ปฏิบัติการ “เอาคืน”
source : media.npr.org
หลังจากเกิดเหตุวินาศกรรมเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2001 พวกเขาคือ ทหารอเมริกันกลุ่มแรกที่เข้าไปเอาคืน
ภารกิจที่ถูกเก็บเป็นความลับมานาน เป็นภารกิจแรกของทหารอเมริกันจำนวน 12 นายในการเข้าไปยังดินแดนของผู้ก่อการร้าย ซึ่งพวกเขาไม่เคยไปมาก่อน และต้องเผชิญกับภูมิประเทศที่ยากลำบาก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหุบเขาและทะเลทราย ซึ่งอุปสรรคเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาท้อถอยเลยแม้แต่น้อย
ให้หลัง 1 วัน นับจากเกิดเหตุวินาศกรรมเมื่อวันที่ 11
กันยายน 2001 ทหารบกของสหรัฐอเมริกาจำนวน 12 นายในนามทีม
ODA 595 จากหน่วย
Green Beret ถูกเรียกตัวด่วน เพื่อเดินทางไปยังอัฟกานิสถาน ซึ่งจุดมุ่งหมายในการปฏิบัติภารกิจของพวกเขาคือ การโน้มน้าวใจผู้นำกองกำลังนักรบท้องถิ่นชาวอัฟกานิสถาน อย่างนายพล
Abdul Rashid Dostum ให้มาเป็นพวกในการขับไล่กองทัพตาลีบัน และเข้ายึดเมืองที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เป็นการกรุยทางให้กองทัพอเมริกาเข้าไปทำการรบต่อไป
นอกจากความน่าสนใจจะอยู่ที่การได้เป็นทีมแรก ของกองทัพอเมริกาที่ได้เข้าไปปฏิบัติภารกิจที่เรียกได้ว่าเป็นการ
“เอาคืน” เพื่อเป็นตอบโต้พวกผู้ก่อการร้าย และปลอบขวัญชาวอเมริกันแล้ว ยังมีความน่าสนใจอยู่อีก นั่นคือ การที่พวกเขาจะต้องปรับแบบแผนการรบให้เข้ากับสภาพภูมิประเทศหุบเขาและทะเลทราย และการรบที่เหมาะสำหรับภูมิประเทศแบบนี้มากที่สุด ก็คือ
การรบบนหลังม้า ซึ่งไม่ได้เป็นภาพที่คุ้นตานัก สำหรับทหารอเมริกัน
และถือเป็นความโชคดี ที่หัวหน้าทีม ODA 595 เป็นคนที่เติบโตมาจากบ้านที่ทำฟาร์มปศุสัตว์ดังนั้นจึงไม่ยากเลยที่จะฝึกคนอื่นๆ
หลังจากที่ผ่านไปร่วมเดือน ภารกิจนี้จบลงด้วยชัยชนะอันสวยงามของทีม ODA 595 และกองทัพอเมริกันก็ได้เริ่มเปิดฉากสงครามกับผู้ก่อการร้ายเต็มรูปแบบ ทหารจำนวน 12 นาย เดินทางกลับมาหาครอบครัวและใช้ชีวิตแบบเงียบๆ ไม่ได้รับการต้อนรับกลับบ้านอย่างยิ่งใหญ่ เนื่องจากเป็นภารกิจนี้เป็นภารกิจที่เป็นความลับสุดยอดตลอดมา
จนกระทั่งได้มีการเปิดเผยเรื่องราวของพวกเขาในอีก 4 จากหนังสือ
Horse Soldiers: The Extraordinary Story of a Band of US Soldiers Who Rode to Victory in Afghanistan
หลังจากนั้นได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ Horse Soldier Statue หน้า One World Trade Center เพื่อเป็นการรำลึกถึงความกล้าหาญของพวกเขา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มญาติและมิตรสหายของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 9/11ด้วย
และในปี 2018 วีรกรรมของพวกเขาก็ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งแรก ซึ่งมีชื่อเรื่องว่า 12 Strong ใครที่อยากทราบรายละเอียดของการปฏิบัติการครั้งนี้ในรูปแบบภาพยนตร์ ก็ลองไปหาดูกันได้เลย
Cr.
https://patriotoutfitthailand.com/blog/12-strong/
‘Unit 684’ ภารกิจลับลอบสังหาร
หลังทางการเกาหลีเหนือจากล้มเหลวในภารกิจลอบสังหารประธานาธิบดีแห่งเกาหลีใต้เมื่อปี ค.ศ.1968 หน่วยข่าวกรองโสมขาวได้จัดตั้งหน่วย
Unit 684 ขึ้นมา หน่วยพิเศษที่คัดเอาแต่นักโทษฉกรรจ์ เพื่อเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว ลอบสังหารผู้นำเกาหลีเหนือในขณะนั้นอย่าง
คิม อิล-ซุง
เหล่านักโทษประหารกลุ่มนี้จำเป็นต้องรับภารกิจที่ไม่มีวันปฎิเสธได้ หากทำสำเร็จพวกเขาจะได้รับการลบคดีอาชญากรรมและได้รับการแต่งตั้งเป็นทหารผู้ทรงเกียรติ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เหล่าคนคุกเหล่านี้ยินดีทำภารกิจเพื่อชาติและปลดแอกตัวเอง!
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ทางการจะส่งพวกเขาเข้าสู่แดนศัตรู นักโทษทั้งหมดต้องได้รับการฝึกที่หนักหน่วงเพื่อเตรียมพร้อมก่อนออกรบในแนวหน้า จนกระทั่งในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ.1971 กลุ่มนักโทษที่ได้รับการฝึกฝนจนกลายเป็นทหารกล้ามาสามารถสังหารทหารยามของเกาหลีเหนือบนเกาะซิลมิโดขณะทำการหลบหนีกลับสู่แผ่นดินเกิด
แต่ทุกอย่างผิดไปจากที่หน่วย 684 คาดหวังไว้ เมื่อพวกเขาถูกทหารเกาหลีใต้ไล่ล่าและยิงทิ้งระหว่างการหลบหนีโดยใช้รถบัสที่กรุงโซล นักโทษที่เหลือรอดถูกสั่งประหารชีวิต กล่าวกันว่าภายหลังเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ได้พยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์จนเป็นที่น่าพอใจ รัฐบาลเกาหลีใต้จึงมีคำสั่งให้ยกเลิกและปิดปากสมาชิกหน่วย 684 เสีย และเก็บเรื่องราวทุกอย่างให้เป็นความลับด้วยเหตุผลทางการทูต!
จนกระทั่งในปี ค.ศ.1990 ข้อมูลลับถูกเปิดเผย จนทำให้ครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากหน่วย 684 ฟ้องร้องรัฐบาลเกาหลีใต้ในข้อหาละเมิดสิทธิมนุษย์ชนและปิดบังข้อมูล ก่อนที่ศาลตัดสินให้รัฐบาลเกาหลีใต้จ่ายเงินชดเชยเป็นจำนวน 273 ล้านวอน (ราว 8 ล้านบาท)
…และในปี ค.ศ.2003 เรื่องราวอื้อฉาวดังกล่าวได้ถูกถ่ายทอดลงในภาพยนตร์สุดเข้มขนเรื่อง Silmido
ชื่อของหนัง (Silmido) แปลว่าเกาะ Silmi เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่มีอยู่จริง โดยภาพยนตร์ชี้ว่าเป็นสถานที่ตั้งค่ายฝึก "หน่วยลอบสังหาร" นั่นเอง นำมาผูกเรื่องให้เข้มข้นว่าหน่วยลอบสังหารเป็นผลจากเหตุที่ฝ่ายใต้จับได้ว่า ฝ่ายเหนือส่งคนมาหมายปลิดชีพประธานาธิบดีปัก จุงฮี (Park Chung-hee) ของตน จึงจัดการฝึกหน่วยลับ ๖๘๔ บนเกาะแห่งนี้ เข้าข่าย "ตาต่อตาฟันต่อฟัน" หวังลอบสังหารประธานาธิบดีคิม อิลซุง (Kim Il-sung) บ้าง
หน่วยพิเศษ ๖๘๔ ของเกาหลีใต้เกิดขึ้นจากการนำนักโทษประหารทั้งหมด ๓๑ คนมาขับเคี่ยวฝึกให้แกร่งกล้าสมกับภารกิจ "เพื่อชาติ" โดยให้คำมั่นสัญญาว่าสถานภาพของพวกเขาจะถูกเปลี่ยนจากนักโทษเป็นทหารหาญเปี่ยมทั้งเกียรติยศและเงินทอง หลังจากปลิดชีพประธานาธิบดีคอมมิวนิสต์ผู้นั้นสำเร็จ
Cr.
https://www.spokedark.tv/re/black-ops-sourth-korea-mission-2/
จารชนปล้นชา ภารกิจลับลูบคมมังกร
เมื่อพูดถึง “ชา” ก็ต้องนึกถึงแผ่นดินจีน เพราะชาวจีนรู้จักการดื่มชามานานนับเป็นพันๆ ปีแล้ว
โดยมีเรื่องเล่าของ เสินหนง 神农 กษัตริย์ในตำนานผู้ได้รับการนับถือว่าเป็นเทพแห่งกสิกร ได้ค้นพบการดื่มชาโดยบังเอิญเมื่อใบชาจากต้นร่วงหล่นลงในน้ำที่กำลังต้มจนเดือด และจีนยังมีคัมภีร์ชา ฉาจิง 茶经ของลู่อวี๋ 陸羽 ในสมัยราชวงศ์ถัง ที่ถือเป็นตำราว่าด้วย “ชา” เล่มแรกของโลก จีนเป็นแหล่งกำเนิดของต้นชาที่มีมากกว่า 2,000 สายพันธุ์ จีนยังมีวิทยาการในการผลิตใบชามาอย่างยาวนาน และเมื่อโลกได้รู้จักกับการดื่มชา ชากลายเป็นเครื่องยอดนิยมของโลกอันดับสองรองจากน้ำเปล่า
เมื่อมีเพียงจีนเท่านั้นที่มีไร่ชา และเทคโนโลยีในการผลิตชา ทำให้จีนผูกขาดการค้าชา จนอาจเรียกได้ว่าเป็น “มหาอำนาจชาของโลก” และเพราะการผูกขาดนี่เองที่ทำให้จีนถูก บริษัท อีสต์อินเดีย Honourable East India Company ของอังกฤษจับตามองการค้าใบชานี้ตาเป็นมัน!
อังกฤษนิยมดื่มชาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะชาดำหรือที่เรียกกันว่าชาฝรั่ง อังกฤษสั่งซื้อใบชาจากจีนปีๆ หนึ่งเป็นจำนวนเงินมหาศาล ต่อมาอังกฤษก็หาทางออกด้วยการใช้ฝิ่นไปแลกเปลี่ยนกับชาของจีน ทำให้แผ่นดินจีนมีผู้คนติดฝิ่นงอมแงมจนที่สุดก็เกิดสงครามฝิ่นครั้งที่ 1 ขึ้นใน ค.ศ.1842 จีนเป็นฝ่ายแพ้สงครามต้องเซ็นสนธิสัญญานานจิง จ่ายค่าชดเชยให้อังกฤษ เปิดเมืองท่าห้าแห่งและยกฮ่องกงให้อังกฤษเช่า
และในช่วงเวลานี้เอง ที่นักพฤกษศาสตร์โนเนมชาวสก็อตช์นาม โรเบิร์ต ฟอร์จูน Robert Fortune
หรือที่ชาวจีนเรียกขานว่า 福钧 (พ้องเสียงกับนามสกุลฟอร์จูน) ได้รับมอบหมายจากสมาคมเพาะพันธุ์ผักและผลไม้ the Royal Horticultural Society (RHS) กรุงลอนดอน ให้ไปรวบรวมพันธุ์พืชจากเมืองจีน
การไปครั้งนี้ ความตั้งใจอย่างหนึ่งของฟอร์จูนคือไปเสาะแสวงหาต้นของชาดำที่ชาวอังกฤษนิยมดื่ม แต่เมื่อไปถึงแหล่งปลูกชา เขากลับค้นพบว่า ที่แท้แล้ว ชาดำ กับ ชาเขียว นั้นก็มาจากชาต้นเดียวกัน เพียงแค่แตกต่างด้วยกรรมวิธีในการผลิตใบชา
เมื่อฟอร์จูนกลับไปที่อังกฤษแล้ว เขาได้ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง Three Years’ Wanderings in the Northern Provinces of China Including A Visit to the Tea, Silk, and Cotton Countries ขึ้นใน ค.ศ. 1847 และเพราะหนังสือเล่มนี้เองที่ทำให้ฟอร์จูนได้รับการว่าจ้างจากบริษัทอีสต์อินเดียให้กลับไปที่เมืองจีนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ภารกิจของเขาเป็นความลับสุดยอด!
สิ่งที่เขาต้องทำคือ “ขโมยเมล็ดพันธุ์ ต้นอ่อน และเทคโนโลยีการผลิตชามาจากจีนเพื่อนำมาปลูกและผลิตในดาร์จีลิง อินเดีย” เพราะบริษัท อีสต์อินเดียต้องการแย่งชิงการค้าใบชามาจากจีน บริษัทฯ ลงทุนว่าจ้างฟอร์จูนด้วยเงิน 500 ปอนด์ต่อปีเพื่อการจารชนปล้นชิงครั้งนี้
วันที่ 20 เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1848 ตรงกับปีที่ 28 ในรัชสมัยเต้ากวงฮ่องเต้ โรเบิร์ต ฟอร์จูน ลงเรือทีท่าเรือเซาธ์แธมป์ตันมุ่งหน้าสู่ฮ่องกง แล้วเตรียมตัวเข้าสู่แผ่นดินใหญ่ ในการเดินทางครั้งนี้ ฟอร์จูนต้องโกนหัว ติดผมเปียปลอม สวมใส่เสื้อผ้าแบบชาวจีนแล้วอ้างตนเป็นพ่อค้ามาจากนอกด่าน เขาว่าจ้างผู้ติดตามชาวจีนอีกสองคนร่วมเดินทางไปด้วย
ทั้งหมดไปตั้งต้นที่เมืองเซี่ยงไฮ้ แล้วเดินทางผ่านหังโจว เข้าไปสู่แหล่งปลูกชาในเจ้อเจียง อันฮุย ข้ามน้ำข้ามเขาเดินทางลึกเข้าไปเรื่อยๆ โดยที่ถ้าถูกจับได้ก็ต้องตายสถานเดียว เขาค่อยๆ เก็บรวมเมล็ดและต้นอ่อน รวมทั้งเข้าชมเทคนิคการผลิตใบชาจากโรงงานผลิตใบชาเก่าแก่อย่างละเอียดลออ ที่สุดนายโรเบิร์ต ฟอร์จูนผู้นี้ก็สามารถลักลอบนำต้นอ่อนของชาจำนวนกว่า 13,000 ต้น และเมล็ดพันธุ์ชาอีกนับหมื่นที่เป็นสิ่งหวงห้ามออกจากจีนไปสู่ดาร์จีลิง ประเทศอินเดียได้สำเร็จ เขายังว่าจ้างชาวจีนที่เชี่ยวชาญการผลิตชาออกไปทำงานประจำที่ดาร์จีลิงอีกด้วย
จากภารกิจลับของโรเบิร์ต ฟอร์จูนครั้งนี้ ทำให้อังกฤษสามารถผลิตชาได้เอง ไม่ต้องเสียดุลการค้าให้กับจีนอีกต่อไป
โลกมองโรเบิร์ต ฟอร์จูน เป็นโจร เป็นจารชน แต่สำหรับตัวโรเบิร์ต ฟอร์จูนเอง เขากลับมองว่า ชาไม่ใช่ของชาวจีน แต่เป็นสมบัติของชาวโลก การที่เขาขโมยชาออกมาจากจีน ถือเป็นการทำให้การผลิตชาไม่ถูกผูกขาดและเมื่อการผลิตชามาอยู่ในมือประเทศที่เจริญแล้วอย่างอังกฤษ ย่อมจะทำให้มีการพัฒนากระบวนการผลิตใบชาให้ดีมากขึ้นได้
วันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1880 โรเบิร์ต ฟอร์จูน จารชนปล้นชาก็เสียชีวิตลงที่ลอนดอน ปิดฉากชีวิตคนที่ปล้นชาออกมาจากแดนมังกร
เครดิต: คุณสมชาย จิว
ขอบคุณที่มา:
http://www.teeyaipakin.com/2018/04/29/จารชนปล้นชา-สมบัติล้ำค่/
ปฏิบัติการลับโลกไม่ลืม
source : media.npr.org
หลังจากเกิดเหตุวินาศกรรมเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2001 พวกเขาคือ ทหารอเมริกันกลุ่มแรกที่เข้าไปเอาคืน
ภารกิจที่ถูกเก็บเป็นความลับมานาน เป็นภารกิจแรกของทหารอเมริกันจำนวน 12 นายในการเข้าไปยังดินแดนของผู้ก่อการร้าย ซึ่งพวกเขาไม่เคยไปมาก่อน และต้องเผชิญกับภูมิประเทศที่ยากลำบาก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหุบเขาและทะเลทราย ซึ่งอุปสรรคเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาท้อถอยเลยแม้แต่น้อย
ให้หลัง 1 วัน นับจากเกิดเหตุวินาศกรรมเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 ทหารบกของสหรัฐอเมริกาจำนวน 12 นายในนามทีม ODA 595 จากหน่วย Green Beret ถูกเรียกตัวด่วน เพื่อเดินทางไปยังอัฟกานิสถาน ซึ่งจุดมุ่งหมายในการปฏิบัติภารกิจของพวกเขาคือ การโน้มน้าวใจผู้นำกองกำลังนักรบท้องถิ่นชาวอัฟกานิสถาน อย่างนายพล Abdul Rashid Dostum ให้มาเป็นพวกในการขับไล่กองทัพตาลีบัน และเข้ายึดเมืองที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เป็นการกรุยทางให้กองทัพอเมริกาเข้าไปทำการรบต่อไป
นอกจากความน่าสนใจจะอยู่ที่การได้เป็นทีมแรก ของกองทัพอเมริกาที่ได้เข้าไปปฏิบัติภารกิจที่เรียกได้ว่าเป็นการ “เอาคืน” เพื่อเป็นตอบโต้พวกผู้ก่อการร้าย และปลอบขวัญชาวอเมริกันแล้ว ยังมีความน่าสนใจอยู่อีก นั่นคือ การที่พวกเขาจะต้องปรับแบบแผนการรบให้เข้ากับสภาพภูมิประเทศหุบเขาและทะเลทราย และการรบที่เหมาะสำหรับภูมิประเทศแบบนี้มากที่สุด ก็คือ การรบบนหลังม้า ซึ่งไม่ได้เป็นภาพที่คุ้นตานัก สำหรับทหารอเมริกัน
และถือเป็นความโชคดี ที่หัวหน้าทีม ODA 595 เป็นคนที่เติบโตมาจากบ้านที่ทำฟาร์มปศุสัตว์ดังนั้นจึงไม่ยากเลยที่จะฝึกคนอื่นๆ
หลังจากที่ผ่านไปร่วมเดือน ภารกิจนี้จบลงด้วยชัยชนะอันสวยงามของทีม ODA 595 และกองทัพอเมริกันก็ได้เริ่มเปิดฉากสงครามกับผู้ก่อการร้ายเต็มรูปแบบ ทหารจำนวน 12 นาย เดินทางกลับมาหาครอบครัวและใช้ชีวิตแบบเงียบๆ ไม่ได้รับการต้อนรับกลับบ้านอย่างยิ่งใหญ่ เนื่องจากเป็นภารกิจนี้เป็นภารกิจที่เป็นความลับสุดยอดตลอดมา
จนกระทั่งได้มีการเปิดเผยเรื่องราวของพวกเขาในอีก 4 จากหนังสือ Horse Soldiers: The Extraordinary Story of a Band of US Soldiers Who Rode to Victory in Afghanistan
หลังจากนั้นได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ Horse Soldier Statue หน้า One World Trade Center เพื่อเป็นการรำลึกถึงความกล้าหาญของพวกเขา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มญาติและมิตรสหายของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 9/11ด้วย
และในปี 2018 วีรกรรมของพวกเขาก็ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งแรก ซึ่งมีชื่อเรื่องว่า 12 Strong ใครที่อยากทราบรายละเอียดของการปฏิบัติการครั้งนี้ในรูปแบบภาพยนตร์ ก็ลองไปหาดูกันได้เลย
Cr.https://patriotoutfitthailand.com/blog/12-strong/
‘Unit 684’ ภารกิจลับลอบสังหาร
หลังทางการเกาหลีเหนือจากล้มเหลวในภารกิจลอบสังหารประธานาธิบดีแห่งเกาหลีใต้เมื่อปี ค.ศ.1968 หน่วยข่าวกรองโสมขาวได้จัดตั้งหน่วย Unit 684 ขึ้นมา หน่วยพิเศษที่คัดเอาแต่นักโทษฉกรรจ์ เพื่อเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว ลอบสังหารผู้นำเกาหลีเหนือในขณะนั้นอย่าง คิม อิล-ซุง
เหล่านักโทษประหารกลุ่มนี้จำเป็นต้องรับภารกิจที่ไม่มีวันปฎิเสธได้ หากทำสำเร็จพวกเขาจะได้รับการลบคดีอาชญากรรมและได้รับการแต่งตั้งเป็นทหารผู้ทรงเกียรติ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เหล่าคนคุกเหล่านี้ยินดีทำภารกิจเพื่อชาติและปลดแอกตัวเอง!
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ทางการจะส่งพวกเขาเข้าสู่แดนศัตรู นักโทษทั้งหมดต้องได้รับการฝึกที่หนักหน่วงเพื่อเตรียมพร้อมก่อนออกรบในแนวหน้า จนกระทั่งในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ.1971 กลุ่มนักโทษที่ได้รับการฝึกฝนจนกลายเป็นทหารกล้ามาสามารถสังหารทหารยามของเกาหลีเหนือบนเกาะซิลมิโดขณะทำการหลบหนีกลับสู่แผ่นดินเกิด
แต่ทุกอย่างผิดไปจากที่หน่วย 684 คาดหวังไว้ เมื่อพวกเขาถูกทหารเกาหลีใต้ไล่ล่าและยิงทิ้งระหว่างการหลบหนีโดยใช้รถบัสที่กรุงโซล นักโทษที่เหลือรอดถูกสั่งประหารชีวิต กล่าวกันว่าภายหลังเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ได้พยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์จนเป็นที่น่าพอใจ รัฐบาลเกาหลีใต้จึงมีคำสั่งให้ยกเลิกและปิดปากสมาชิกหน่วย 684 เสีย และเก็บเรื่องราวทุกอย่างให้เป็นความลับด้วยเหตุผลทางการทูต!
จนกระทั่งในปี ค.ศ.1990 ข้อมูลลับถูกเปิดเผย จนทำให้ครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากหน่วย 684 ฟ้องร้องรัฐบาลเกาหลีใต้ในข้อหาละเมิดสิทธิมนุษย์ชนและปิดบังข้อมูล ก่อนที่ศาลตัดสินให้รัฐบาลเกาหลีใต้จ่ายเงินชดเชยเป็นจำนวน 273 ล้านวอน (ราว 8 ล้านบาท)
…และในปี ค.ศ.2003 เรื่องราวอื้อฉาวดังกล่าวได้ถูกถ่ายทอดลงในภาพยนตร์สุดเข้มขนเรื่อง Silmido
ชื่อของหนัง (Silmido) แปลว่าเกาะ Silmi เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่มีอยู่จริง โดยภาพยนตร์ชี้ว่าเป็นสถานที่ตั้งค่ายฝึก "หน่วยลอบสังหาร" นั่นเอง นำมาผูกเรื่องให้เข้มข้นว่าหน่วยลอบสังหารเป็นผลจากเหตุที่ฝ่ายใต้จับได้ว่า ฝ่ายเหนือส่งคนมาหมายปลิดชีพประธานาธิบดีปัก จุงฮี (Park Chung-hee) ของตน จึงจัดการฝึกหน่วยลับ ๖๘๔ บนเกาะแห่งนี้ เข้าข่าย "ตาต่อตาฟันต่อฟัน" หวังลอบสังหารประธานาธิบดีคิม อิลซุง (Kim Il-sung) บ้าง
หน่วยพิเศษ ๖๘๔ ของเกาหลีใต้เกิดขึ้นจากการนำนักโทษประหารทั้งหมด ๓๑ คนมาขับเคี่ยวฝึกให้แกร่งกล้าสมกับภารกิจ "เพื่อชาติ" โดยให้คำมั่นสัญญาว่าสถานภาพของพวกเขาจะถูกเปลี่ยนจากนักโทษเป็นทหารหาญเปี่ยมทั้งเกียรติยศและเงินทอง หลังจากปลิดชีพประธานาธิบดีคอมมิวนิสต์ผู้นั้นสำเร็จ
Cr.https://www.spokedark.tv/re/black-ops-sourth-korea-mission-2/
จารชนปล้นชา ภารกิจลับลูบคมมังกร
เมื่อพูดถึง “ชา” ก็ต้องนึกถึงแผ่นดินจีน เพราะชาวจีนรู้จักการดื่มชามานานนับเป็นพันๆ ปีแล้ว
โดยมีเรื่องเล่าของ เสินหนง 神农 กษัตริย์ในตำนานผู้ได้รับการนับถือว่าเป็นเทพแห่งกสิกร ได้ค้นพบการดื่มชาโดยบังเอิญเมื่อใบชาจากต้นร่วงหล่นลงในน้ำที่กำลังต้มจนเดือด และจีนยังมีคัมภีร์ชา ฉาจิง 茶经ของลู่อวี๋ 陸羽 ในสมัยราชวงศ์ถัง ที่ถือเป็นตำราว่าด้วย “ชา” เล่มแรกของโลก จีนเป็นแหล่งกำเนิดของต้นชาที่มีมากกว่า 2,000 สายพันธุ์ จีนยังมีวิทยาการในการผลิตใบชามาอย่างยาวนาน และเมื่อโลกได้รู้จักกับการดื่มชา ชากลายเป็นเครื่องยอดนิยมของโลกอันดับสองรองจากน้ำเปล่า
เมื่อมีเพียงจีนเท่านั้นที่มีไร่ชา และเทคโนโลยีในการผลิตชา ทำให้จีนผูกขาดการค้าชา จนอาจเรียกได้ว่าเป็น “มหาอำนาจชาของโลก” และเพราะการผูกขาดนี่เองที่ทำให้จีนถูก บริษัท อีสต์อินเดีย Honourable East India Company ของอังกฤษจับตามองการค้าใบชานี้ตาเป็นมัน!
อังกฤษนิยมดื่มชาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะชาดำหรือที่เรียกกันว่าชาฝรั่ง อังกฤษสั่งซื้อใบชาจากจีนปีๆ หนึ่งเป็นจำนวนเงินมหาศาล ต่อมาอังกฤษก็หาทางออกด้วยการใช้ฝิ่นไปแลกเปลี่ยนกับชาของจีน ทำให้แผ่นดินจีนมีผู้คนติดฝิ่นงอมแงมจนที่สุดก็เกิดสงครามฝิ่นครั้งที่ 1 ขึ้นใน ค.ศ.1842 จีนเป็นฝ่ายแพ้สงครามต้องเซ็นสนธิสัญญานานจิง จ่ายค่าชดเชยให้อังกฤษ เปิดเมืองท่าห้าแห่งและยกฮ่องกงให้อังกฤษเช่า
และในช่วงเวลานี้เอง ที่นักพฤกษศาสตร์โนเนมชาวสก็อตช์นาม โรเบิร์ต ฟอร์จูน Robert Fortune
หรือที่ชาวจีนเรียกขานว่า 福钧 (พ้องเสียงกับนามสกุลฟอร์จูน) ได้รับมอบหมายจากสมาคมเพาะพันธุ์ผักและผลไม้ the Royal Horticultural Society (RHS) กรุงลอนดอน ให้ไปรวบรวมพันธุ์พืชจากเมืองจีน
การไปครั้งนี้ ความตั้งใจอย่างหนึ่งของฟอร์จูนคือไปเสาะแสวงหาต้นของชาดำที่ชาวอังกฤษนิยมดื่ม แต่เมื่อไปถึงแหล่งปลูกชา เขากลับค้นพบว่า ที่แท้แล้ว ชาดำ กับ ชาเขียว นั้นก็มาจากชาต้นเดียวกัน เพียงแค่แตกต่างด้วยกรรมวิธีในการผลิตใบชา
เมื่อฟอร์จูนกลับไปที่อังกฤษแล้ว เขาได้ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง Three Years’ Wanderings in the Northern Provinces of China Including A Visit to the Tea, Silk, and Cotton Countries ขึ้นใน ค.ศ. 1847 และเพราะหนังสือเล่มนี้เองที่ทำให้ฟอร์จูนได้รับการว่าจ้างจากบริษัทอีสต์อินเดียให้กลับไปที่เมืองจีนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ภารกิจของเขาเป็นความลับสุดยอด!
สิ่งที่เขาต้องทำคือ “ขโมยเมล็ดพันธุ์ ต้นอ่อน และเทคโนโลยีการผลิตชามาจากจีนเพื่อนำมาปลูกและผลิตในดาร์จีลิง อินเดีย” เพราะบริษัท อีสต์อินเดียต้องการแย่งชิงการค้าใบชามาจากจีน บริษัทฯ ลงทุนว่าจ้างฟอร์จูนด้วยเงิน 500 ปอนด์ต่อปีเพื่อการจารชนปล้นชิงครั้งนี้
วันที่ 20 เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1848 ตรงกับปีที่ 28 ในรัชสมัยเต้ากวงฮ่องเต้ โรเบิร์ต ฟอร์จูน ลงเรือทีท่าเรือเซาธ์แธมป์ตันมุ่งหน้าสู่ฮ่องกง แล้วเตรียมตัวเข้าสู่แผ่นดินใหญ่ ในการเดินทางครั้งนี้ ฟอร์จูนต้องโกนหัว ติดผมเปียปลอม สวมใส่เสื้อผ้าแบบชาวจีนแล้วอ้างตนเป็นพ่อค้ามาจากนอกด่าน เขาว่าจ้างผู้ติดตามชาวจีนอีกสองคนร่วมเดินทางไปด้วย
ทั้งหมดไปตั้งต้นที่เมืองเซี่ยงไฮ้ แล้วเดินทางผ่านหังโจว เข้าไปสู่แหล่งปลูกชาในเจ้อเจียง อันฮุย ข้ามน้ำข้ามเขาเดินทางลึกเข้าไปเรื่อยๆ โดยที่ถ้าถูกจับได้ก็ต้องตายสถานเดียว เขาค่อยๆ เก็บรวมเมล็ดและต้นอ่อน รวมทั้งเข้าชมเทคนิคการผลิตใบชาจากโรงงานผลิตใบชาเก่าแก่อย่างละเอียดลออ ที่สุดนายโรเบิร์ต ฟอร์จูนผู้นี้ก็สามารถลักลอบนำต้นอ่อนของชาจำนวนกว่า 13,000 ต้น และเมล็ดพันธุ์ชาอีกนับหมื่นที่เป็นสิ่งหวงห้ามออกจากจีนไปสู่ดาร์จีลิง ประเทศอินเดียได้สำเร็จ เขายังว่าจ้างชาวจีนที่เชี่ยวชาญการผลิตชาออกไปทำงานประจำที่ดาร์จีลิงอีกด้วย
จากภารกิจลับของโรเบิร์ต ฟอร์จูนครั้งนี้ ทำให้อังกฤษสามารถผลิตชาได้เอง ไม่ต้องเสียดุลการค้าให้กับจีนอีกต่อไป
โลกมองโรเบิร์ต ฟอร์จูน เป็นโจร เป็นจารชน แต่สำหรับตัวโรเบิร์ต ฟอร์จูนเอง เขากลับมองว่า ชาไม่ใช่ของชาวจีน แต่เป็นสมบัติของชาวโลก การที่เขาขโมยชาออกมาจากจีน ถือเป็นการทำให้การผลิตชาไม่ถูกผูกขาดและเมื่อการผลิตชามาอยู่ในมือประเทศที่เจริญแล้วอย่างอังกฤษ ย่อมจะทำให้มีการพัฒนากระบวนการผลิตใบชาให้ดีมากขึ้นได้
วันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1880 โรเบิร์ต ฟอร์จูน จารชนปล้นชาก็เสียชีวิตลงที่ลอนดอน ปิดฉากชีวิตคนที่ปล้นชาออกมาจากแดนมังกร
เครดิต: คุณสมชาย จิว
ขอบคุณที่มา: http://www.teeyaipakin.com/2018/04/29/จารชนปล้นชา-สมบัติล้ำค่/