โครงการลับ “The subterranean” เจาะทะลุแกนโลก

                                                                      

อดีตเจ้าแห่งเทคโนโลยีที่แข่งกับอเมริกาอย่างสูสีก่อนจะพ่ายแพ้ไปในศึกแข่งกันไปดวงจันทร์อย่าง สหภาพโซเวียตจนประเทศต้องล่มสลายแตกกระสานซ่านเซ็น  ถ้าให้จินตนาการว่าโซเวียตเป็นคน ก็คงเป็นเหมือนกับนักธุรกิจที่สรรหาอะไรมาทำมาขายอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่หยุดพัก แต่โชคร้ายทำซัก 100 อย่างพี่แกเจ๊งไป 70 อย่าง แต่เอาน่ะ ชีวิตคนเรามันต้องสู้!!!!!

จะพาทุกท่านไปพบกับโปรเจ็คต์ลับ ที่ครั้งหนึ่งสหภาพโซเวียตเคยวางแผนที่จะเจาะลงไปใต้พื้นโลกด้วย “พาหนะ” มันจะดูพิลึกพิลั่นแค่ไหน เชิญทุกท่านขึ้นยานแล้วเจาะลงไปพร้อมๆ กัน



                                                                     “The subterranean” เจาะทะลุแกนโลก
โครงการนี้เกิดขึ้นในปี 1934 จากวิศวกรในเยอรมันที่คิดจะสร้างยานพาหนะที่สามารถจะไปได้ในทุกสภาพเส้นทางทั้งบนถนน ลงน้ำและในใต้ดินความลึกกว่า 100 เมตร แต่โปรเจ็คต์นี้ต้องหยุดชะงักเมื่อเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ 2

หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดและสหภาพโซเวียตเป็นประเทศที่ยาตราทัพเข้าพิชิตเบอร์ลินเอกสารการค้นคว้าทั้งหมดเกี่ยวกับโปรเจ็คต์นี้ก็ตกอยู่ในมือของโซเวียต มีการระดมนักวิทยาศาตร์เพื่อมาค้นคว้าต่อจนได้เครื่องต้นแบบ

ภายจะแบ่งภายในออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกคือห้องพลังงานซึ่งใช้พลังงานนิวเคลียร์ ส่วนที่ 2 คือห้องบังคับการและส่วนที่สามคือห้องพักสำหรับลูกเรือ ตัวเครื่องถูกหุ้มด้วยไทเทเนี่ยม มีความกว้าง 3.8 เมตร และยาว 33 เมตร สามารถบรรทุกลูกเรือได้ 15 คน

แต่อนิจจา เมื่อนำยานต้นแบบออกมาทดลองจริงๆ เพียงไม่ถึง 5 นาที ขณะทำกำลังเจาะผ่านเทือกเขาอูราล ตัวยานระเบิดขึ้นคาอุโมงค์ที่เจาะ ลูกเรือทั้ง 15 คนก็ระเบิดไปพร้อมกับยานด้วยเช่นกัน ตัวเลขความเสียหายไม่ปรากฏ แต่รู้แค่ว่าพอเกิดเหตุระเบิดมา โครงการถูกยกเลิกทันที

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งโปรเจ็คต์ของสหภาพโซเวียตที่ถูกเปิดเผยออกมาให้พวกเราที่เป็นคนอ่านได้ทึ่งไปกับความยิ่งใหญ่และความขยันที่จะพัฒนาโน่นนี่ออกมา แม้จะมีแบบที่ยกเลิกไปเยอะก็ตาม
ที่มา : englishrussia.com
Cr.spokedark.tv

อีกหนึ่งโครงการ เจาะใจกลางโลกเพื่อค้นหาดินแดนใต้พิภพ โครงการสุดเพี้ยน ที่เกือบเกิดขึ้นจริงในปี 1820

ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน ภาพยนตร์เรื่อง Journey to the Center of the Earth หรือชื่อภาษาไทยคือ “ดิ่งทะลุสะดือโลก” เป็นหนังที่อิงมาจากนวนิยายคลาสสิคชื่อเดียวกันของ ฌูล แวร์น ว่าด้วยเรื่องราวของนักสำรวจที่ได้ค้นพบว่าใต้เปลือกโลกนั้นยังมีอีกดินแดนนึงซ่อนอยู่ ซึ่งในปัจจุบันสำหรับพวกเราก็คิดเหมือนกันว่ามันเป็นแค่เรื่องแต่ง เป็นเพียงนิยายแฟนตาซีเพ้อฝันเท่านั้น ทว่าไม่ใช่สำหรับบางคนที่มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 18

ช่วงปี ค.ศ.1820  จอห์น คลีฟส์ ซิมเมส์ (John Cleves Symmes) นายทหารชาวอเมริกันเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อเผยแพร่ “ทฤษฎีโลกกลวง” ซึ่งว่าด้วยเรื่องของความเป็นไปได้ที่ใต้แผ่นเปลือกโลกนั้นมีพื้นที่ว่างขนาดมหาศาลอยู่ นายซิมเมส์เชื่อว่ามีโลกอีกใบอยู่ใต้แผ่นเปลือกโลก จินตนาการถึงลูกปิงปองที่อยู่ในลูกโป่งอีกที เขาคิดว่าขั่วโลกนั้นคือทางเชื่อมเข้าออกของทั้งสองโลกนี้

ตามที่ระบุไว้ในเอกสารขออณุมัติโครงการสำรวจดังกล่าว เขาขอผู้กล้าจำนวนหนึ่งร้อยคน พร้อมอุปกรณ์และอาวุธเพื่อทำการเดินทางไปสำรวจโดยใช้กวางเรนเดียร์ลากเลื่อนไปยังขั่วโลกเหนือ เพื่อค้นหาทางเข้าไปยังโลกใต้พิภพ โดยเขาเชื่อว่าจะมีมนุษย์เผ่าพันธ์อื่นอาศัยอยู่ใต้โลกด้วย รวทั้งการค้าขายแลกเปลี่ยนกับมนุษย์ใต้โลกเองก็เป็นหนึ่งในแผนการที่วางเอาไว้ด้วย

ถึงแม้ทฤษฎีของเขาจะไม่ได้รับการยอมรับ และถูกหัวเราะเยาะ แต่ภายหลังซิมเมส์ก็ทำการล๊อบบี้สภาเพื่อให้ทุนสำรวจกับเขา จนในที่สุด จอห์น ควินซี อดัมส์ (john quincy adams) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในตอนนั้นก็ตอบตกลง อณุมัติโครงการนี้

แต่ในท้ายที่สุดการตอบตกลงครั้งนี้ก็ทำให้อดัมส์ถูกฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองโจมตี และหมดวาระดำรงตำแหน่งไปก่อนที่โครงการจะทันได้เริ่มขึ้น รวมทั้ง แอนดรูว์ แจ็คสัน (Andrew Jackson) ที่ขึ้นเป็นประธานาธิปดีต่อก็สั่งยุติโครงการทันที โครงการสำรวจโลกใต้พิภพจึงไม่เคยได้มีโอกาสเกิดขึ้นจริงเลยจนถึงปัจจุบันและคงจะไม่มีอีกตลอดไป


Fact – โครงสร้างของโลกถูกแบ่งเป็นสามส่วนใหญ่คือ เปลือกโลก เนื้อโลก และแก่นโลก โดยที่แก่นโลกเองก็จะถูกแบ่งเป็นสองชั้นคือแก่นโลกชั้นนอก มีส่วนประกอบเป็นโลหะหลอมเหลวจำพวกเหล็ก มีอุณหภูมิ 4,300–6,200 องศาเซลเซียส และแก่นโลกชั้นในมีส่วนประกอบเหมือนกับชั้นนอก แต่อยู่ในสถานะของแข็ง มีอุณหภูมิ 6,200–6,400 องศาเซลเซียส
Cr..flagfrog.com

นักวิทย์ลงทุน 3 หมื่นล้าน เจาะสำรวจใจกลางโลก พื้นที่ที่มนุษย์ไม่เคยเข้าถึงมาก่อน

ที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกา รัสเซีย อินเดีย และจีน รวมทั้งอีกหลายประเทศที่มีเทคโนโลยีระดับสูงและเงินทุนเพียงพอได้ส่งยานอวกาศ ดาวเทียม แท้กระทั่งกล้องโทรทรรศน์อวกาศขึ้นไปโคจรนอกโลก เพื่อถ่ายทอดภาพ หรือ ข้อมูลดาวดวงอื่นกลับมาให้นักดาราศาสตร์ และ นักวิทยาศาสตร์แขนงอื่นได้วิเคราะห์วิจัยสภาพของดาวดวงอื่น

แต่มนุษย์กลับรู้จักโลกดวงนี้ น้อยกว่าดวงจันทร์หรือดาวอังคาร ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์มีโอกาสสำรวจพื้นที่โลกใต้สมุทรเพียงไม่เกิน 10% ของพื้นที่ใต้ท้องทะเลทั่วโลก และยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์ยังรู้จักกับสภาพที่แท้จริงใต้พื้นผิวโลกน้อยกว่านั้นมาก ความรู้ที่ใช้ในการพยากรณ์แผ่นดินไหว หรือ การเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก หรือ การสำรวจแหล่งแร่นั้น ก็อาศัยทฤษฎีและหลักสถิติในการประเมินและพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเท่านั้น
ในทฤษฎีภูมิศาสตร์โลกระบุว่า ลักษณะทางกายภาพของโลกแบ่งออกเป็น 3 ชั้น ประกอบไปด้วย ชั้นเปลือกโลก ชั้นแมนเทิล และแกนโลก ว่ากันว่าความลึกลับนี้ได้ซ่อนความจริงเกี่ยวกับกระบวนการกำเนิดโลกไว้อยู่ข้างใต้นั้น

เมื่อปีที่แล้วทีมนักวิทยาศาสตร์จากประเทศญี่ปุ่น(JAMSTEC) ได้ออกมาประกาศว่าจะทำการเจาะเปลือกโลกให้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ให้ได้ แม้มนุษย์จะพยายามศึกษาความลับของเปลือกโลกมานานกว่า 50 ปี แต่ก็ยังไม่สามารถเจาะผ่านเปลือกโลกได้สำเร็จ ซึ่งความพยายามครั้งล่าสุดสามารถทำได้ราว 700 เมตร เท่านั้น

นักวิทยาศาสตร์ต้องหาจุดที่ชั้นเปลือกโลกมีความบางมากที่สุด และได้พบกับจุดหมายแล้วในมหาสมุทรแปซิฟิก ดังนั้นการเจาะจึงต้องอาศัยเรือขุดเจาะและท่อขุดเจาะที่มีความแข็งแรงเป็นพิเศษสามารถรองรับแรงกดดันมหาศาลในบริเวณที่ต้องการสำรวจได้

เครื่องมือที่ใช้ในภารกิจขุดเจาะก็คือ “เรือขุดเจาะ Chikyu” เป็นเรือขุดเจาะและสำรวจทางวิทยาศาสตร์ของญี่ปุ่นที่ถูกออกแบบมาเพื่อขุดเจาะก้นมหาสมุทรโดยเฉพาะ นักวิจัยได้วางแผนทำการเจาะลึกลงไปยังใต้ผิวมหาสมุทรประมาณ 4 กิโลเมตร จากนั้นจะเจาะผ่านเปลือกโลกลงไปอีกประมาณ 5.9 กิโลเมตร เพื่อเก็บตัวอย่างจาก “เนื้อโลก” หรือ Mantle มาทำการศึกษา

แล้วพวกเขาเจาะไปเพื่ออะไร?

– เก็บตัวอย่างหินหนืดในชั้นแมนเทิล
– คาดเดาแผ่นดินไหวในอนาคต
– ค้นหาตำตอบเกี่ยวกับกำเนิดโลก
– เพื่อทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิศาสตร์ และ สภาวะอากาศโลกมากขึ้น
– ศึกษาการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกของทวีปต่างๆ

อย่างไรก็ตาม โครงการที่ทะเยอทะยานสุดแสนนี้จะต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล ราว 60 พันล้านเยน (ประมาณ $540 ล้านเหรียญ) เหล่านักวิทยาศาสตร์จึงต้องระดมเงินทุนจากรัฐบาลประเทศต่างๆ มาสนับสนุน นักวิจัยเชื่อว่าภายในปี 2030 จะสามารถเริ่มการขุดเจาะได้อย่างเป็นทางการ ซึ่งมีพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการขุดอีกสองแห่งคือ นอกชายฝั่งของเม็กซิโก และบริเวณใกล้ๆ กับประเทศคอสตาริกา

ที่มา – digitaltrends , cnn
Cr.flagfrog.com
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่