.....อัตตา คือ ความเที่ยง ความมั่นคง ความยั่งยืน ความไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
เป็นวิสังขาร เป็นอสังขตธรรม เป็นอมตะ เป็นนิพพาน...
.....เพียงแต่พระพุทธเจ้าไม่ใช้คำว่าอัตตา แต่เลี่ยงไปใช้คำอื่นๆแทนอีกมาก เช่น
ธรรมอันเป็นฝั่งธรรมอันหาอาสวะมิได้ ธรรมที่จริง ธรรมอันละเอียด ธรรมอันเห็นได้แสนยาก
ธรรมอันไม่คร่ำคร่า ธรรมอันยั่งยืน ธรรมอันไม่ทรุดโทรม ธรรมอันใครๆ ไม่พึงเห็นด้วยจักษุวิญญาณ
ธรรมอันสงบ ธรรมอันประณีต ธรรมอันปลอดภัย ธรรมอันหาทุกข์มิได้
ธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา ธรรมอันไม่เคยมีเคยเป็น ธรรมอันหาทุกข์มิได้ เป็นต้น
......และอีกเยอะแยะมากมาย เพราะยุคนั้นลัทธิอัตตาของพราหมณ์กำลังรุ่งเรือง และเป็น
ลัทธิที่ยังวนเวียนในเรื่องของขันธ์ ๕ ถ้าพระพุทธเจ้าจะตรัสว่าอัตตามีอยู่จริง ก็จะกล่าวหาว่า
พระพุทธเจ้ากล่าวสัสสตทิฏฐิเป็นพวกเขานั่นเอง
....แต่ชื่อเหล่านั้นที่เหมือนกัน คือ ความเที่ยง ความมั่นคง ความยั่งยืน ความไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
และไม่เป็นอนัตตาอย่างเดียวกันนั่นเอง
เรื่องของเรื่องมันก็เลยเป็นจั่งซี่ๆเด้อพี่น้อง ไม่เห็นต้องคิดมากเลย...
จะอู้หื้อ..
ที่แท้ อัตตานั่นแหละมีอยู่..
เป็นวิสังขาร เป็นอสังขตธรรม เป็นอมตะ เป็นนิพพาน...
.....เพียงแต่พระพุทธเจ้าไม่ใช้คำว่าอัตตา แต่เลี่ยงไปใช้คำอื่นๆแทนอีกมาก เช่น
ธรรมอันเป็นฝั่งธรรมอันหาอาสวะมิได้ ธรรมที่จริง ธรรมอันละเอียด ธรรมอันเห็นได้แสนยาก
ธรรมอันไม่คร่ำคร่า ธรรมอันยั่งยืน ธรรมอันไม่ทรุดโทรม ธรรมอันใครๆ ไม่พึงเห็นด้วยจักษุวิญญาณ
ธรรมอันสงบ ธรรมอันประณีต ธรรมอันปลอดภัย ธรรมอันหาทุกข์มิได้
ธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา ธรรมอันไม่เคยมีเคยเป็น ธรรมอันหาทุกข์มิได้ เป็นต้น
......และอีกเยอะแยะมากมาย เพราะยุคนั้นลัทธิอัตตาของพราหมณ์กำลังรุ่งเรือง และเป็น
ลัทธิที่ยังวนเวียนในเรื่องของขันธ์ ๕ ถ้าพระพุทธเจ้าจะตรัสว่าอัตตามีอยู่จริง ก็จะกล่าวหาว่า
พระพุทธเจ้ากล่าวสัสสตทิฏฐิเป็นพวกเขานั่นเอง
....แต่ชื่อเหล่านั้นที่เหมือนกัน คือ ความเที่ยง ความมั่นคง ความยั่งยืน ความไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
และไม่เป็นอนัตตาอย่างเดียวกันนั่นเอง
เรื่องของเรื่องมันก็เลยเป็นจั่งซี่ๆเด้อพี่น้อง ไม่เห็นต้องคิดมากเลย...
จะอู้หื้อ..