สวัสดีค่า วันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์ที่เคยทำเรื่องเคลมประกันเดินทางให้ฟังนะคะ เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับคนที่วางแผนเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศนะคะ
(ปล. เล่าจากประสบการณ์จริงของตัวเองและคนในครอบครัวนะคะ ไม่ได้มีใครจ้างมาเขียน และจ่ายค่าประกันเดินทางเองหมดค่ะ)
เริ่มจากช่วงที่หัดเที่ยวเองแรกๆ ก็ไม่ได้สนใจเรื่องประกันเดินทางเลยค่ะ เพราะเห็นว่าไม่สำคัญ และเป็นเรื่องไกลตัว ตอนนั้นคิดว่าเราคงไม่ได้เคลมอะไรหรอก
จุดเริ่มต้นที่ทำให้หันมาสนใจเลือกซื้อประกันเดินทางอย่างจริงจังเวลาไปเที่ยวก็คือ ได้เคลมประกันแบบฟลุ๊คๆค่ะ
คือตอนนั้นซื้อตั๋วโปรฯไปเที่ยวต่างประเทศกับเพื่อนๆ แต่ตอนที่ไปจ่ายเงินซื้อตั๋ว เอาเงินสดไปไม่พอ เลยเอาบัตรเครดิตรูดค่าตั๋วของตัวเองไปค่ะ (ถ้าใช้บัตรรูด จะเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มค่ะ) ซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกว่าบัตรเครดิตบางประเภทมีประกันเดินทางให้ด้วย
ทีนี้พอบินไปถึงสนามบินที่นั่น กระเป๋าดันไม่มาด้วย! ทำไงดีละคราวนี้ เพราะเป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดตอนอยู่ต่างประเทศ โชคดีที่เพื่อนที่ไปด้วยเค้าเคยเคลมเรื่องกระเป๋าเดินทางล่าช้าจากประกันของบัตรเครดิตมาก่อน เลยช่วยโทรเช็คให้ สรุปว่าเคลมได้ เราก็เอาบัตรเครดิตใบที่รูดซื้อตั๋ว ไปรูดซื้อเสื้อผ้า+เครื่องใช้ที่จำเป็น แล้วเอากลับมาเบิกที่ไทยค่ะ (รวมถึงขอเอกสารที่กระเป๋าล่าช้าจากสายการบินมาด้วยนะคะ) ตอนนั้นช็อปเพลินเลยค่ะ วงเงินรวมน่าจะไม่เกิน 2 หมื่นบาทนะคะ (พอดีเพื่อนช่วยจัดการให้หมด เลยจำรายละเอียดไม่ค่อยได้)
พอกลับมาจากทริปนั้น ก็หันมาศึกษาเกี่ยวกับประกันเดินทางอย่างจริงจังค่ะ เพราะเห็นแล้วว่าสำคัญ และมีโอกาสเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นได้ตลอดเวลาที่ไปเที่ยว
หลังจากนั้นเลยซื้อประกันทุกครั้งที่ไปเที่ยว ซื้อให้ทั้งตัวเองและคนในครอบครัวทุกคน แต่ไม่เคยได้เคลมเองเลยซักครั้ง (ถือว่าโชคดีไป) มีแต่คนในครอบครัวที่ไปด้วยได้เคลมแทน ดิฉันเป็นคนทำเรื่องให้หมดตั้งแต่ซื้อประกันยันเคลม เลยจะมาสรุปให้เพื่อนๆฟังเพื่อเป็นความรู้ เพราะเคสที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นสิ่งที่คนทั่วไปนึกไม่ถึงว่าสามารถเคลมประกันเดินทางได้ค่ะ ขอแบ่งเป็น 2 เคสนะคะ
1. เคลมในหมวดความเสียหายส่วนแรกของรถเช่า – สามีขับรถเช่าไปชนหมูป่า กันชนพังยับ
2. เคลมในหมวดความรับผิดต่อบุคคลภายนอก – พ่อกับแม่เกือบทำไฟไหม้โรงแรม
ประกันเดินทางที่เคยซื้อมีหลายเจ้ามากค่ะ มีทั้ง Cigna, MSIG, ทิพยประกันภัย, เมืองไทยประกันภัย, ไทยวิวัฒน์, ประกันฟรีจาก VISA, และประกันจากบัตรเครดิตค่ะ แต่เจ้าที่เคยได้เคลมคือ MSIG และ เมืองไทยประกันภัย ตามรายละเอียดดังนี้ค่ะ
1. เคลมเกี่ยวกับรถเช่า
ช่วงนั้นวางแผนจะไปเที่ยวบ่อยค่ะ เลยตัดสินใจซื้อประกันเดินทางแบบรายปีให้ทั้งตัวเองและสามี ตอนนั้นตัวเลือกประกันเดินทางยังไม่มากเท่าสมัยนี้ และเป็นช่วงแรกๆที่ซื้อประกัน เลยเลือกซื้อตามโปรโมชั่น (ไม่ควรทำตามนะคะ) ตอนนั้นเลือกของ MSIG ไปเพราะของแถม ซึ่งก็ถือว่าโชคดีมากที่เลือกแผนนี้ไปแบบไม่ได้ดูความคุ้มครองอย่างละเอียด (จะมาเล่าถึงความโชคดีทีหลังค่ะ)
ทริปที่ไปขับรถเที่ยวคือที่นามิเบีย (แอบตามรอยพี่สิงห์ อิอิ) 3-4 วันแรกผ่านไปด้วยดี พอวันที่วางแผนไปดูสัตว์ใน Etosha ก็เกิดเรื่องขึ้น เพราะตอนที่ออกมาจาก Etosha ก็ใกล้มืดแล้ว และต้องขับรถไปอีกร้อยกว่าโลเพื่อไปถึงที่พัก (ที่พักใกล้ๆ Etosha จะแพงมาก เลยจองโรงแรมที่ออกไปไกลหน่อย) ซึ่งระหว่างทางจะมีป้ายเตือนให้ระวังหมูป่าตลอดทาง ตั้งแต่ขับรถเที่ยวมาหลายวันยังไม่เคยเจอหมูป่าเลย แต่เย็นวันนั้นถึงเริ่มเห็นหมูป่าออกมาเดินริมถนนตอนที่พระอาทิตย์เริ่มตก
พอฟ้ามืด ถนนมืดมากเพราะไม่มีไฟเลยค่ะ มีแค่แสงไฟจากหน้ารถเท่านั้น และที่สำคัญคือไม่เคยเจอรถสวนและไม่เจอรถขับตามหลังมาเลยซักคัน บรรยากาศเริ่มน่ากลัวเหมือนอยู่กันแค่ 2 คนกลางป่า สามีเริ่มขับเร็วขึ้นเพราะเป็นทางตรงตลอด และอยากไปถึงที่พักไวๆ แต่จู่ๆก็เห็นหมูป่าเดินตัดหน้ารถ จังหวะที่เห็นคือเดินอยู่หน้ารถแล้ว เบรกไม่ทันเพราะมาเร็วมาก และหักหลบไม่พ้นด้วยเพราะเดินเรียงกันมา 4 ตัว เลยจำเป็นต้องชน สภาพหลังชนคือกันชนพัง แต่โชคดีที่เครื่องยนต์ไม่เสียหาย ยังขับต่อได้ สภาพรถเป็นไปตามรูปเลยค่ะ
เนื่องจากสาขาของบริษัทรถเช่าที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร เลยหาเทปมาแปะแล้วทนขับไปจนหมดทริป เพราะเหลืออีกแค่ไม่กี่วัน ถ้าจะเอารถไปเปลี่ยนจะเสียเวลามาก ตอนที่เอารถไปคืนที่สนามบิน พนักงานหันมามองสภาพรถอย่างตกใจกันทุกคน
*** แนะนำว่า คนที่ขับรถเช่าแล้วเกิดอุบัติเหตุอะไรมาก็ตาม ต้องเผื่อเวลาตอนคืนรถด้วยนะคะ เพราะเค้าจะใช้เวลาตรวจสอบสภาพรถนานหน่อย และต้องใช้เวลาทำเรื่องออกเอกสารให้ด้วยค่ะ ถ้าไม่ได้เผื่อเวลามาอาจตกเครื่องได้ ***
ตอนมาคืนรถถึงได้รู้ว่าประกันของรถเช่ามี
ความรับผิดส่วนแรก*สูงมาก ประมาณ 5 หมื่นบาท ตอนนั้นช็อคเลยค่ะ เพราะแอบหวังไว้ว่าประกันรถเช่าจะคุ้มครองบ้าง
[*
ความรับผิดส่วนแรก คือส่วนที่คนซื้อประกันต้องรับผิดชอบจ่ายเองก่อนค่ะ ถ้าความเสียหายเกินจากส่วนนี้ บริษัทประกันถึงจะรับผิดชอบจ่ายให้ เช่น ถ้าความรับผิดส่วนแรก = 5 หมื่นบาท แปลว่าความเสียหายที่ 6 หมื่นบาท เราต้องจ่ายเอง 5 หมื่น และบริษัทประกันค่อยจ่ายอีก 1 หมื่นบาทที่เกินมาค่ะ]
ณ ตอนนั้น ไม่ได้คิดถึงประกันเดินทางเลยค่ะ เพราะไม่คิดว่าจะเคลมได้ และประกันของรถเช่าก็มีความรับผิดส่วนแรกที่สูงมาก เลยได้แต่ทำใจว่าต้องจ่ายเองแน่ๆ ตอนนั้นก็ทำได้แค่เก็บรวมรวมเอกสารทุกอย่างที่บริษัทรถเช่าออกให้ เช่น motor incident report และเค้าจะกันวงเงินในบัตรเครดิตเท่ากับวงเงินของความรับผิดส่วนแรก เพราะยังไม่รู้ราคาซ่อมที่แน่นอน ต้องส่งให้อู่ประเมินราคาซ่อมอีกครั้ง
พอกลับถึงไทยไม่กี่วัน ก็ได้รับอีเมล์เป็นใบเสร็จค่าซ่อมรถรวมทั้งหมดสามหมื่นกว่าบาท (เป็นค่าซ่อม 2 หมื่นกว่าบาท และค่าแอดมินอีกเกือบหมื่น) หน้าซีดเลยค่ะ ค่าเช่ารถแค่หมื่นกว่าบาท เจอค่าซ่อมไป 3 หมื่น ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเตรียมหาเงินมาจ่ายค่าบัตรเครดิต
โชคดีที่จังหวะนั้น ที่ทำงานได้มอบหมายงานให้หาข้อมูลเกี่ยวกับประกันเดินทางพอดี ตอนหาข้อมูลก็ไล่อ่านความคุ้มครองของแต่ละบริษัทไป พออ่านมาถึงหัวข้อ “ความเสียหายส่วนแรกของรถเช่า” ก็เริ่มเอะใจ กลับไปดูชื่อบริษัท เป็นของ MSIG นี่นา เริ่มมองเห็นความหวังเลยรีบโทรไปหา MSIG ทันที สรุปว่าเคลมได้ค่ะ เพราะความคุ้มครองนี้จะคุ้มครองความรับผิดส่วนแรกของรถเช่า (ส่วนที่ประกันของรถเช่าไม่คุ้มครอง) และวงเงินตอนที่ซื้อประกันไปคือ 2 หมื่นบาท (เคลมได้เฉพาะสามีนะคะ เพราะสามีเป็นคนขับ คนอื่นไม่เกี่ยว) เลยรีบเตรียมเอกสารยื่นให้บริษัทประกันทันที เอกสารหลักๆ มีดังนี้ค่ะ
· แบบฟอร์มเรียกร้องสินไหม
· ใบเสร็จรับเงิน (ฉบับจริง) ที่แสดงรายการความเสียหายส่วนแรก
· หนังสือสัญญาจากบริษัทรถเช่าในเรื่องจำนวนเงินค่าเสียหายส่วนแรกที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับภาระตามข้อตกลงของสัญญาประกันภัยของผู้ให้เช่ารถยนต์
· สำเนา Passport
· สำเนา Book Bank และสำเนาบัตรประชาชน (กรณีรับสินไหมโดยโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร)
เอกสารส่วนใหญ่ส่งทางอีเมล์ได้ค่ะ ยกเว้นบางอย่างที่ทางฝ่ายเคลมขอตัวจริง ก็ต้องส่งไปรษณีย์ไปให้ ใช้เวลาไม่กี่อาทิตย์ก็ได้รับเงินโอนเข้าบัญชีมา 2 หมื่นบาทค่ะ (สำหรับการเคลม จะเคลมได้เฉพาะส่วนที่เป็นความเสียหายของรถยนต์นะคะ ค่าแอดมินไม่เกี่ยว แต่เฉพาะค่าซ่อมก็เกินวงเงิน 2 หมื่นไปแล้ว)
ตอนที่ได้รับเงินดีใจมาก เพราะทำใจไปแล้วว่าจะต้องจ่ายเอง 3 หมื่น ถือว่าโชคดีมากๆที่ซื้อประกันเดินทางไว้ และโชคดีไปอีกที่บังเอิญเลือกแผนประกันที่มีหมวดรถเช่าไว้ด้วย เพราะหลังจากจบเคสนี้ ดิฉันไปลองหาข้อมูลประกันเจ้าอื่นๆ พบว่าไม่ใช่ทุกบริษัทที่มีความคุ้มครองในหมวดรถเช่า ถ้าตอนนั้นไปซื้อแผนอื่นก็คงอดเคลมเลยค่ะ
2. เคลมเกี่ยวกับความรับผิดต่อบุคคลภายนอก
รอบนี้ซื้อทัวร์พาพ่อกับแม่ไปเที่ยวรัสเซียค่ะ จริงๆทางทัวร์เค้าก็มีประกันให้นะคะ แต่ให้เฉพาะส่วนที่เป็นอุบัติเหตุ/เจ็บป่วย/เสียชีวิต เท่านั้น พอเห็นความคุ้มครองที่ทัวร์ให้แล้วเลยซื้อเพิ่มเองค่ะ ตอนนั้นเลือกของเมืองไทยประกันภัยไป เพราะลองเทียบความคุ้มครองที่อยากได้กับราคาแล้ว ถือว่าถูกกว่าเจ้าอื่นๆบนความคุ้มครองใกล้เคียงกัน
วันแรกๆก็เที่ยวโดยไม่มีปัญหาอะไรเช่นเคยค่ะ มาเกิดเรื่องในคืนสุดท้ายที่พักใน Moscow โดยเกิดจากตอนที่พ่อกับแม่อาบน้ำเสร็จก็เอาผ้าเช็ดตัวที่เปียกน้ำไปวางไว้บนโคมไฟ เพื่อให้ผ้าเช็ดตัวแห้งไวๆ (พึ่งมารู้ตอนเกิดเรื่องว่าทำมาหลายครั้งแล้ว) แต่เนื่องจากในโรงแรมนี้เป็นโคมไฟแบบเปลือย ทำให้ผ้าเช็ดตัวเริ่มไหม้ มีควันลอยออกมาจนสัญญาณจับควันดัง ทำให้เจ้าหน้าที่เค้ารีบมาที่ห้องแล้วรีบเข้าไปดึงผ้าเช็ดตัวออก พร้อมกับถอดปลั๊กไฟ ความเสียหายก็ตามในรูปเลยค่ะ
และยังไหม้ไปโดนผ้าม่านด้วยค่ะ คือโชคดีมากที่เจ้าหน้าที่เค้าทำงานได้รวดเร็ว มาช่วยดับไฟได้เร็วมาก (ขนาดพ่อกับแม่อยู่ในห้องแท้ๆยังไม่รู้ตัวเลยค่ะ) ซึ่งถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้อาจไฟลุกได้
แต่ปัญหาของที่รัสเซียก็คือ เจ้าหน้าที่พูดอังกฤษไม่ได้! ต้องคุยกันผ่าน google translate ซึ่งลำบากมาก แปลถูกแปลผิด และเค้าเหมือนพยายามขอเงินด้วยค่ะ ตอนแรกบอกว่าความเสียหายประมาณ 30,000 RUB (ประมาณ 15,000 บาท) ถ้าจ่ายเงินให้เค้า 3,000 RUB เค้าจะลดให้เหลือ 25,000 RUB ตอนนั้นดิฉันทำการบ้านเรื่องประกันมาดีแล้วค่ะ เลยคิดว่าน่าจะเคลมได้ พอเค้าขอเงินก็ไม่จ่ายสิคะ เพราะไม่มีใบเสร็จ
สรุปก็ลงไปตกลงกันที่รีเซฟชั่นตรงล๊อบบี้ ดิฉันแวะหยิบใบกรมธรรม์ที่ปริ้นติดตัวมาด้วย อ่านเจอหมวด
ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก* ด้วยวงเงิน 1 ล้านบาท ก็คิดว่าน่าจะเคลมหมวดนี้ได้ (เจอวงเงิน 1 ล้านเลยชิว)
[*
ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก = ตัวเราไปทำให้บุคคลอื่นเกิดความเสียหาย ไม่ว่าจะทางร่างกายหรือทรัพย์สิน โดยไม่ได้ตั้งใจค่ะ]
สรุปค่าเสียหายทั้งหมดตามที่รีเซฟชั่นแจ้งมาคือค่าเฟอร์นิเจอร์ที่เสียหายเป็น 11,800 RUB และโดนค่าปรับที่ทำสัญญาณดังอีก 10,000 RUB รวมกันก็แค่ 21,800 RUB เอง (ประมาณ 1หมื่นกว่าบาท) ถูกกว่าที่เจ้าหน้าดับไฟบอกตอนแรกซะอีก
ตอนนั้นยังไม่รีบจ่ายเงินค่ะ เพราะหัวหน้าไกด์มาช่วยคุยให้ และประสานงานให้ไกด์ที่เป็นคนรัสเซียช่วยเป็นล่ามให้ เพราะเจ้าหน้าที่ตรงรีเซฟชั่นพูดอังกฤษไม่ค่อยได้อีก และไกด์รู้สึกว่าราคาที่เค้าเรียกมามันสูงไป ตรงนี้ต้องขอขอบคุณไกด์ทั้งสองคนมากๆเลยค่ะที่โดนปลุกขึ้นมากลางดึกแล้วมาช่วยประสานงานและให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี (ตอนนั้นประมาณ 4-5 ทุ่มเวลารัสเซีย หรือประมาณตี 2-3 เวลาไทย) ส่วนดิฉันก็พยายามโทรหาประกันเพื่อถามว่าคุ้มครองได้ไหมและต้องขอเอกสารอะไรบ้าง โชคดีที่สามีเปิด wifi calling เลยทำให้สามารถโทรกลับเบอร์ที่ไทยได้ แต่เบอร์ที่เมืองไทยประกันภัยเปิดให้โทรได้ 24 ชม. จะถามได้เฉพาะเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลค่ะ หัวข้ออื่นๆเค้าตอบไม่ได้เลย เค้าได้แค่บอกคำแนะนำคร่าวๆ แล้วให้โทรกลับมาใหม่เวลาทำการที่ไทย -*-
*** คำแนะนำ – เวลาเลือกซื้อประกัน ควรเช็คด้วยว่าเวลามีปัญหาตอนอยู่ต่างประเทศสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือจากบริษัทประกันได้ตลอด 24 ชม. หรือไม่ เพราะบางเหตุการณ์ถ้ารอโทรถามเวลาทำการ มันจะช้าเกินไปค่ะ ***
ก่อนจ่ายเงิน ก็พยายามต่อรองขอเอกสารทางโรงแรมเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งทางโรงแรมจะมีให้เฉพาะใบเสร็จภาษารัสเซีย เค้าไม่ยอมแปลให้เลยค่ะ จบลงที่เค้าให้เราจ่ายเงินเต็ม แล้วจะออกใบเสร็จภาษารัสเซียให้ก่อน ส่วนตอนเช้า รอให้เจ้าหน้าที่มาทำงานถึงจะให้เวอร์ชั่นอังกฤษ ตอนนั้นดิฉันก็ต้องยอม เพราะดึกแล้ว เกรงใจไกด์ และพ่อกับแม่เริ่มเพลีย+ง่วงนอนแล้ว (เค้าไม่ให้พักห้องเดิม และจะไม่ยอมให้ห้องใหม่ถ้ายังไม่จ่ายเงิน)
[ ต่อที่ความเห็นที่ 1 นะคะ ]
[CR] แชร์ประสบการณ์ในการเคลมประกันเดินทาง
(ปล. เล่าจากประสบการณ์จริงของตัวเองและคนในครอบครัวนะคะ ไม่ได้มีใครจ้างมาเขียน และจ่ายค่าประกันเดินทางเองหมดค่ะ)
เริ่มจากช่วงที่หัดเที่ยวเองแรกๆ ก็ไม่ได้สนใจเรื่องประกันเดินทางเลยค่ะ เพราะเห็นว่าไม่สำคัญ และเป็นเรื่องไกลตัว ตอนนั้นคิดว่าเราคงไม่ได้เคลมอะไรหรอก
จุดเริ่มต้นที่ทำให้หันมาสนใจเลือกซื้อประกันเดินทางอย่างจริงจังเวลาไปเที่ยวก็คือ ได้เคลมประกันแบบฟลุ๊คๆค่ะ
คือตอนนั้นซื้อตั๋วโปรฯไปเที่ยวต่างประเทศกับเพื่อนๆ แต่ตอนที่ไปจ่ายเงินซื้อตั๋ว เอาเงินสดไปไม่พอ เลยเอาบัตรเครดิตรูดค่าตั๋วของตัวเองไปค่ะ (ถ้าใช้บัตรรูด จะเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มค่ะ) ซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกว่าบัตรเครดิตบางประเภทมีประกันเดินทางให้ด้วย
ทีนี้พอบินไปถึงสนามบินที่นั่น กระเป๋าดันไม่มาด้วย! ทำไงดีละคราวนี้ เพราะเป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดตอนอยู่ต่างประเทศ โชคดีที่เพื่อนที่ไปด้วยเค้าเคยเคลมเรื่องกระเป๋าเดินทางล่าช้าจากประกันของบัตรเครดิตมาก่อน เลยช่วยโทรเช็คให้ สรุปว่าเคลมได้ เราก็เอาบัตรเครดิตใบที่รูดซื้อตั๋ว ไปรูดซื้อเสื้อผ้า+เครื่องใช้ที่จำเป็น แล้วเอากลับมาเบิกที่ไทยค่ะ (รวมถึงขอเอกสารที่กระเป๋าล่าช้าจากสายการบินมาด้วยนะคะ) ตอนนั้นช็อปเพลินเลยค่ะ วงเงินรวมน่าจะไม่เกิน 2 หมื่นบาทนะคะ (พอดีเพื่อนช่วยจัดการให้หมด เลยจำรายละเอียดไม่ค่อยได้)
พอกลับมาจากทริปนั้น ก็หันมาศึกษาเกี่ยวกับประกันเดินทางอย่างจริงจังค่ะ เพราะเห็นแล้วว่าสำคัญ และมีโอกาสเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นได้ตลอดเวลาที่ไปเที่ยว
หลังจากนั้นเลยซื้อประกันทุกครั้งที่ไปเที่ยว ซื้อให้ทั้งตัวเองและคนในครอบครัวทุกคน แต่ไม่เคยได้เคลมเองเลยซักครั้ง (ถือว่าโชคดีไป) มีแต่คนในครอบครัวที่ไปด้วยได้เคลมแทน ดิฉันเป็นคนทำเรื่องให้หมดตั้งแต่ซื้อประกันยันเคลม เลยจะมาสรุปให้เพื่อนๆฟังเพื่อเป็นความรู้ เพราะเคสที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นสิ่งที่คนทั่วไปนึกไม่ถึงว่าสามารถเคลมประกันเดินทางได้ค่ะ ขอแบ่งเป็น 2 เคสนะคะ
1. เคลมในหมวดความเสียหายส่วนแรกของรถเช่า – สามีขับรถเช่าไปชนหมูป่า กันชนพังยับ
2. เคลมในหมวดความรับผิดต่อบุคคลภายนอก – พ่อกับแม่เกือบทำไฟไหม้โรงแรม
ประกันเดินทางที่เคยซื้อมีหลายเจ้ามากค่ะ มีทั้ง Cigna, MSIG, ทิพยประกันภัย, เมืองไทยประกันภัย, ไทยวิวัฒน์, ประกันฟรีจาก VISA, และประกันจากบัตรเครดิตค่ะ แต่เจ้าที่เคยได้เคลมคือ MSIG และ เมืองไทยประกันภัย ตามรายละเอียดดังนี้ค่ะ
1. เคลมเกี่ยวกับรถเช่า
ช่วงนั้นวางแผนจะไปเที่ยวบ่อยค่ะ เลยตัดสินใจซื้อประกันเดินทางแบบรายปีให้ทั้งตัวเองและสามี ตอนนั้นตัวเลือกประกันเดินทางยังไม่มากเท่าสมัยนี้ และเป็นช่วงแรกๆที่ซื้อประกัน เลยเลือกซื้อตามโปรโมชั่น (ไม่ควรทำตามนะคะ) ตอนนั้นเลือกของ MSIG ไปเพราะของแถม ซึ่งก็ถือว่าโชคดีมากที่เลือกแผนนี้ไปแบบไม่ได้ดูความคุ้มครองอย่างละเอียด (จะมาเล่าถึงความโชคดีทีหลังค่ะ)
ทริปที่ไปขับรถเที่ยวคือที่นามิเบีย (แอบตามรอยพี่สิงห์ อิอิ) 3-4 วันแรกผ่านไปด้วยดี พอวันที่วางแผนไปดูสัตว์ใน Etosha ก็เกิดเรื่องขึ้น เพราะตอนที่ออกมาจาก Etosha ก็ใกล้มืดแล้ว และต้องขับรถไปอีกร้อยกว่าโลเพื่อไปถึงที่พัก (ที่พักใกล้ๆ Etosha จะแพงมาก เลยจองโรงแรมที่ออกไปไกลหน่อย) ซึ่งระหว่างทางจะมีป้ายเตือนให้ระวังหมูป่าตลอดทาง ตั้งแต่ขับรถเที่ยวมาหลายวันยังไม่เคยเจอหมูป่าเลย แต่เย็นวันนั้นถึงเริ่มเห็นหมูป่าออกมาเดินริมถนนตอนที่พระอาทิตย์เริ่มตก
พอฟ้ามืด ถนนมืดมากเพราะไม่มีไฟเลยค่ะ มีแค่แสงไฟจากหน้ารถเท่านั้น และที่สำคัญคือไม่เคยเจอรถสวนและไม่เจอรถขับตามหลังมาเลยซักคัน บรรยากาศเริ่มน่ากลัวเหมือนอยู่กันแค่ 2 คนกลางป่า สามีเริ่มขับเร็วขึ้นเพราะเป็นทางตรงตลอด และอยากไปถึงที่พักไวๆ แต่จู่ๆก็เห็นหมูป่าเดินตัดหน้ารถ จังหวะที่เห็นคือเดินอยู่หน้ารถแล้ว เบรกไม่ทันเพราะมาเร็วมาก และหักหลบไม่พ้นด้วยเพราะเดินเรียงกันมา 4 ตัว เลยจำเป็นต้องชน สภาพหลังชนคือกันชนพัง แต่โชคดีที่เครื่องยนต์ไม่เสียหาย ยังขับต่อได้ สภาพรถเป็นไปตามรูปเลยค่ะ
เนื่องจากสาขาของบริษัทรถเช่าที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร เลยหาเทปมาแปะแล้วทนขับไปจนหมดทริป เพราะเหลืออีกแค่ไม่กี่วัน ถ้าจะเอารถไปเปลี่ยนจะเสียเวลามาก ตอนที่เอารถไปคืนที่สนามบิน พนักงานหันมามองสภาพรถอย่างตกใจกันทุกคน
*** แนะนำว่า คนที่ขับรถเช่าแล้วเกิดอุบัติเหตุอะไรมาก็ตาม ต้องเผื่อเวลาตอนคืนรถด้วยนะคะ เพราะเค้าจะใช้เวลาตรวจสอบสภาพรถนานหน่อย และต้องใช้เวลาทำเรื่องออกเอกสารให้ด้วยค่ะ ถ้าไม่ได้เผื่อเวลามาอาจตกเครื่องได้ ***
ตอนมาคืนรถถึงได้รู้ว่าประกันของรถเช่ามีความรับผิดส่วนแรก*สูงมาก ประมาณ 5 หมื่นบาท ตอนนั้นช็อคเลยค่ะ เพราะแอบหวังไว้ว่าประกันรถเช่าจะคุ้มครองบ้าง
[*ความรับผิดส่วนแรก คือส่วนที่คนซื้อประกันต้องรับผิดชอบจ่ายเองก่อนค่ะ ถ้าความเสียหายเกินจากส่วนนี้ บริษัทประกันถึงจะรับผิดชอบจ่ายให้ เช่น ถ้าความรับผิดส่วนแรก = 5 หมื่นบาท แปลว่าความเสียหายที่ 6 หมื่นบาท เราต้องจ่ายเอง 5 หมื่น และบริษัทประกันค่อยจ่ายอีก 1 หมื่นบาทที่เกินมาค่ะ]
ณ ตอนนั้น ไม่ได้คิดถึงประกันเดินทางเลยค่ะ เพราะไม่คิดว่าจะเคลมได้ และประกันของรถเช่าก็มีความรับผิดส่วนแรกที่สูงมาก เลยได้แต่ทำใจว่าต้องจ่ายเองแน่ๆ ตอนนั้นก็ทำได้แค่เก็บรวมรวมเอกสารทุกอย่างที่บริษัทรถเช่าออกให้ เช่น motor incident report และเค้าจะกันวงเงินในบัตรเครดิตเท่ากับวงเงินของความรับผิดส่วนแรก เพราะยังไม่รู้ราคาซ่อมที่แน่นอน ต้องส่งให้อู่ประเมินราคาซ่อมอีกครั้ง
พอกลับถึงไทยไม่กี่วัน ก็ได้รับอีเมล์เป็นใบเสร็จค่าซ่อมรถรวมทั้งหมดสามหมื่นกว่าบาท (เป็นค่าซ่อม 2 หมื่นกว่าบาท และค่าแอดมินอีกเกือบหมื่น) หน้าซีดเลยค่ะ ค่าเช่ารถแค่หมื่นกว่าบาท เจอค่าซ่อมไป 3 หมื่น ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเตรียมหาเงินมาจ่ายค่าบัตรเครดิต
โชคดีที่จังหวะนั้น ที่ทำงานได้มอบหมายงานให้หาข้อมูลเกี่ยวกับประกันเดินทางพอดี ตอนหาข้อมูลก็ไล่อ่านความคุ้มครองของแต่ละบริษัทไป พออ่านมาถึงหัวข้อ “ความเสียหายส่วนแรกของรถเช่า” ก็เริ่มเอะใจ กลับไปดูชื่อบริษัท เป็นของ MSIG นี่นา เริ่มมองเห็นความหวังเลยรีบโทรไปหา MSIG ทันที สรุปว่าเคลมได้ค่ะ เพราะความคุ้มครองนี้จะคุ้มครองความรับผิดส่วนแรกของรถเช่า (ส่วนที่ประกันของรถเช่าไม่คุ้มครอง) และวงเงินตอนที่ซื้อประกันไปคือ 2 หมื่นบาท (เคลมได้เฉพาะสามีนะคะ เพราะสามีเป็นคนขับ คนอื่นไม่เกี่ยว) เลยรีบเตรียมเอกสารยื่นให้บริษัทประกันทันที เอกสารหลักๆ มีดังนี้ค่ะ
· แบบฟอร์มเรียกร้องสินไหม
· ใบเสร็จรับเงิน (ฉบับจริง) ที่แสดงรายการความเสียหายส่วนแรก
· หนังสือสัญญาจากบริษัทรถเช่าในเรื่องจำนวนเงินค่าเสียหายส่วนแรกที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับภาระตามข้อตกลงของสัญญาประกันภัยของผู้ให้เช่ารถยนต์
· สำเนา Passport
· สำเนา Book Bank และสำเนาบัตรประชาชน (กรณีรับสินไหมโดยโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร)
เอกสารส่วนใหญ่ส่งทางอีเมล์ได้ค่ะ ยกเว้นบางอย่างที่ทางฝ่ายเคลมขอตัวจริง ก็ต้องส่งไปรษณีย์ไปให้ ใช้เวลาไม่กี่อาทิตย์ก็ได้รับเงินโอนเข้าบัญชีมา 2 หมื่นบาทค่ะ (สำหรับการเคลม จะเคลมได้เฉพาะส่วนที่เป็นความเสียหายของรถยนต์นะคะ ค่าแอดมินไม่เกี่ยว แต่เฉพาะค่าซ่อมก็เกินวงเงิน 2 หมื่นไปแล้ว)
ตอนที่ได้รับเงินดีใจมาก เพราะทำใจไปแล้วว่าจะต้องจ่ายเอง 3 หมื่น ถือว่าโชคดีมากๆที่ซื้อประกันเดินทางไว้ และโชคดีไปอีกที่บังเอิญเลือกแผนประกันที่มีหมวดรถเช่าไว้ด้วย เพราะหลังจากจบเคสนี้ ดิฉันไปลองหาข้อมูลประกันเจ้าอื่นๆ พบว่าไม่ใช่ทุกบริษัทที่มีความคุ้มครองในหมวดรถเช่า ถ้าตอนนั้นไปซื้อแผนอื่นก็คงอดเคลมเลยค่ะ
2. เคลมเกี่ยวกับความรับผิดต่อบุคคลภายนอก
รอบนี้ซื้อทัวร์พาพ่อกับแม่ไปเที่ยวรัสเซียค่ะ จริงๆทางทัวร์เค้าก็มีประกันให้นะคะ แต่ให้เฉพาะส่วนที่เป็นอุบัติเหตุ/เจ็บป่วย/เสียชีวิต เท่านั้น พอเห็นความคุ้มครองที่ทัวร์ให้แล้วเลยซื้อเพิ่มเองค่ะ ตอนนั้นเลือกของเมืองไทยประกันภัยไป เพราะลองเทียบความคุ้มครองที่อยากได้กับราคาแล้ว ถือว่าถูกกว่าเจ้าอื่นๆบนความคุ้มครองใกล้เคียงกัน
วันแรกๆก็เที่ยวโดยไม่มีปัญหาอะไรเช่นเคยค่ะ มาเกิดเรื่องในคืนสุดท้ายที่พักใน Moscow โดยเกิดจากตอนที่พ่อกับแม่อาบน้ำเสร็จก็เอาผ้าเช็ดตัวที่เปียกน้ำไปวางไว้บนโคมไฟ เพื่อให้ผ้าเช็ดตัวแห้งไวๆ (พึ่งมารู้ตอนเกิดเรื่องว่าทำมาหลายครั้งแล้ว) แต่เนื่องจากในโรงแรมนี้เป็นโคมไฟแบบเปลือย ทำให้ผ้าเช็ดตัวเริ่มไหม้ มีควันลอยออกมาจนสัญญาณจับควันดัง ทำให้เจ้าหน้าที่เค้ารีบมาที่ห้องแล้วรีบเข้าไปดึงผ้าเช็ดตัวออก พร้อมกับถอดปลั๊กไฟ ความเสียหายก็ตามในรูปเลยค่ะ
และยังไหม้ไปโดนผ้าม่านด้วยค่ะ คือโชคดีมากที่เจ้าหน้าที่เค้าทำงานได้รวดเร็ว มาช่วยดับไฟได้เร็วมาก (ขนาดพ่อกับแม่อยู่ในห้องแท้ๆยังไม่รู้ตัวเลยค่ะ) ซึ่งถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้อาจไฟลุกได้
แต่ปัญหาของที่รัสเซียก็คือ เจ้าหน้าที่พูดอังกฤษไม่ได้! ต้องคุยกันผ่าน google translate ซึ่งลำบากมาก แปลถูกแปลผิด และเค้าเหมือนพยายามขอเงินด้วยค่ะ ตอนแรกบอกว่าความเสียหายประมาณ 30,000 RUB (ประมาณ 15,000 บาท) ถ้าจ่ายเงินให้เค้า 3,000 RUB เค้าจะลดให้เหลือ 25,000 RUB ตอนนั้นดิฉันทำการบ้านเรื่องประกันมาดีแล้วค่ะ เลยคิดว่าน่าจะเคลมได้ พอเค้าขอเงินก็ไม่จ่ายสิคะ เพราะไม่มีใบเสร็จ
สรุปก็ลงไปตกลงกันที่รีเซฟชั่นตรงล๊อบบี้ ดิฉันแวะหยิบใบกรมธรรม์ที่ปริ้นติดตัวมาด้วย อ่านเจอหมวดความรับผิดต่อบุคคลภายนอก* ด้วยวงเงิน 1 ล้านบาท ก็คิดว่าน่าจะเคลมหมวดนี้ได้ (เจอวงเงิน 1 ล้านเลยชิว)
[*ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก = ตัวเราไปทำให้บุคคลอื่นเกิดความเสียหาย ไม่ว่าจะทางร่างกายหรือทรัพย์สิน โดยไม่ได้ตั้งใจค่ะ]
สรุปค่าเสียหายทั้งหมดตามที่รีเซฟชั่นแจ้งมาคือค่าเฟอร์นิเจอร์ที่เสียหายเป็น 11,800 RUB และโดนค่าปรับที่ทำสัญญาณดังอีก 10,000 RUB รวมกันก็แค่ 21,800 RUB เอง (ประมาณ 1หมื่นกว่าบาท) ถูกกว่าที่เจ้าหน้าดับไฟบอกตอนแรกซะอีก
ตอนนั้นยังไม่รีบจ่ายเงินค่ะ เพราะหัวหน้าไกด์มาช่วยคุยให้ และประสานงานให้ไกด์ที่เป็นคนรัสเซียช่วยเป็นล่ามให้ เพราะเจ้าหน้าที่ตรงรีเซฟชั่นพูดอังกฤษไม่ค่อยได้อีก และไกด์รู้สึกว่าราคาที่เค้าเรียกมามันสูงไป ตรงนี้ต้องขอขอบคุณไกด์ทั้งสองคนมากๆเลยค่ะที่โดนปลุกขึ้นมากลางดึกแล้วมาช่วยประสานงานและให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี (ตอนนั้นประมาณ 4-5 ทุ่มเวลารัสเซีย หรือประมาณตี 2-3 เวลาไทย) ส่วนดิฉันก็พยายามโทรหาประกันเพื่อถามว่าคุ้มครองได้ไหมและต้องขอเอกสารอะไรบ้าง โชคดีที่สามีเปิด wifi calling เลยทำให้สามารถโทรกลับเบอร์ที่ไทยได้ แต่เบอร์ที่เมืองไทยประกันภัยเปิดให้โทรได้ 24 ชม. จะถามได้เฉพาะเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลค่ะ หัวข้ออื่นๆเค้าตอบไม่ได้เลย เค้าได้แค่บอกคำแนะนำคร่าวๆ แล้วให้โทรกลับมาใหม่เวลาทำการที่ไทย -*-
*** คำแนะนำ – เวลาเลือกซื้อประกัน ควรเช็คด้วยว่าเวลามีปัญหาตอนอยู่ต่างประเทศสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือจากบริษัทประกันได้ตลอด 24 ชม. หรือไม่ เพราะบางเหตุการณ์ถ้ารอโทรถามเวลาทำการ มันจะช้าเกินไปค่ะ ***
ก่อนจ่ายเงิน ก็พยายามต่อรองขอเอกสารทางโรงแรมเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งทางโรงแรมจะมีให้เฉพาะใบเสร็จภาษารัสเซีย เค้าไม่ยอมแปลให้เลยค่ะ จบลงที่เค้าให้เราจ่ายเงินเต็ม แล้วจะออกใบเสร็จภาษารัสเซียให้ก่อน ส่วนตอนเช้า รอให้เจ้าหน้าที่มาทำงานถึงจะให้เวอร์ชั่นอังกฤษ ตอนนั้นดิฉันก็ต้องยอม เพราะดึกแล้ว เกรงใจไกด์ และพ่อกับแม่เริ่มเพลีย+ง่วงนอนแล้ว (เค้าไม่ให้พักห้องเดิม และจะไม่ยอมให้ห้องใหม่ถ้ายังไม่จ่ายเงิน)
[ ต่อที่ความเห็นที่ 1 นะคะ ]
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้