สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราจะมาเล่าประสบการณ์เกือบเสียเงินแสนเพราะคลินิกความงาม เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้ทุกคนได้ระมัดระวังกันนะคะ
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 67 หลังเลิกงานตอนเย็น เราแวะเข้าห้างแห่งหนึ่งย่านพระราม 9 เพื่อทานข้าว ในตอนที่เราขึ้นบันไดเลื่อนก็เจอบูธของคลินิกความงามตั้งอยู่พอดี แม้พยายามเดินเลี่ยง แต่ก็ถูกพนักงานขายดักทางชวนทำแบบสอบถาม
เริ่มแรก พนักงานถามคำถามปกติทั่วไปเกี่ยวกับความงาม แต่สิ่งที่น่าสงสัยคือ พนักงานจดชื่อเราลงบนกระดาษใบหนึ่งไปด้วย ซึ่งภายหลังพบว่าเป็นใบสัญญาการใช้บริการ และเมื่อถึงการตอบคำถามเกี่ยวกับความกังวลในร่างกาย พนักงานก็เริ่มเสนอขายคอร์สทันที
ด้วยความสนใจเล็กน้อย และราคาที่เสนอครั้งแรกไม่ได้แพงมาก เราจึงตกลงซื้อคอร์สแรกไปโดยขอจ่ายด้วยบัตรเครดิต ทันทีที่ยื่นบัตร หัวหน้าพนักงานขายก็เข้ามา พูดว่า
"พี่เห็นเราสนใจนะ พี่จะเล่าอะไรให้ฟังเฉยๆ ไม่ขายแล้ว" แต่กลับเริ่มชี้จุดปัญหาบนร่างกายและใบหน้า พร้อมเสนอคอร์สเพิ่มด้วยราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ
โดยที่เรายังไม่ทันตอบตกลง หัวหน้าพนักงานก็สั่งลูกน้องไปรูดบัตรที่ร้านซึ่งอยู่คนละชั้นกับบูธ ว่า
"พี่ให้เราละกันนะ น้องไปรูดให้ลูกค้าหน่อย" สุดท้าย เรากลายเป็นลูกค้า VIP ด้วยยอดรวม 100,000 บาท
หลังเซ็นสัญญา พวกเขาไม่ปล่อยให้เราได้คิดทบทวนนานนัก พนักงานก็ยังคงกดดันให้เราทดลองทำในวันนั้นเลย ซึ่งภายหลังเราถึงรู้ว่านี่เป็นกลยุทธ์หนึ่งเพื่อป้องกันการยกเลิกสัญญา
เมื่อกลับถึงบ้าน เรารู้สึกไม่สบายใจ จึงติดต่อขอยกเลิกในส่วนที่ยังไม่ได้ใช้บริการ แต่กลับถูกปฏิเสธด้วยข้ออ้างต่างๆ ว่า
“ยกเลิกไม่ได้ค่ะ คลินิกส่งยอดไปแล้ว ถ้าพี่ยกเลิกให้เราได้น่ะ พี่ทำไปแล้ว”
ยืนยันว่าถึงแม้ลูกค้าเกิดอาการป่วยจากทางคลินิกก็ไม่สามารถยกเลิกได้ โดยพูดเสริมว่า
"มีบางเคสนะ คลินิกพี่จ่ายค่ารักษาแพงกว่าค่าคอร์สที่ลูกค้าสมัครไปอีก"
และสุดท้าย
“ยกเลิกไม่ได้ค่ะ ไม่งั้นใครๆก็มายกเลิกได้ง่ายๆสิ คลินิกก็ขาดทุนจริงไหม คลินิกเลยต้องมีทนายไว้ไง” พร้อมชี้ไปทางรูปทนายคนดังท่านหนึ่ง เราไม่รู้ว่า คำพูดเหล่านี้เข้าข่ายข่มขู่ไหม แต่ก็ทำให้เรารู้สึกกังวลและไม่กล้าพูดเรื่องนี้อีก
---------------------------------------------
ต่อมาเราได้เข้าใช้บริการครั้งที่สอง ซึ่งเป็นจุดที่เราเริ่มสังเกตเห็นความไม่โปร่งใสของคลินิก เมื่อได้ยินหัวหน้าพนักงานขายคนเดิมหลีกเลี่ยงการตอบคำถามลูกค้าใหม่เกี่ยวกับแพทย์ประจำคลินิก ภายหลังทราบว่าคลินิกมีแพทย์เพียงสี่คนที่ต้องหมุนเวียนกันระหว่างสามสาขา และไม่มีแพทย์ประจำทุกวัน
หลังการทำหัตถการ เรายังต้องเผชิญกับปัญหาขนคุด รูขุมขนอักเสบ และรอยดำคล้ำปรากฏบนผิวหนัง เมื่อเราสอบถามพนักงานที่ทำหัตถการ พวกเขากลับแจ้งว่าอาการเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ โดยอ้างสาเหตุมาจากการใช้ค่าสูงกว่าเดิม และอ้างว่าขนมีความแข็ง ตอหนาจึงต้องโกนด้วยความแรง ซึ่งขัดแย้งกับที่ทางคลินิกได้ทำการโฆษณาไว้เป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ อาการเหล่านี้ยังเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราป่วย จนต้องเข้ารับการรักษา เราจึงพยายามสอบถามชื่อของพนักงานที่ให้บริการเลเซอร์และฉีดหน้า เพื่อตรวจสอบใบประกอบวิชาชีพ แต่กลับถูกปฏิเสธด้วยข้ออ้างเรื่องความเป็นส่วนตัว
เมื่อเราทบทวนสัญญาการใช้บริการอีกครั้ง ยังพบว่ามีหลายข้อที่ไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภค เช่น การงดคืนเงินทุกกรณี การขอสงวนสิทธิ์ในการรับประกันผลจากการให้บริการ และการไม่ให้ถือโฆษณาเป็นส่วนหนึ่งของการรับบริการ
ด้วยเหตุนี้ เราจึงเลือกขอคำปรึกษากับสภาองค์กรของผู้บริโภคตามข้อมูลของกระทู้ท่านนี้ (
https://ppantip.com/topic/37665831) และตัดสินใจส่งหนังสือยกเลิกสัญญาไปยังทางคลินิก เมื่อได้รับการเรียกเข้าพบ เราก็ได้นำพี่ที่ทำงานมาเป็นพยานและเพื่อความปลอดภัย
---------------------------------------------
แม้ทางคลินิกจะยอมคืนเงินโดยหักส่วนที่ใช้บริการไปแล้ว แต่การเจรจาเรื่องจำนวนเงินที่จะได้คืนกลับยืดเยื้อถึงสามชั่วโมง เนื่องจากความไม่สมเหตุสมผลของการคิดราคา
ประเด็นที่น่าสนใจในการเจรจา:
1) คลินิกอ้างว่าจะคิดราคาปกติ ไม่ใช่ราคาโปรโมชั่น ทำให้ราคาในการเลเซอร์ 2 ครั้งและฉีดหน้า 1 ครั้ง พุ่งสูงถึง 170,000 บาท จากที่เราจ่ายไป 100,000 บาท
2) เมื่อต่อรองต่อ คลินิกก็เสนอคืนเงินเพียง 20,000 บาท โดยอ้างว่าลดราคาให้ 50% ด้วยความใจดีของตน
3) ใช้ข้ออ้างเรื่องนโยบายบุฟเฟ่ต์ที่หวังผลกำไรจากลูกค้าที่ใช้บริการไม่ครบ ซึ่งดูเหมือนเป็นการผลักภาระให้ผู้บริโภค โดยใช้คำพูดว่า
"งั้นพี่คิดในราคาโปร 8 ครั้งก็ได้ค่ะ (เสนอคืนเพียง 40,000 บาท) พี่ขาดทุนแย่เลยนะ พี่เป็นแค่พนักงานขาย แค่นี้พี่ก็โดนว่าเยอะแล้วค่ะ รู้ไหมที่พี่เสนอราคาโปรโมชั่นบุฟเฟ่ต์ให้ลูกค้าอ่ะ เพราะว่าจะเอายอดจากคนที่มาใช้บริการไม่ครบจำนวนมากสุดที่จะใช้ได้ในบุฟเฟ่ต์นะ ถ้าทุกคนใช้ครบจำนวนทุกคนพวกพี่ก็ขาดทุนแย่สิ เหมือนกับร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ที่น้องไปกินน่ะ"
เราตั้งข้อสังเกตว่า การคิดราคาโปรโมชั่นควรมีการวางแผนการตลาดที่รอบคอบ โดยไม่ทำให้ธุรกิจขาดทุน จึงไม่ควรนำมาเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธการคืนเงิน
หลังการเจรจาอันยาวนาน จนเราได้ตัวเลขที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อเราจะเซ็นสัญญาเพื่อรับเงินคืนจากทางคลินิก เรากลับพบว่ามีข้อกำหนดในใบสัญญาของทางคลินิก ที่ดูเหมือนจะไม่เป็นธรรมต่อเรา โดยเฉพาะในกรณีที่ลูกค้ารูดบัตรแล้วต้องการยกเลิก ซึ่งทางคลินิกระบุว่าจะมี
"ค่าดำเนินการ 100% ของยอดที่รูด"
ข้อกำหนดดังกล่าวมีลักษณะเป็นช่องโหว่ในการทำสัญญา ที่อาจเอื้อประโยชน์ให้แก่ทางคลินิกมากกว่าผู้บริโภคอย่างเรา เราจึงคัดค้านและขอแก้ไขข้อกำหนดที่ไม่เป็นธรรม โดยเขียนสัญญาใหม่และให้ทางคลินิกเซ็นยอมรับการแก้ไข
สถานการณ์แบบนี้เป็นสิ่งที่น่ากังวล เพราะถึงแม้เราจะยกเลิกสัญญาได้ แต่ก็ยังมีช่องโหว่อื่นๆ ที่อาจทำให้เราเสียหายได้อีกเช่นกัน เพราะฉะนั้น เราจึงควรทำสัญญายกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรไปเองด้วย เพื่อป้องกันในกรณีคลินิกไม่จ่ายเงินตามที่ตกลง ไม่งั้นเราอาจสูญเสียเงินทั้งหมดที่ชำระไปโดยไม่ได้รับเงินคืนเลยแม้แต่บาทเดียว
---------------------------------------------
บางคนอ่านมาจนถึงตรงนี้อาจจะคิดว่า "ก็โง่เองที่ยอมซื้อหนิ เงินก็อยู่ในกระเป๋าตัวเองจะยื่นให้ทำไม" แต่ว่า...
สถานการณ์จริงมันซับซ้อนกว่านั้นมากค่ะ เราต้องเข้าใจว่าในช่วงเวลานั้น คนเราอาจตกอยู่ในภาวะกดดันทางจิตใจอย่างรุนแรง ทำให้การตัดสินใจไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ ยังมีเทคนิคการขายที่ใช้จิตวิทยาอย่างแยบยล ซึ่งแม้แต่คนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงก็อาจตกเป็นเหยื่อได้เช่นกัน
ที่สำคัญ การตำหนิเหยื่อไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง แต่เราควรให้ความรู้และสร้างความตระหนักเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ประสบการณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น และสามารถนำมาแบ่งปันเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นได้
เพื่อนๆ เคยเจอประสบการณ์แบบนี้บ้างไหมคะ? หรือมีใครที่มีความรู้เพิ่มเติมด้านกฎหมายสามารถช่วยแชร์ความคิดเห็นได้นะ สำหรับใครที่อาจกำลังประสบปัญหาอยู่ หรือเคยเจอสถานการณ์ในลักษณะคล้ายกัน เราขอส่งกำลังใจให้คุณนะคะ คุณไม่ได้เผชิญปัญหานี้คนเดียว และยังพอมีทางออกที่สามารถแก้ไขได้ค่ะ
ในกระทู้ถัดไป >>
https://ppantip.com/topic/42936946/เราจะมาแนะนำวิธีแก้ไขปัญหาเบื้องต้นจากประสบการณ์ส่วนตัวของเรา หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆ ที่เคยประสบกับปัญหาในลักษณะเดียวกันนะคะ
แชร์ประสบการณ์... เกือบเสียเงินแสนกับคลินิกความงาม
เริ่มแรก พนักงานถามคำถามปกติทั่วไปเกี่ยวกับความงาม แต่สิ่งที่น่าสงสัยคือ พนักงานจดชื่อเราลงบนกระดาษใบหนึ่งไปด้วย ซึ่งภายหลังพบว่าเป็นใบสัญญาการใช้บริการ และเมื่อถึงการตอบคำถามเกี่ยวกับความกังวลในร่างกาย พนักงานก็เริ่มเสนอขายคอร์สทันที
ด้วยความสนใจเล็กน้อย และราคาที่เสนอครั้งแรกไม่ได้แพงมาก เราจึงตกลงซื้อคอร์สแรกไปโดยขอจ่ายด้วยบัตรเครดิต ทันทีที่ยื่นบัตร หัวหน้าพนักงานขายก็เข้ามา พูดว่า "พี่เห็นเราสนใจนะ พี่จะเล่าอะไรให้ฟังเฉยๆ ไม่ขายแล้ว" แต่กลับเริ่มชี้จุดปัญหาบนร่างกายและใบหน้า พร้อมเสนอคอร์สเพิ่มด้วยราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ
โดยที่เรายังไม่ทันตอบตกลง หัวหน้าพนักงานก็สั่งลูกน้องไปรูดบัตรที่ร้านซึ่งอยู่คนละชั้นกับบูธ ว่า "พี่ให้เราละกันนะ น้องไปรูดให้ลูกค้าหน่อย" สุดท้าย เรากลายเป็นลูกค้า VIP ด้วยยอดรวม 100,000 บาท
หลังเซ็นสัญญา พวกเขาไม่ปล่อยให้เราได้คิดทบทวนนานนัก พนักงานก็ยังคงกดดันให้เราทดลองทำในวันนั้นเลย ซึ่งภายหลังเราถึงรู้ว่านี่เป็นกลยุทธ์หนึ่งเพื่อป้องกันการยกเลิกสัญญา
เมื่อกลับถึงบ้าน เรารู้สึกไม่สบายใจ จึงติดต่อขอยกเลิกในส่วนที่ยังไม่ได้ใช้บริการ แต่กลับถูกปฏิเสธด้วยข้ออ้างต่างๆ ว่า
และสุดท้าย “ยกเลิกไม่ได้ค่ะ ไม่งั้นใครๆก็มายกเลิกได้ง่ายๆสิ คลินิกก็ขาดทุนจริงไหม คลินิกเลยต้องมีทนายไว้ไง” พร้อมชี้ไปทางรูปทนายคนดังท่านหนึ่ง เราไม่รู้ว่า คำพูดเหล่านี้เข้าข่ายข่มขู่ไหม แต่ก็ทำให้เรารู้สึกกังวลและไม่กล้าพูดเรื่องนี้อีก
หลังการทำหัตถการ เรายังต้องเผชิญกับปัญหาขนคุด รูขุมขนอักเสบ และรอยดำคล้ำปรากฏบนผิวหนัง เมื่อเราสอบถามพนักงานที่ทำหัตถการ พวกเขากลับแจ้งว่าอาการเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ โดยอ้างสาเหตุมาจากการใช้ค่าสูงกว่าเดิม และอ้างว่าขนมีความแข็ง ตอหนาจึงต้องโกนด้วยความแรง ซึ่งขัดแย้งกับที่ทางคลินิกได้ทำการโฆษณาไว้เป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ อาการเหล่านี้ยังเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราป่วย จนต้องเข้ารับการรักษา เราจึงพยายามสอบถามชื่อของพนักงานที่ให้บริการเลเซอร์และฉีดหน้า เพื่อตรวจสอบใบประกอบวิชาชีพ แต่กลับถูกปฏิเสธด้วยข้ออ้างเรื่องความเป็นส่วนตัว
เมื่อเราทบทวนสัญญาการใช้บริการอีกครั้ง ยังพบว่ามีหลายข้อที่ไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภค เช่น การงดคืนเงินทุกกรณี การขอสงวนสิทธิ์ในการรับประกันผลจากการให้บริการ และการไม่ให้ถือโฆษณาเป็นส่วนหนึ่งของการรับบริการ
ด้วยเหตุนี้ เราจึงเลือกขอคำปรึกษากับสภาองค์กรของผู้บริโภคตามข้อมูลของกระทู้ท่านนี้ (https://ppantip.com/topic/37665831) และตัดสินใจส่งหนังสือยกเลิกสัญญาไปยังทางคลินิก เมื่อได้รับการเรียกเข้าพบ เราก็ได้นำพี่ที่ทำงานมาเป็นพยานและเพื่อความปลอดภัย
ประเด็นที่น่าสนใจในการเจรจา:
1) คลินิกอ้างว่าจะคิดราคาปกติ ไม่ใช่ราคาโปรโมชั่น ทำให้ราคาในการเลเซอร์ 2 ครั้งและฉีดหน้า 1 ครั้ง พุ่งสูงถึง 170,000 บาท จากที่เราจ่ายไป 100,000 บาท
2) เมื่อต่อรองต่อ คลินิกก็เสนอคืนเงินเพียง 20,000 บาท โดยอ้างว่าลดราคาให้ 50% ด้วยความใจดีของตน
3) ใช้ข้ออ้างเรื่องนโยบายบุฟเฟ่ต์ที่หวังผลกำไรจากลูกค้าที่ใช้บริการไม่ครบ ซึ่งดูเหมือนเป็นการผลักภาระให้ผู้บริโภค โดยใช้คำพูดว่า
หลังการเจรจาอันยาวนาน จนเราได้ตัวเลขที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อเราจะเซ็นสัญญาเพื่อรับเงินคืนจากทางคลินิก เรากลับพบว่ามีข้อกำหนดในใบสัญญาของทางคลินิก ที่ดูเหมือนจะไม่เป็นธรรมต่อเรา โดยเฉพาะในกรณีที่ลูกค้ารูดบัตรแล้วต้องการยกเลิก ซึ่งทางคลินิกระบุว่าจะมี "ค่าดำเนินการ 100% ของยอดที่รูด"
สถานการณ์แบบนี้เป็นสิ่งที่น่ากังวล เพราะถึงแม้เราจะยกเลิกสัญญาได้ แต่ก็ยังมีช่องโหว่อื่นๆ ที่อาจทำให้เราเสียหายได้อีกเช่นกัน เพราะฉะนั้น เราจึงควรทำสัญญายกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรไปเองด้วย เพื่อป้องกันในกรณีคลินิกไม่จ่ายเงินตามที่ตกลง ไม่งั้นเราอาจสูญเสียเงินทั้งหมดที่ชำระไปโดยไม่ได้รับเงินคืนเลยแม้แต่บาทเดียว
สถานการณ์จริงมันซับซ้อนกว่านั้นมากค่ะ เราต้องเข้าใจว่าในช่วงเวลานั้น คนเราอาจตกอยู่ในภาวะกดดันทางจิตใจอย่างรุนแรง ทำให้การตัดสินใจไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ ยังมีเทคนิคการขายที่ใช้จิตวิทยาอย่างแยบยล ซึ่งแม้แต่คนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงก็อาจตกเป็นเหยื่อได้เช่นกัน
ที่สำคัญ การตำหนิเหยื่อไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง แต่เราควรให้ความรู้และสร้างความตระหนักเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ประสบการณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น และสามารถนำมาแบ่งปันเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นได้
เพื่อนๆ เคยเจอประสบการณ์แบบนี้บ้างไหมคะ? หรือมีใครที่มีความรู้เพิ่มเติมด้านกฎหมายสามารถช่วยแชร์ความคิดเห็นได้นะ สำหรับใครที่อาจกำลังประสบปัญหาอยู่ หรือเคยเจอสถานการณ์ในลักษณะคล้ายกัน เราขอส่งกำลังใจให้คุณนะคะ คุณไม่ได้เผชิญปัญหานี้คนเดียว และยังพอมีทางออกที่สามารถแก้ไขได้ค่ะ
ในกระทู้ถัดไป >> https://ppantip.com/topic/42936946/เราจะมาแนะนำวิธีแก้ไขปัญหาเบื้องต้นจากประสบการณ์ส่วนตัวของเรา หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆ ที่เคยประสบกับปัญหาในลักษณะเดียวกันนะคะ