สมเด็จพระราชินีนาถเบสต์ เคมิกิสา พระพันปีหลวงแห่งราชอาณาจักรโตโรของประเทศอูกานดา ทรงขุดดินเป็นปฐมฤกษ์ ณ
สำนักสงฆ์แห่งอูกานดา เพื่อก่อตั้งวิทยาลัยพุทธนานาชาติแห่งใหม่ขึ้นบนอนุทวีปแอฟริกา ภายใต้การนำของพระธรรมรักขิต หรือสตีเว่น คาบอคโกซา (Steven Kaboggoza) ชาวอูกานดา ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของทวีปแอฟริกา
ชื่อเสียงของพระพุทธรักขิตะชาวยูกันดา ซึ่งเป็นพระสงฆ์เถรวาทรูปแรกที่นำพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ในทวีปแอฟริกา เป็นที่ทราบของชาวไทยพุทธบ้างในระดับหนึ่ง และที่ทราบมากขึ้นเมื่อได้ออกหนังสือเกี่ยวกับอัตชีวประวัติเรื่อง "บัวบานที่ยูกันดา" ที่เขียนคำนิยมโดยพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือพระว. วชิรเมธี พระนักเทศน์นักเขียนชื่อดังแห่งศูนย์วิปัสสนาไร่เชิญตะวัน จ.เชียงราย
ด้วยชื่อเสียงดังกล่าวพระพุทธรักขิตะจึงได้รับเชิญไปบรรยายในเวทีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและและสันติภาพอยู่เป็นระยะๆ
รวมถึงล่าสุดได้รับนิมนต์ไปบรรยายเสนอบทความในการประชุมนานาชาติ ณ เมืองมัณฑเลย์ ประเทศเมียนมาร์ ในหัวข้อ "The World Peace Buddhist
Conference" หรือ "พระพุทธศาสนากับสันติภาพโลก" ที่สถาบันวิชาการสีตะกู ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๖ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๙ ที่ผ่านมา ภายใต้การนำของพระสยาดอจี อชิน ญาณิสสระ อธิการบดี ซึ่งมีนักสันติภาพจากหลากหลายศาสนาทั่วโลกกว่า ๑,๐๐๐ รูป/คน ได้เข้าร่วมและเสนอบทความ รวมถึงพระพรหมบัณฑิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) ได้เดินทางไปปาฐกถาพิเศษ
และพระมหาหรรษา ธัมมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดี มจร ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษาปริญญาโทและปริญญาเอก
ได้นำคณาจารย์และนิสิตปริญญาโท สาขาสันติศึกษา มจร เข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเป็นผู้นำเสนอประสบการณ์จากทำงานด้านสันติภาพในประเด็น
"หมู่บ้านสันติภาพ" ต่อที่ประชุมด้วย
จากเวทีสันติภาพที่ประเทศเมียนมาร์นั่นเองพระมหาหรรษาจึงได้นิมนต์พระพุทธรักขิตะเดินทางมาประเทศไทย เป็นวิทยากรพิเศษบรรยายประสบการณ์การสร้างสันติภาพเรื่อง "ถอดบทเรียนการสร้างสันติภาพในทวีปแอฟริกาใต้ : กรณีศึกษา ประเทศยูกันดา"
ให้แก่นิสิตปริญญาโท สาขาสันติศึกษา มจร และบุคคลทั่วไปที่สนใจเข้ารับฟังที่ห้องสันติศึกษา อาคารเรียนรวม มจร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ในวันเสาร์ที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๙
พระพุทธรักขิตะได้ระบุว่า ได้เดินทางมาบรรยายที่ มจร ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๒ โดยขอนำเสนอวีดีโอสั้นๆเป็นเรื่องราวเมล็ดพันธุ์แห่งธรรมะ
ซึ่งสันติภาพนั้นมี ๓ ระดับ คือ ๑ สันติภาพทั่วไป ๒. สันติภาพภาวนา และ ๓ .ผลจากการปฏิบัติ ซึ่งสันติภาพนั้นแบ่งออก ๒ แบบ คือ
สันติภายในและสันติภายนอก ปัจจุบันนี้สร้างได้เพียงสันติภาพภายนอกจึงจำเป็นต้องพัฒนาให้ถึงสันติภาพภายในโดยผ่านการปฏิบัติภาวนา
ซึ่งแนวทางการพัฒนาเพื่อไปสู่สันติภาพมี ๓ ระดับคือ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ
"คำว่าสันติภาพในมุมมองของผม คือ อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ถึงแม้เราจะไม่มีสงครามแล้ว แต่ความรู้สึกเกี่ยวกับสงครามยังมีอยู่
เพราะเราเคยเป็นเหยื่อของสงคราม ซึ่งที่ประเทศยูกันดามีพระสันติภาพเหมือนประเทศไทยมีพระเเก้วมรกต
โดยอาตมาเป็นพระรูปแรกที่ไปสร้างวัดที่ประเทศยูกันดาซึ่งก็เป็นสิ่งแปลกเพราะเป็นสิ่งที่ชาวยูกันดาไม่เคยรู้จักมาก่อน"
พระพุทธรักขิตะกล่าวและว่า
คำถามก็คือจะใช้อะไรในการไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา คำตอบก็คือว่า ใช้ความเมตตา กรุณา ทำให้ชาวบ้านเห็น เช่น ให้ทาน แจกอาหาร ด้วยการแบ่งปัน
โดยเอาธรรมไปทำ ที่ประเทศยูกันดาขาดแคลนน้ำจึงช่วยเรื่องน้ำให้ทานเรื่องน้ำสะอาดให้กับชาวยูกันดา
ซึ่งใช้วิธีการสงเคราะห์หรือสังคหธุระ และที่ยูกันดามีปัญหาด้านการศึกษาจึงเริ่มด้วยการสอนภาษาอังกฤษ
ปลูกฝังการศึกษาและสอดแทรกธรรมะเข้าไปด้วย
พระพุทธรักขิตะกล่าวด้วยว่า จึงอยากขอความร่วมมือ มจร ในการเปิดโรงเรียนและส่งครูไปช่วย เพราะครูตัวจริงต้องไปสอนในสถานที่เขาไม่รู้ ให้เขารู้ สอนคนไม่รู้ ให้รู้ได้ เพราะการสอนเป็นการเรียนรู้ไปในตัวด้วย เช่นกัน
"เราควรจัดการความขัดแย้งภายในตัวเองก่อน ซึ่งที่ผ่านมาอาตมานับถือมาทุกศาสนาทุกนิกาย
จึงมาค้นหาว่าอะไรคือความต้องการที่แท้จริง จึงมีโอกาสได้ไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ๓ เดือน
จึงค้นพบความต้องการที่แท้จริง ความจริงศาสนาพุทธก็มีหลายนิกายทั้งเถรวาทและมหายาน
แม้แต่การปฏิบัติของเถรวาทในการกำหนดท้องบ้างลมหายใจบ้าง ไม่รู้จะกำหนดที่ไหนกันแน่ เพียงเท่านี้ก็ขัดแย้งในตัวเองแล้ว
จึงทำให้ไปปฏิบัติกรรมฐานที่ประเทศเมียนมาร์เพื่อสร้างสันติภายใน" พระชาวยูกันดา กล่าวและว่า
ถ้าจะแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่าไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แต่ให้เปรียบเทียบกับตนเอง อดีตเราปฏิบัติได้แค่ไหน ตอนนี้เราได้แค่ไหน
เพราะถ้าเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่นก็จะเกิดทิฐิมานะเราต้องมั่นใจและศรัทธาเท่านั้น
มีคำถามว่าทำไมถึงเลือกมาเป็นชาวพุทธและทำไมถึงเลือกเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เหตุเพราะว่าศาสนาอื่นที่ศึกษาไม่สามารถให้คำตอบของชีวิตได้ แต่พระพุทธศาสนาสามารถตอบคำถามของชีวิตได้ ศาสนาพุทธให้คำตอบที่ถูกต้องมากๆแต่ต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานถึงจะได้คำตอบนั้น
พระพุทธรักขิตะกล่าวว่า อาตมาถือว่าเป็นแกะดำในครอบครัว เพราะคนในครอบครัวนับถือศาสนาอื่น แต่อาตมาคนเดียวที่มานับถือศาสนาพุทธ
คนในครอบครัวรับประทานเนื้อแต่อาตมาฉันผักจึงเกิดความขัดแย้งในครอบครัว แม้แต่ลุงผู้ส่งให้ศึกษาอยากให้เป็นนักธุรกิจ
แต่มาวันหนึ่งอาตมานับถือพระพุทธศาสนาและบวชเป็นพระภิกษุจึงทำให้ลุงเกิดความผิดหวังเป็นอย่างมากถือว่ายังขัดแย้งเพราะยังไม่เข้าใจ
แต่ มจร ได้แก้ปัญหาความขัดแย้งได้ดีมากๆ โดยเมื่อเป็นเจ้าภาพจัดงานวิสาขบูชาโลกทำให้ลุงได้ร่วมเดินทางมาด้วยและได้รับพระพุทธรูปจากบุคคลสำคัญของประเทศไทย ทำให้ลุงเกิดการยอมรับเป็นอย่างมาก
สันติภาพจะเกิดต้องมี ๓ ระดับ คือ ความรักต่อกัน ต่อสู้กับตนเอง ร่วมมือกันด้วยความอดทนต่อกัน เพราะความขัดแย้งในชุมชน ซึ่งเราเป็นสัตว์สังคมต้องอยู่ร่วมกัน ที่ประเทศยูกันดาไม่เคยสัมผัสคุ้นเคยกับพระสงฆ์ จึงเกิดความขัดแย้งทางสังคมอย่างหนึ่ง เพราะไม่เคยรู้จักนักบวช
แม้แต่เห็นชุดการแต่งกายก็มองว่าเป็นแฟชั่นสวยงาม คิดว่าเป็นนายแบบ ถามถึงราคาชุดที่ใส่ก็เป็นความขัดแย้งจากความไม่รู้ บางกลุ่มคิดว่า บ้า
วิกลจริต เพราะแต่งกายไม่เหมือนคนอื่น จึงใช้วิธีกำหนดได้ยินหนอๆๆ ไม่เอาไปปรุงแต่ง เป็นสร้างพุทธสันติวิธี กำหนดว่าได้ยินก็ผ่านไป
ได้ยินอะไรก็ปล่อยสักว่าได้ยิน แล้วมันก็ผ่านไปเป็นการสร้างสันติภายใน
พระชาวยูกันดา กล่าวว่า ต่อไปอยากให้พวกเราสร้างสันติภายในด้วยการนั่งสมาธิและแผ่เมตตาและแบ่งปันความขัดแย้งเกี่ยวกับสังคม
การเมือง เราเคยมีความขัดแย้งแบบรุนแรงหรือไม่ แต่เราต้องสามารถให้อภัยคนอื่นได้ ซึ่งไม่ใช่ความอ่อนแออะไรเลยแต่คือความแข็งแกร่งของจิตใจเรา เราต้องฝึกการให้อภัย คนที่จะถูกเยียวยาคนแรกคือตัวเราเอง ซึ่งพุทธศาสนาสอนเรื่องการเผยแผ่เมตตา ความขัดแย้งทางศาสนาก็มีส่วนสำคัญ ซึ่งเราเรียนทฤษฎีเกี่ยวสันติภาพในห้องเรียนแต่พอเราไปเจอความขัดแย้งจริงๆจะท้าทายเรามาก ซึ่งบางอย่างเราต้องมีอุเบกขา พร้อมทั้งเข้าใจเกี่ยวกับโลกธรรมให้มากๆ
ส่วนความขัดแย้งทางการเมือง พระสงฆ์ควรจะมีส่วนร่วมทางการเมืองหรือไม่นั้น ความจริงแล้วพระสงฆ์ไม่ควรไปเล่นการเมือง แต่ควรให้
คำแนะนำชี้แนะเตือนสติมากกว่าลงไปเล่น เหมือนเล่นฟุตบอลต้องมีโค้ช พระเหมือนโค้ชให้ธรรมะ ให้ข้อคิดในการเล่นการเมืองการปกครอง
พระพุทธรักขิตะกล่าวสรุปว่า ทุกความขัดแย้งแม้จะแค่เล็กๆ ย่อมมีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกันและกัน
จึงต้องฝึกปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง การจัดการความขัดแย้งต้องเริ่มต้นจากตัวเราเอง
ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นการสร้างสันติภายใน
อ่านเรื่องของพระพุทธรักขิตะได้ที่ >>
พุทธรักขิตาภิกขุ กับการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในแอฟริกา
https://ppantip.com/topic/31084173
พระพุทธรักขิตะกับองค์ดาไล ลามะ
ที่มา : -www.facebook.com/sunthornu
-รายงานเรื่อง"พระยูกันดาถอดบทเรียนสร้างสันติภาพภายในที่แอฟริกา"
สำราญ สมพงษ์ นิติปริญญาเอกสาขาสันติศึกษา
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร)
-www.banmuang.co.th/news/education/121362
ชาวพุทธในอูกานดา
สมเด็จพระราชินีนาถเบสต์ เคมิกิสา พระพันปีหลวงแห่งราชอาณาจักรโตโรของประเทศอูกานดา ทรงขุดดินเป็นปฐมฤกษ์ ณ
สำนักสงฆ์แห่งอูกานดา เพื่อก่อตั้งวิทยาลัยพุทธนานาชาติแห่งใหม่ขึ้นบนอนุทวีปแอฟริกา ภายใต้การนำของพระธรรมรักขิต หรือสตีเว่น คาบอคโกซา (Steven Kaboggoza) ชาวอูกานดา ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของทวีปแอฟริกา
ชื่อเสียงของพระพุทธรักขิตะชาวยูกันดา ซึ่งเป็นพระสงฆ์เถรวาทรูปแรกที่นำพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ในทวีปแอฟริกา เป็นที่ทราบของชาวไทยพุทธบ้างในระดับหนึ่ง และที่ทราบมากขึ้นเมื่อได้ออกหนังสือเกี่ยวกับอัตชีวประวัติเรื่อง "บัวบานที่ยูกันดา" ที่เขียนคำนิยมโดยพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือพระว. วชิรเมธี พระนักเทศน์นักเขียนชื่อดังแห่งศูนย์วิปัสสนาไร่เชิญตะวัน จ.เชียงราย
ด้วยชื่อเสียงดังกล่าวพระพุทธรักขิตะจึงได้รับเชิญไปบรรยายในเวทีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและและสันติภาพอยู่เป็นระยะๆ
รวมถึงล่าสุดได้รับนิมนต์ไปบรรยายเสนอบทความในการประชุมนานาชาติ ณ เมืองมัณฑเลย์ ประเทศเมียนมาร์ ในหัวข้อ "The World Peace Buddhist
Conference" หรือ "พระพุทธศาสนากับสันติภาพโลก" ที่สถาบันวิชาการสีตะกู ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๖ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๙ ที่ผ่านมา ภายใต้การนำของพระสยาดอจี อชิน ญาณิสสระ อธิการบดี ซึ่งมีนักสันติภาพจากหลากหลายศาสนาทั่วโลกกว่า ๑,๐๐๐ รูป/คน ได้เข้าร่วมและเสนอบทความ รวมถึงพระพรหมบัณฑิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) ได้เดินทางไปปาฐกถาพิเศษ
และพระมหาหรรษา ธัมมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดี มจร ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษาปริญญาโทและปริญญาเอก
ได้นำคณาจารย์และนิสิตปริญญาโท สาขาสันติศึกษา มจร เข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเป็นผู้นำเสนอประสบการณ์จากทำงานด้านสันติภาพในประเด็น
"หมู่บ้านสันติภาพ" ต่อที่ประชุมด้วย
จากเวทีสันติภาพที่ประเทศเมียนมาร์นั่นเองพระมหาหรรษาจึงได้นิมนต์พระพุทธรักขิตะเดินทางมาประเทศไทย เป็นวิทยากรพิเศษบรรยายประสบการณ์การสร้างสันติภาพเรื่อง "ถอดบทเรียนการสร้างสันติภาพในทวีปแอฟริกาใต้ : กรณีศึกษา ประเทศยูกันดา"
ให้แก่นิสิตปริญญาโท สาขาสันติศึกษา มจร และบุคคลทั่วไปที่สนใจเข้ารับฟังที่ห้องสันติศึกษา อาคารเรียนรวม มจร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ในวันเสาร์ที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๙
พระพุทธรักขิตะได้ระบุว่า ได้เดินทางมาบรรยายที่ มจร ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๒ โดยขอนำเสนอวีดีโอสั้นๆเป็นเรื่องราวเมล็ดพันธุ์แห่งธรรมะ
ซึ่งสันติภาพนั้นมี ๓ ระดับ คือ ๑ สันติภาพทั่วไป ๒. สันติภาพภาวนา และ ๓ .ผลจากการปฏิบัติ ซึ่งสันติภาพนั้นแบ่งออก ๒ แบบ คือ
สันติภายในและสันติภายนอก ปัจจุบันนี้สร้างได้เพียงสันติภาพภายนอกจึงจำเป็นต้องพัฒนาให้ถึงสันติภาพภายในโดยผ่านการปฏิบัติภาวนา
ซึ่งแนวทางการพัฒนาเพื่อไปสู่สันติภาพมี ๓ ระดับคือ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ
"คำว่าสันติภาพในมุมมองของผม คือ อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ถึงแม้เราจะไม่มีสงครามแล้ว แต่ความรู้สึกเกี่ยวกับสงครามยังมีอยู่
เพราะเราเคยเป็นเหยื่อของสงคราม ซึ่งที่ประเทศยูกันดามีพระสันติภาพเหมือนประเทศไทยมีพระเเก้วมรกต
โดยอาตมาเป็นพระรูปแรกที่ไปสร้างวัดที่ประเทศยูกันดาซึ่งก็เป็นสิ่งแปลกเพราะเป็นสิ่งที่ชาวยูกันดาไม่เคยรู้จักมาก่อน"
พระพุทธรักขิตะกล่าวและว่า
คำถามก็คือจะใช้อะไรในการไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา คำตอบก็คือว่า ใช้ความเมตตา กรุณา ทำให้ชาวบ้านเห็น เช่น ให้ทาน แจกอาหาร ด้วยการแบ่งปัน
โดยเอาธรรมไปทำ ที่ประเทศยูกันดาขาดแคลนน้ำจึงช่วยเรื่องน้ำให้ทานเรื่องน้ำสะอาดให้กับชาวยูกันดา
ซึ่งใช้วิธีการสงเคราะห์หรือสังคหธุระ และที่ยูกันดามีปัญหาด้านการศึกษาจึงเริ่มด้วยการสอนภาษาอังกฤษ
ปลูกฝังการศึกษาและสอดแทรกธรรมะเข้าไปด้วย
พระพุทธรักขิตะกล่าวด้วยว่า จึงอยากขอความร่วมมือ มจร ในการเปิดโรงเรียนและส่งครูไปช่วย เพราะครูตัวจริงต้องไปสอนในสถานที่เขาไม่รู้ ให้เขารู้ สอนคนไม่รู้ ให้รู้ได้ เพราะการสอนเป็นการเรียนรู้ไปในตัวด้วย เช่นกัน
"เราควรจัดการความขัดแย้งภายในตัวเองก่อน ซึ่งที่ผ่านมาอาตมานับถือมาทุกศาสนาทุกนิกาย
จึงมาค้นหาว่าอะไรคือความต้องการที่แท้จริง จึงมีโอกาสได้ไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ๓ เดือน
จึงค้นพบความต้องการที่แท้จริง ความจริงศาสนาพุทธก็มีหลายนิกายทั้งเถรวาทและมหายาน
แม้แต่การปฏิบัติของเถรวาทในการกำหนดท้องบ้างลมหายใจบ้าง ไม่รู้จะกำหนดที่ไหนกันแน่ เพียงเท่านี้ก็ขัดแย้งในตัวเองแล้ว
จึงทำให้ไปปฏิบัติกรรมฐานที่ประเทศเมียนมาร์เพื่อสร้างสันติภายใน" พระชาวยูกันดา กล่าวและว่า
ถ้าจะแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่าไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แต่ให้เปรียบเทียบกับตนเอง อดีตเราปฏิบัติได้แค่ไหน ตอนนี้เราได้แค่ไหน
เพราะถ้าเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่นก็จะเกิดทิฐิมานะเราต้องมั่นใจและศรัทธาเท่านั้น
มีคำถามว่าทำไมถึงเลือกมาเป็นชาวพุทธและทำไมถึงเลือกเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เหตุเพราะว่าศาสนาอื่นที่ศึกษาไม่สามารถให้คำตอบของชีวิตได้ แต่พระพุทธศาสนาสามารถตอบคำถามของชีวิตได้ ศาสนาพุทธให้คำตอบที่ถูกต้องมากๆแต่ต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานถึงจะได้คำตอบนั้น
พระพุทธรักขิตะกล่าวว่า อาตมาถือว่าเป็นแกะดำในครอบครัว เพราะคนในครอบครัวนับถือศาสนาอื่น แต่อาตมาคนเดียวที่มานับถือศาสนาพุทธ
คนในครอบครัวรับประทานเนื้อแต่อาตมาฉันผักจึงเกิดความขัดแย้งในครอบครัว แม้แต่ลุงผู้ส่งให้ศึกษาอยากให้เป็นนักธุรกิจ
แต่มาวันหนึ่งอาตมานับถือพระพุทธศาสนาและบวชเป็นพระภิกษุจึงทำให้ลุงเกิดความผิดหวังเป็นอย่างมากถือว่ายังขัดแย้งเพราะยังไม่เข้าใจ
แต่ มจร ได้แก้ปัญหาความขัดแย้งได้ดีมากๆ โดยเมื่อเป็นเจ้าภาพจัดงานวิสาขบูชาโลกทำให้ลุงได้ร่วมเดินทางมาด้วยและได้รับพระพุทธรูปจากบุคคลสำคัญของประเทศไทย ทำให้ลุงเกิดการยอมรับเป็นอย่างมาก
สันติภาพจะเกิดต้องมี ๓ ระดับ คือ ความรักต่อกัน ต่อสู้กับตนเอง ร่วมมือกันด้วยความอดทนต่อกัน เพราะความขัดแย้งในชุมชน ซึ่งเราเป็นสัตว์สังคมต้องอยู่ร่วมกัน ที่ประเทศยูกันดาไม่เคยสัมผัสคุ้นเคยกับพระสงฆ์ จึงเกิดความขัดแย้งทางสังคมอย่างหนึ่ง เพราะไม่เคยรู้จักนักบวช
แม้แต่เห็นชุดการแต่งกายก็มองว่าเป็นแฟชั่นสวยงาม คิดว่าเป็นนายแบบ ถามถึงราคาชุดที่ใส่ก็เป็นความขัดแย้งจากความไม่รู้ บางกลุ่มคิดว่า บ้า
วิกลจริต เพราะแต่งกายไม่เหมือนคนอื่น จึงใช้วิธีกำหนดได้ยินหนอๆๆ ไม่เอาไปปรุงแต่ง เป็นสร้างพุทธสันติวิธี กำหนดว่าได้ยินก็ผ่านไป
ได้ยินอะไรก็ปล่อยสักว่าได้ยิน แล้วมันก็ผ่านไปเป็นการสร้างสันติภายใน
พระชาวยูกันดา กล่าวว่า ต่อไปอยากให้พวกเราสร้างสันติภายในด้วยการนั่งสมาธิและแผ่เมตตาและแบ่งปันความขัดแย้งเกี่ยวกับสังคม
การเมือง เราเคยมีความขัดแย้งแบบรุนแรงหรือไม่ แต่เราต้องสามารถให้อภัยคนอื่นได้ ซึ่งไม่ใช่ความอ่อนแออะไรเลยแต่คือความแข็งแกร่งของจิตใจเรา เราต้องฝึกการให้อภัย คนที่จะถูกเยียวยาคนแรกคือตัวเราเอง ซึ่งพุทธศาสนาสอนเรื่องการเผยแผ่เมตตา ความขัดแย้งทางศาสนาก็มีส่วนสำคัญ ซึ่งเราเรียนทฤษฎีเกี่ยวสันติภาพในห้องเรียนแต่พอเราไปเจอความขัดแย้งจริงๆจะท้าทายเรามาก ซึ่งบางอย่างเราต้องมีอุเบกขา พร้อมทั้งเข้าใจเกี่ยวกับโลกธรรมให้มากๆ
ส่วนความขัดแย้งทางการเมือง พระสงฆ์ควรจะมีส่วนร่วมทางการเมืองหรือไม่นั้น ความจริงแล้วพระสงฆ์ไม่ควรไปเล่นการเมือง แต่ควรให้
คำแนะนำชี้แนะเตือนสติมากกว่าลงไปเล่น เหมือนเล่นฟุตบอลต้องมีโค้ช พระเหมือนโค้ชให้ธรรมะ ให้ข้อคิดในการเล่นการเมืองการปกครอง
พระพุทธรักขิตะกล่าวสรุปว่า ทุกความขัดแย้งแม้จะแค่เล็กๆ ย่อมมีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกันและกัน
จึงต้องฝึกปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง การจัดการความขัดแย้งต้องเริ่มต้นจากตัวเราเอง
ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นการสร้างสันติภายใน
อ่านเรื่องของพระพุทธรักขิตะได้ที่ >>
พุทธรักขิตาภิกขุ กับการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในแอฟริกา
https://ppantip.com/topic/31084173
พระพุทธรักขิตะกับองค์ดาไล ลามะ
ที่มา : -www.facebook.com/sunthornu
-รายงานเรื่อง"พระยูกันดาถอดบทเรียนสร้างสันติภาพภายในที่แอฟริกา"
สำราญ สมพงษ์ นิติปริญญาเอกสาขาสันติศึกษา
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร)
-www.banmuang.co.th/news/education/121362