจสอบคู่กรณีว่ามีใบอนุญาตหรือไม่
เจ้าหน้าที่: ส่งไปเมื่อไหร่ค่ะ
ดิฉัน: เกือบเดือนแล้วค่ะ ยังไม่มีการติดต่อกลับมาเลย
เจ้าหน้าที่: ทางสคบ. ก็เพิ่งส่งชื่อคลินิกให้กองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพตรวจสอบไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ค่ะ แต่ปกติแล้วกองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพทำเรื่องช้า
**ถ้ามีใบอนุญาตจริงก็คงไม่ให้เรารอหรอกมั้งค่ะ ดิฉันจึงโทรไปตามเรื่องถี่ๆ เลยค่ะ โอนสายไปทางนู้นทีคนนี้ที ตอนแรกมีการบอกว่าทำหาเคสไม่เจอ ให้ดิฉันส่งอีเมลไปใหม่(ไหนตอนแรกบอกดำเนินการอยู่ - -) สุดท้ายดิฉันจึงตัดสินใจที่กองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพเลยค่ะ
13. ไปตรวจสอบชื่อคลินิกที่กองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ
ดิฉันไปรอคิวนานมาก เนื่องจากมีพนักงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้ 4-5 คนแล้วดิฉันก็ต้องมารอต่อคิวจากคนที่มาขอใบอนุญาตอีก วันนั้นประมาณ 40 คนได้ค่ะ สุดท้ายรอไม่ไหวเพราะดิฉันไม่ได้มาอนุญาตแต่ตอนแรกเกรงใจว่าจะเป็นการเเซงคิวคนอื่น
เท้าความก่อนค่ะ สิ่งที่ดิฉันอยากรู้คือคลินิกนี้มีใบอนุญาตไหม แต่ตอนที่ดิฉันโทรมาที่กองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ
เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่สามารถบอกโดยตรงได้ รบกวนส่งเรื่องมาก่อน ดิฉันจึงจำเป็นต้องส่งเรื่อง
สุดท้ายเจ้าหน้าที่จึงเชิญดิฉันไปอีกห้องนึง แล้วขอชื่อ-นามสกุล หมายเลขเคสและเรียกเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเรื่องมา
เจ้าหน้าที่ก็ขอโทษใหญ่เลยค่ะว่าขอโทษที่ทำให้มาหาถึงที่นี่นะคะ (ไม่มาได้ไง โทรไปกี่ครั้งก็กำลังดำเนินการ)
สรุปคือเคสดิฉันยังไม่ได้ไปลงตรวจคลินิก ดิฉันจึงถือโอกาศขอเช็คชื่อสถานเสริมความงามนี้ได้หรือเปล่า ว่ามีใบอนุญาตไหม
เจ้าหน้าที่หายไปซักครู่บอกว่าไม่มีในระบบเลย
14. เจ้าหน้าที่สคบ. โทรมาบอกว่าทางสถานเสริมความงานยินดีคืนเงินให้จำนวน 12000 บาท ดิฉันตอบตกลงไปเพราะดิฉันไม่อยากเสียเวลาไปเจรจาที่สคบ. และไปติดต่อสถานที่ราชการที่ไหนๆ อีก
ดิฉันยอมรับว่าเกิดจากความไม่รอบคอบ ความใจอ่อน ขี้สงสารของดิฉันเองที่ทำให้โดนพนักงานขายกดดันให้ซื้อคอร์ส
ดิฉันไม่ได้เสียดายเงินที่เสียไป แต่เจ็บใจที่วิธีการที่พวกเขาใช้มันเอาเปรียบผู้บริโภคโดยใช้จิตวิทยา ใช้คนหมู่มาก และอื่นๆ
ดิฉันไม่อยากจะมาเสียเงินให้กับคนขี้โกงเหล่านี้ แทนที่จะเอาเวลาที่คิดจะโกงคนอื่น ไปพัฒนาสินค้า ผลิตภัณฑ์ บริการ แบรนด์ของตัวเองให้ดีขึ้น
ที่มาเล่าประสบการณ์วันนี้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้คนอื่นๆ ระมัดระวังตัวให้มากขึ้นค่ะ ภัยร้ายทุกวันนี้มาในหลายรูปแบบ หมั่นอัพเดทข่าวตลอดคุณจะได้รับรู้ว่ามีกลโกงแบบไหนบ้าง เพื่อตัวคุณเองนะคะ
ฝากถึงคลินิกเสริมความงาม
ถ้าคลินิกดีไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการที่เอาเปรียบผู้บริโภค เพราะผู้บริโภคก็มีสิทธิ์เลือกได้ว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ
คลินิกคุณอาจจะดีจริง แต่ถ้ามาเจอพนักงานขายที่มุ่งเน้นแต่จะขายอย่างเดียว ก็ทำให้ผู้บริโภคไม่อยากใช้บริการอีกต่อไป
การที่ทำธุรกิจไม่โปร่งใสอาจได้กำไรมาก็จริง แต่ก็ต้องแลกกับชื่อเสียงในด้านที่ไม่ดี ก็เหมือนผ้าขาวที่มีจุดดำเต็มไปหมด
ไม่มีทางจะเกิด brand royality กับแบรนด์ของคุณแน่
คำแนะนำสำหรับคนที่โดนกดดันให้ซื้อคอร์ส
1. ออกห่างจากพวกพนักงานขายอย่าสงสาร อย่าใจอ่อนเด็ดขาด!
2. ถ้าใจอ่อนแล้ว ก็ต้องมีสติ! ควรจะรับรู้ถ้าหากเขาใช้หลายคนมากดดันเรา ครั้งหน้าเขาก็ต้องทำเหมือนเดิมเช่นกัน อย่าคิดว่าไม่เป็นไรเงินแค่นี้ (เหมือนที่ดิฉันเคยคิด) แต่มันจะไม่ได้จบเเค่ครั้งนี้แน่นอน เราคงไม่อยากจ่ายเงินหรือพบเจอหน้าคนที่ไม่ดีกับเราหรอกใช่ไหมคะ
ดังนั้นให้ตั้งสติอย่าไปเซ็นต์หรือรับข้อเสนอใดๆ ทั้งนั้น ควรปฏิเสธเสียงแข็งไปเลย ถ้าพนักงานขายไม่ยอมก็ยืนขึ้นแล้วเดินออกไปเลยค่ะ
3. ถ้าคุณสนใจจะซื้อคอร์สเหล่านี้ ควรตรวจสอบใบอนุญาตหมอ ใบอนุญาตคลินิกให้ดีก่อนจ่ายเงิน
คำแนะนำสำหรับคนที่โดนกดดันให้ซื้อคอร์ส
1. ควรตรวจสอบใบอนุญาตหมอ ใบอนุญาตคลินิก ถ้าไม่ใช่คลินิกก็ตรวจสอบใบอนุญาตกับทางกรมเพื่อสุขภาพ
** ตามกฏหมายแล้วถ้าหากเป็นคลินิก ต้องติดป้ายใบอนุญาตเปิดคลินิกและใบอนุญาตหมอให้เห็นเด่นชัด
ถ้าหากเป็นสถานเสริมความงาม ก็ต้องมีป้ายอนุญาตเปิดสถานเสริมความงามและใบประกาศนีย์บัตรอบรมคอร์สเพื่อสุขภาพ
2. ทำตามสปอยลิ้งที่ดิฉันแนะนำได้เลยค่ะ