เรื่องสั้น นิทานของคุณย่า
โดย ส.ชยปาน
หนูแหวนวิ่งกระหืดกระหอบเข้าบ้านอย่างรีบร้อน ขณะที่คุณย่ากำลังสาละวนอยู่กับการจัดดอกไม้เพื่อไปวัดในวันพรุ่งนี้ ยังไม่ทันได้เอ่ยถามใด ๆ
หลานสาวตัวเก่งก็วิ่งปรู๊ดผ่านหน้าเข้าไปในห้องนอนปิดประตูดังโครมแล้วเงียบอยู่เป็นเวลานาน
"ไปทำอะไรมาหรือลูกถึงได้รีบนัก?" เสียงคุณย่าแว่วมาให้ได้ยิน
"ไปเล่นกับจ้อยมาค่ะ" เสียงหวานใสแต่บ่งบอกว่ายังเหนื่อยอยู่ตอบกลับไป
"รีบอาบน้ำอาบท่าแล้วมากินข้าวนะลูก วันนี้ย่าทำไข่ตุ๋นให้กินด้วย" คุณย่าพูดอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะได้ยินเสียงของจ้อยร้องไห้แว่วดังมาบ้านอีกหลังถัดไป...
เย็นวันนี้หนูแหวนกินข้าวอร่อยที่สุด ไม่รู้เป็นเพราะเหนื่อยหรือหิวกันแน่ หรืออาจจะเป็นเพราะฝีมือปลายจวักของคุณย่าก็เป็นได้ ทำให้นึกถึงพ่อกับแม่ที่ไปทำงานในกรุงเทพ ยังดีที่บ้านอยู่ชานเมือง ในวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ จึงได้พบกันพร้อมหน้าทั้งครอบครัว
สายลมของเดือนธันวาคมพัดโชยมาย้ำเตือนทุกคนอีกหน เด็ก ๆ ต้องรีบหาเสื้อผ้าหนา ๆ ใส่ หนูแหวนยังรู้สึกขำไม่หาย เมื่อเห็นคุณย่าใส่ครบชุด ทั้งถุงมือ ถุงเท้า ผ้าพันคอ และหมวกไหมพรมสีแดง
"คนแก่ก็หนาวง่ายแบบนี้แหละลูก" คุณย่าว่าพร้อมยิ้มหวานหัวเราแหะ ๆ เขยิบเข้าโอบกอดหลานสาวด้วยความรัก คุณย่าอายุ 60 ปีแต่ยังแข็งแรงดี แกเลี้ยงลูกหลานจนโตมาก็หลายรุ่น พ่อของหนูแหวนก็คือลูกชายคนสุดท้องของคุณย่าจากพี่น้องทั้งหมดเจ็ดคนนั่นเองตั้งแต่คุณปู่เสียชีวิตไปด้วยโรคชราเมื่อสามปีก่อน คุณย่าก็ตัดสินใจมาอยู่กับครอบครัวของหนูแหวนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บรรดาพี่และญาติ ๆ ฝั่งทางพ่อของหนูแหวนก็ต่างเห็นดีตามนั้น
คุณย่าชอบเล่านิทานให้หนูแหวนและเพื่อน ๆ ฟัง โดยเฉพาะนิทานพื้นบ้าน ไม่ว่าจะเป็น นางสิบสอง ปลาบู่ทอง ศรีธนญชัยและนิทานที่แทรกไปด้วยธรรมะอีกหลายเรื่อง บ่อยครั้งที่เด็ก ๆ แอบเผลอฟังนิทานของคุณย่ากันจนมืดค่ำจนพ่อแม่ต้องมาเรียกไปอาบน้ำก็มี
วันนี้หนูแหวนนอนไม่ค่อยหลับ เหมือนมีอะไรติดค้างอยู่ในใจ นอนพลิกไปพลิกมาจนคุณย่าสังเกตเห็นต้องเอ่ยถาม
"บอกย่ามาตามตรงนะลูก ว่าหนูไปทำอะไรมาเมื่อตอนเย็น"
"หนู หนู..." "บอกย่ามาเถอะลูก ไม่ต้องกลัว" คุณย่ากล่าวย้ำพร้อมรอยยิ้มและกอดกระชับ
"ลูกแก้วค่ะ หนูหยิบลูกแก้วของจ้อยมาห้าลูก จ้อยหาไม่เจอค่ะก็เลยร้องไห้" คุณย่าหัวเราะเบา ๆ แล้วลูกหัวหลานน้อยเบา ๆ ขณะที่หนูแหวนก้มหน้านิ่งซบอกคุณย่าสั่นระริก
"พรุ่งนี้ค่อยเอาไปคืนจ้อยละกันเนาะ" คุณย่าพูดส่วนหนูแหวนไม่ว่าอะไรได้แต่พยักหน้าเบา ๆ
ลมหนาวพัดวูบเข้ามาตามช่องหน้าต่างที่แง้มไว้นิดหนึ่ง เสียงน้ำค้างร่วงพรูกระทบใบตองดังเปาะแปะ หนูแหวนขยับเข้าหาอกอุ่น คุณย่าอมยิ้ม
"เรามาฟังนิทานกันดีกว่ามั้ย เดี๋ยวคุณย่าจะเล่าให้ฟังเอง" หนูแหวนเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ทำตาวาวแล้วยิ้มสวย
"ค่ะ" "นิทานเรื่อง 'คนตัดไม้' คุณย่ากล่าวนำก่อนจะเริ่มเล่า
"กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายสองคนเป็นเพื่อนรักกัน ทั้งสองมีนิสัยที่แตกต่างกันมาก ชายคนที่หนึ่งเป็นคนขยัน ชายคนที่สองเป็นคนขี้เกียจ ทั้งสองมีอาชีพตัดไม้ไปทำฟืนขาย มาวันหนึ่งทั้งสองออกไปตัดไม้ด้วยกันตามปกติ แต่ชายคนที่สองมักจะบอกให้ชายคนที่หนึ่งออกไปตัดก่อนอยู่เสมอ กว่าจะเห็นหน้ามาช่วยได้ก็ตะวันโด่ง..."
"เอาเปรียบ" เสียงเล็ก ๆ แทรกขึ้นด้วยรู้สึกโมโห คุณย่ายิ้มแล้วเล่าต่อ
"วันหนึ่งหลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จแล้วทั้งสองคนก็หาที่พักผ่อนนอนเอาแรง เพื่อจะได้ทำงานต่อไปในช่วงบ่าย ด้วยความเหนื่อยล้าต่างก็เผลอหลับไปเป็นเวลานาน" คุณย่าหยุดเล่า หนูแหวนเงยหน้าทำตาแป๋วอยากฟังต่อ
"ชายคนที่หนึ่งตื่นขึ้นมาเห็นแสงเรืองรองส่องประกายไปทั่วบริเวณ นั่นก็คือแสงของทองคำนั่นเอง ที่นี่ที่ไหน? เขาเอ่ย ก่อนจะตกใจสุดขีดเมื่อมีเสียงหนึ่งตอบขึ้นว่าดวงอาทิตย์ มันคือเสียงจากก้อนหินที่เขานอนพักเมื่อตอนกลางวันนั่นเอง อันที่จริงนั้นไม่ใช่ก้อนหินหรอกนะ แต่มันคือเต่ายักษ์!"
คุณย่าทำท่าทางประกอบโดยผายมือออกให้ดูยิ่งใหญ่ ถึงตรงนี้หนูแหวนก็ทำตาโตอ้าปากค้าง
"แล้วเป็นยังไงต่อคะคุณย่า" คุณย่าหัวเราะ หึ ๆ หนูแหวนดึงแขนเสื้อคุณย่าให้เล่าต่อ
"และแล้วชายคนที่หนึ่งก็ได้ทองคำลงมาจากดวงอาทิตย์ด้วยก่อนฟ้าจะสว่าง"
"โอ้โห!...รวยเลย" หนูแหวนยิ้ม
"เขาซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นในการดำเนินชีวิตและเก็บเอาไว้ใช้บ้างเล็กน้อย"
"แล้วชายคนที่สองล่ะคะคุณย่า" หนูแหวนยังสงสัย
"หลังจากนั้นไม่นาน ชายคนที่สองก็อยากจะได้บ้าง จึงได้ไปนอนตรงที่ชายคนที่หนึ่งเคยนอน"
"แล้วเขาได้ทองไหมคะ?" "ได้สิลูก" คุณย่าตอบสั้น ๆ ก่อนจะลูบหัวหนูแหวนเบา ๆ
"แต่เขาไม่ได้กลับลงมาหรอกนะ เพราะโดนดวงอาทิตย์เผาจนไหม้และเสียชีวิตอยู่บนนั้น" "ทำไมหรือคะ!?" หนูแหวนตกใจเล็กน้อยนัยน์ตาแป๋ว
"เพราะความโลภครอบงำจิตใจของเขา อยากได้มากกว่าที่ชายคนที่หนึ่งได้ไป เต่ายักษ์เรียกให้รีบกลับลงมาก่อนที่ฟ้าจะสว่าง แต่เขากลับไม่ยอมลง"
"น่าสงสารจัง" หนูแหวนพูดเสียงอ่อย ๆ นัยน์ตาเศร้า
นิทานของคุณย่าจบลงพร้อมลมหนาวโชยผ่าน เสียงกอไผ่หลังบ้านสีกันดังออดแอด ฝูงไก่ตีปีกแลกขันกันเป็นทอด ๆ ภายในหมู่บ้าน ดึกมากแล้วน้ำค้างก็ยิ่งร่วงพรู คุณย่าโอบกอดหนูแหวนแนบนิ่งก่อนจะเอ่ยออกมาแผ่วเบา
"ของของเขาเขาก็หวง ของของเราเราก็รักนะลูก"
"ค่ะ" หนูแหวนได้แต่ยิ้มสบตากับคุณย่า นึกถึงลูกแก้วของจ้อยที่ซ่อนอยู่ใต้เตียงนอนและตั้งใจเอาไว้ว่าพรุ่งนี้เช้าจะรีบเอาไปคืนจ้อยในทันที.
เรื่องสั้น นิทานของคุณย่า
โดย ส.ชยปาน
หนูแหวนวิ่งกระหืดกระหอบเข้าบ้านอย่างรีบร้อน ขณะที่คุณย่ากำลังสาละวนอยู่กับการจัดดอกไม้เพื่อไปวัดในวันพรุ่งนี้ ยังไม่ทันได้เอ่ยถามใด ๆ
หลานสาวตัวเก่งก็วิ่งปรู๊ดผ่านหน้าเข้าไปในห้องนอนปิดประตูดังโครมแล้วเงียบอยู่เป็นเวลานาน
"ไปทำอะไรมาหรือลูกถึงได้รีบนัก?" เสียงคุณย่าแว่วมาให้ได้ยิน
"ไปเล่นกับจ้อยมาค่ะ" เสียงหวานใสแต่บ่งบอกว่ายังเหนื่อยอยู่ตอบกลับไป
"รีบอาบน้ำอาบท่าแล้วมากินข้าวนะลูก วันนี้ย่าทำไข่ตุ๋นให้กินด้วย" คุณย่าพูดอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะได้ยินเสียงของจ้อยร้องไห้แว่วดังมาบ้านอีกหลังถัดไป...
เย็นวันนี้หนูแหวนกินข้าวอร่อยที่สุด ไม่รู้เป็นเพราะเหนื่อยหรือหิวกันแน่ หรืออาจจะเป็นเพราะฝีมือปลายจวักของคุณย่าก็เป็นได้ ทำให้นึกถึงพ่อกับแม่ที่ไปทำงานในกรุงเทพ ยังดีที่บ้านอยู่ชานเมือง ในวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ จึงได้พบกันพร้อมหน้าทั้งครอบครัว
สายลมของเดือนธันวาคมพัดโชยมาย้ำเตือนทุกคนอีกหน เด็ก ๆ ต้องรีบหาเสื้อผ้าหนา ๆ ใส่ หนูแหวนยังรู้สึกขำไม่หาย เมื่อเห็นคุณย่าใส่ครบชุด ทั้งถุงมือ ถุงเท้า ผ้าพันคอ และหมวกไหมพรมสีแดง
"คนแก่ก็หนาวง่ายแบบนี้แหละลูก" คุณย่าว่าพร้อมยิ้มหวานหัวเราแหะ ๆ เขยิบเข้าโอบกอดหลานสาวด้วยความรัก คุณย่าอายุ 60 ปีแต่ยังแข็งแรงดี แกเลี้ยงลูกหลานจนโตมาก็หลายรุ่น พ่อของหนูแหวนก็คือลูกชายคนสุดท้องของคุณย่าจากพี่น้องทั้งหมดเจ็ดคนนั่นเองตั้งแต่คุณปู่เสียชีวิตไปด้วยโรคชราเมื่อสามปีก่อน คุณย่าก็ตัดสินใจมาอยู่กับครอบครัวของหนูแหวนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บรรดาพี่และญาติ ๆ ฝั่งทางพ่อของหนูแหวนก็ต่างเห็นดีตามนั้น
คุณย่าชอบเล่านิทานให้หนูแหวนและเพื่อน ๆ ฟัง โดยเฉพาะนิทานพื้นบ้าน ไม่ว่าจะเป็น นางสิบสอง ปลาบู่ทอง ศรีธนญชัยและนิทานที่แทรกไปด้วยธรรมะอีกหลายเรื่อง บ่อยครั้งที่เด็ก ๆ แอบเผลอฟังนิทานของคุณย่ากันจนมืดค่ำจนพ่อแม่ต้องมาเรียกไปอาบน้ำก็มี
วันนี้หนูแหวนนอนไม่ค่อยหลับ เหมือนมีอะไรติดค้างอยู่ในใจ นอนพลิกไปพลิกมาจนคุณย่าสังเกตเห็นต้องเอ่ยถาม
"บอกย่ามาตามตรงนะลูก ว่าหนูไปทำอะไรมาเมื่อตอนเย็น"
"หนู หนู..." "บอกย่ามาเถอะลูก ไม่ต้องกลัว" คุณย่ากล่าวย้ำพร้อมรอยยิ้มและกอดกระชับ
"ลูกแก้วค่ะ หนูหยิบลูกแก้วของจ้อยมาห้าลูก จ้อยหาไม่เจอค่ะก็เลยร้องไห้" คุณย่าหัวเราะเบา ๆ แล้วลูกหัวหลานน้อยเบา ๆ ขณะที่หนูแหวนก้มหน้านิ่งซบอกคุณย่าสั่นระริก
"พรุ่งนี้ค่อยเอาไปคืนจ้อยละกันเนาะ" คุณย่าพูดส่วนหนูแหวนไม่ว่าอะไรได้แต่พยักหน้าเบา ๆ
ลมหนาวพัดวูบเข้ามาตามช่องหน้าต่างที่แง้มไว้นิดหนึ่ง เสียงน้ำค้างร่วงพรูกระทบใบตองดังเปาะแปะ หนูแหวนขยับเข้าหาอกอุ่น คุณย่าอมยิ้ม
"เรามาฟังนิทานกันดีกว่ามั้ย เดี๋ยวคุณย่าจะเล่าให้ฟังเอง" หนูแหวนเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ทำตาวาวแล้วยิ้มสวย
"ค่ะ" "นิทานเรื่อง 'คนตัดไม้' คุณย่ากล่าวนำก่อนจะเริ่มเล่า
"กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายสองคนเป็นเพื่อนรักกัน ทั้งสองมีนิสัยที่แตกต่างกันมาก ชายคนที่หนึ่งเป็นคนขยัน ชายคนที่สองเป็นคนขี้เกียจ ทั้งสองมีอาชีพตัดไม้ไปทำฟืนขาย มาวันหนึ่งทั้งสองออกไปตัดไม้ด้วยกันตามปกติ แต่ชายคนที่สองมักจะบอกให้ชายคนที่หนึ่งออกไปตัดก่อนอยู่เสมอ กว่าจะเห็นหน้ามาช่วยได้ก็ตะวันโด่ง..."
"เอาเปรียบ" เสียงเล็ก ๆ แทรกขึ้นด้วยรู้สึกโมโห คุณย่ายิ้มแล้วเล่าต่อ
"วันหนึ่งหลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จแล้วทั้งสองคนก็หาที่พักผ่อนนอนเอาแรง เพื่อจะได้ทำงานต่อไปในช่วงบ่าย ด้วยความเหนื่อยล้าต่างก็เผลอหลับไปเป็นเวลานาน" คุณย่าหยุดเล่า หนูแหวนเงยหน้าทำตาแป๋วอยากฟังต่อ
"ชายคนที่หนึ่งตื่นขึ้นมาเห็นแสงเรืองรองส่องประกายไปทั่วบริเวณ นั่นก็คือแสงของทองคำนั่นเอง ที่นี่ที่ไหน? เขาเอ่ย ก่อนจะตกใจสุดขีดเมื่อมีเสียงหนึ่งตอบขึ้นว่าดวงอาทิตย์ มันคือเสียงจากก้อนหินที่เขานอนพักเมื่อตอนกลางวันนั่นเอง อันที่จริงนั้นไม่ใช่ก้อนหินหรอกนะ แต่มันคือเต่ายักษ์!"
คุณย่าทำท่าทางประกอบโดยผายมือออกให้ดูยิ่งใหญ่ ถึงตรงนี้หนูแหวนก็ทำตาโตอ้าปากค้าง
"แล้วเป็นยังไงต่อคะคุณย่า" คุณย่าหัวเราะ หึ ๆ หนูแหวนดึงแขนเสื้อคุณย่าให้เล่าต่อ
"และแล้วชายคนที่หนึ่งก็ได้ทองคำลงมาจากดวงอาทิตย์ด้วยก่อนฟ้าจะสว่าง"
"โอ้โห!...รวยเลย" หนูแหวนยิ้ม
"เขาซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นในการดำเนินชีวิตและเก็บเอาไว้ใช้บ้างเล็กน้อย"
"แล้วชายคนที่สองล่ะคะคุณย่า" หนูแหวนยังสงสัย
"หลังจากนั้นไม่นาน ชายคนที่สองก็อยากจะได้บ้าง จึงได้ไปนอนตรงที่ชายคนที่หนึ่งเคยนอน"
"แล้วเขาได้ทองไหมคะ?" "ได้สิลูก" คุณย่าตอบสั้น ๆ ก่อนจะลูบหัวหนูแหวนเบา ๆ
"แต่เขาไม่ได้กลับลงมาหรอกนะ เพราะโดนดวงอาทิตย์เผาจนไหม้และเสียชีวิตอยู่บนนั้น" "ทำไมหรือคะ!?" หนูแหวนตกใจเล็กน้อยนัยน์ตาแป๋ว
"เพราะความโลภครอบงำจิตใจของเขา อยากได้มากกว่าที่ชายคนที่หนึ่งได้ไป เต่ายักษ์เรียกให้รีบกลับลงมาก่อนที่ฟ้าจะสว่าง แต่เขากลับไม่ยอมลง"
"น่าสงสารจัง" หนูแหวนพูดเสียงอ่อย ๆ นัยน์ตาเศร้า
นิทานของคุณย่าจบลงพร้อมลมหนาวโชยผ่าน เสียงกอไผ่หลังบ้านสีกันดังออดแอด ฝูงไก่ตีปีกแลกขันกันเป็นทอด ๆ ภายในหมู่บ้าน ดึกมากแล้วน้ำค้างก็ยิ่งร่วงพรู คุณย่าโอบกอดหนูแหวนแนบนิ่งก่อนจะเอ่ยออกมาแผ่วเบา
"ของของเขาเขาก็หวง ของของเราเราก็รักนะลูก"
"ค่ะ" หนูแหวนได้แต่ยิ้มสบตากับคุณย่า นึกถึงลูกแก้วของจ้อยที่ซ่อนอยู่ใต้เตียงนอนและตั้งใจเอาไว้ว่าพรุ่งนี้เช้าจะรีบเอาไปคืนจ้อยในทันที.