เมื่อเราเป็นโรคซึมเศร้า และ BTS บอกให้เรารักตัวเอง

สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นเลยขอบอกก่อนว่านี่เป็นกระทู้แรกที่เราเขียนเพราะอยากที่จะบอกเล่าประสบการณ์การเป็นโรคซึมเศร้าของเราที่ตอนนี้รักษาหายแล้ว แม้จะยังหายไม่100%ก็ตาม และอยากจะส่งต่อความรู้สึกดีๆให้ใครอีกหลายๆคนที่อาจจะผ่านมาเห็นกระทู้นี้ค่ะ

เรื่องที่เราจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเราเอง อาจจะยาวนิดหน่อย แต่จะแบ่งเป็นพาร์ทเพื่อจะได้เข้าใจง่ายๆนะคะ

เริ่มจากแนะนำตัวเองก่อนเลยแล้วกัน

ตอนนี้เราอายุ 21 ปีค่ะ กำลังเรียนมหาวิทยาลัย ปีที่3แล้ว โดยเราป่วยเป็นโรคซึมเศร้าตั้งแต่อายุ17 ประมาณตอนม.ปลายนั่นเองโดยสาเหตุของการป่วยนี้เกิดขึ้นจากส่วนตัวเป็นคนคิดมากและโรคส่วนตัวค่อนข้างสูง เป็นช่วงที่เครียดเรื่องเรียนมากๆ มีปัญหากับที่บ้านและเราเจอความสัมพันธ์ที่ไม่ดี เหตุการณ์ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันเลยส่งผลให้เด็กคนนึงที่อายุ17ในตอนนั้นแบกรับมันไว้ไม่ไหว นิสัยเราค่อนข้างเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ไม่ค่อยคิดถึงใจคนอื่นหรือว่าค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเองหน่อยๆซึ่งเรากล้าพูดว่าเกิดจากการเลี้ยงดูจากครอบครัวเป็นหลักค่ะ แต่ไม่ใช่คนที่เก็บตัวจนไม่มีเพื่อนนะคะ เราเพื่อนเยอะมากและนิสัยเฮฮาอยู่ตามประสาเด็กม.ปลาย แต่พอเราเริ่มมีอาการซึมเศร้าทุกอย่างมันก็ค่อยๆเปลี่ยนให้เราเป็นอีกคน

ในช่วงแรกๆนั้นมันไม่ได้ชัดเจนว่า เนี่ย วันนี้ชั้นป่วยแล้ว ชั้นเป็นซึมเศร้า แต่อาการมันค่อยๆเกิดขึ้นทีละนิดจนหลอมให้เรากลายเป็นโรคซึมเศร้าค่ะ จากที่ติดเพื่อน ก็จะชอบอยู่คนเดียว เลิกเรียนก็ยังไม่กลับบ้านแต่จะอยู่ตามห้างนั่งทำการบ้านอ่านหนังสือคนเดียว เสาร์อาทิตย์เพื่อนชวนไปไหนก็ไม่ไป และช่วงนั้นเรามีความสัมพันธ์กับใครคนนึง แต่ไม่ได้เป็นแฟนกัน มันเลยเป็นความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างซับซ้อน และมันก็เป็นอีกจุดนึงที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของเรา

ต่อไปจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับการรักษานะคะ

ในตอนแรก ที่เราตัดสินใจไปหาหมอเพราะตอนนั้นเรารู้สึกโดดเดี่ยวมาก เลยสงสัยว่าตัวเองจะป่วยแน่ๆ เพราะเรานอนฝันร้ายทุกคืน ไม่กิน หูแว่ว รู้สึกหดหู่จนถึงขั้นอยากตาย ย้อนไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน ข้อมูลเรื่องโรคซึมเศร้ามันไม่ได้เข้าถึงทุกคน และคนส่วนใหญ่จะมองว่าโรคนี้คือคนบ้า คนผิดปกติ มันเลยยิ่งกดดันให้เราไม่กล้าบอกใคร เราตัดสินใจไปหาหมอเพราะเรารู้สึกว่าเราต้องการใครสักคนที่รับฟังเรา 

ในช่วงหนึ่งปีแรกที่เราไปหาหมอนั้น หมอไม่ได้ฟันธงเลยนะคะว่าเราเป็นโรคซึมเศร้า เพราะหมอบอกว่า น่าจะเกิดจากความเครียด เพราะช่วงนั้นเราก็อยู่ม.6 ใครอยู่ม.6ผ่านมาแล้วจะเข้าใจดีกว่าเป็นช่วงที่ความเครียดถาโถมมากแถมยังมีแต่เรื่องกดดันเรื่องให้คิดมากมาย หมอรักษาเราด้วยการให้ทานยา อย่างแรกเป็นยาช่วยนอน หรือว่ายานอนหลับนั่นเอง ในช่วงแรกๆมันได้ผลค่ะ แต่พอหลังๆมา มันเริ่มไม่ได้ผล และการพบหมอทุกเดือนก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย หมอจึงจ่ายยาปรับสารเคมีในสมองมาให้เรา โดยยานี้มันจะไปช่วยปรับสมดุลของสารเคมีในสมอง ให้พวกฮอร์โมนเศร้าฮอร์โมนความสุขต่างๆในสมองเรามันทำงานได้ปกติ แต่ผลข้างเคียงของยาที่เราเจอ คือ เรานอนฝันร้ายหนักมากๆ ฝันทุกคืน จนตอนนี้ถึงแม้จะรักษาหายแล้วแต่อาการฝันร้ายหรือนอนแล้วฝันมันยังเกิดขึ้นอยู่ เราไม่สามารถนอนต่อเนื่องได้เลยค่ะ นอนไปแค่สามถึงสี่ชั่วโมงเราก็จะตื่น มีพฤติกรรมการนอนที่ผิดปกติ และพอขึ้นมหาวิทยาลัย คณะที่เราเรียนเป็นคณะที่ค่อนข้างเรียนหนัก ไม่ค่อยได้นอนกันเท่าไหร่ ช่วงปีหนึ่งนี่หนักหน่วงและกระทบกับการนอนสุดๆเลย อาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายปี และผลข้างเคียงอีกอย่างคืออารมณ์เราจะไม่นิ่งในช่วงแรก เหมือนร่างกายมันกำลังปรับเปลี่ยนให้สมดุลกันอยู่ เรารักษาด้วยการกินยาอยู่ประมาณปีกว่าๆ พบคุณหมอเพื่อพูดคุยเดือนละหนึ่งครั้ง บางเดือนอาทิตย์ละครั้ง แล้วแต่ว่าช่วงนั้นอาการเราดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน บางเดือนก็เหมือนจะดีขึ้น แต่พอเจอเรื่องเครียดๆนิดหน่อย อาการมันจะกลับมา หมอเลยวินิจฉัยว่าเราเป็นโรคซึมเศร้าในตอนนั้น

เอาล่ะ ตอนนั้นเรารับรู้แล้วว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า แต่เราก็ยังไม่กล้าบอกใครอยู่ดี เรารักษาไปเรื่อยๆ ในระหว่างนั้น เราเปลี่ยนหมอ 3 คน พบนักจิตวิทยาอีก 5 คน อาการมันก็ยังเหมือนเดิม บางวันดี บางวันเศร้า และมีช่วงนึงที่อาการมันแย่มากจนที่บ้านเริ่มสงสัย ที่ผ่านมาที่เค้าไม่รู้เพราะว่าเราอยู่หอคนเดียว จะกลับบ้านไม่บ่อย และพ่อกับแม่เราแยกทางกัน เวลาครอบครัวเลยไม่มีแบบคนอื่น แต่สิ่งที่ทำให้คุณพ่อเราสงสัยก็เพราะเราไม่ยอมรับโทรศัพท์ เก็บตัวเงียบๆ  เวลาคุยกันเราจะไม่มองหน้าเค้า คนที่บ้านก็เลยหงุดหงิดกับพฤติกรรมของเรามากจนเค้าใช้คำพูดที่แย่ๆกับเรา ในวันนั้นเราตัดสินใจบอกว่า รู้มัยว่าเราป่วย เราเป็นโรคซึมเศร้า และอย่างที่เราเคยบอกค่ะว่าที่บ้านเราขาดข้อมูลเรื่องโรคซึมเศร้า และเค้าเข้าใจว่าคนที่ป่วยเป็นโรคนี้คือคนบ้า เลยเกิดการทะเลาะกันและเราได้รับคำพูดที่แย่มากๆจากทางบ้านเรา คืนนั้นเรากลับมาที่หอ ไม่รับโทรศัพท์จากใคร ไม่ไปเรียนเลยหนึ่งอาทิตย์ ไม่ไปหาหมอ ไม่กินยา นอนซมอยู่ในห้อง ร้องไห้แบบเอาเป็นเอาตาย เอาแต่โทษตัวเอง โทษคนรอบตัว รังเกียจตัวเอง เกลียดคนรอบตัวเรา จนเย็นวันนั้นเราตัดสินใจที่จะฆ่าตัวตาย ในเวลาหลายวันที่เราเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องเราคิดหาวิธีทำร้ายตัวเองตลอดนะคะ แต่เราไม่ใช่คนกล้ามากพอที่จะกระโดดตึกหรือวิ่งไปให้รถชนอะไรแบบนั้น ในความอยากตายนั้นมันยังมีความกลัวและสับสนว่าจะเอายังไงกับชีวิต 

ต่อไปเราจะเล่าว่าแล้วบังทันช่วยชีวิตเราเอาไว้ยังไง

เรารู้จักบังทันตั้งช่วงเดบิวต์แรกๆ ตอนเวทีเจ็ดสีคอนเสิร์ตแหล่ะค่ะ แค่เคยไปดูแต่ไม่ได้ตามแบบจริงจัง แค่ชื่นชอบ ฟังเพลง ซับพอร์ตบ้างก็เท่านั้น แต่ในวันนั้น วันนั้นเราตัดสินใจที่จะทำร้ายตัวเองด้วยการใช้คัตเตอร์กรีดข้อมือค่ะ เพราะตอนนั้นเราคิดว่ามันเป็นวิธีที่วัดดวงที่สุดแล้ว ถ้าเกิดตายก็ตาย แต่ถ้ามันไม่ตายก็ค่อยว่ากันอีกที ตอนนั้นเราเปิดเพลงเอาไว้ค่ะ เพราะคิดว่าไหนๆก็จะตาย ก็ยังอยากฟังเพลงสักเพลง ยูทูปมันแรนดอมเพลงไปเรื่อยๆ และไม่รู้ว่าด้วยความบังเอิญหรืออะไรก็แล้วแต่ มันเหมือนหนังเลย นาทีที่เราใช้คัตเตอร์กรีดลงบนข้อมือ เพลงของบังทันดังขึ้นพอดี นั่นคือเพลง 2! 3! ถ้าใครเป็นอาร์มี่ก็น่าจะเคยฟัง แต่สำหรับใครที่ไม่เคย เพลงนี้มีความหมายที่ปลอบโยนมากๆ  ตอนที่เราทำร้ายตัวเอง เพลงดังขึ้น มีดคัตเตอร์มันกรีดลงบนผิวเราแล้ว ตอนนั้นเราเห็นแล้วว่าเลือดมันซึมออกมา ในตอนที่เพลงเล่นอยู่พอดี ไม่รู้ด้วยความเจ็บหรืออะไร เราหยุดทันทีเลยค่ะ เราทิ้งคัตเตอร์ลงแล้วก็นั่งร้องไห้ไปจนเพลงจบ แล้วถามตัวเองว่า ทำอะไรอยู่ เราคนเดิมหายไปไหน ทำไมเราทำกับตัวเองขนาดนี้ เมื่อก่อนเรามีความสุขแล้วก็รักตัวเองมากกว่านี้ไม่ใช่หรอ พอเพลงจบ สติเราก็กลับมาทันทีเลย ว่าที่ผ่านมา เราผ่านเรื่องทุกๆอย่างมาได้เพราะเพลงของเค้านี่ เวลาเครียดๆเรานั่งทำการบ้านคนเดียวเราก็ฟังเพลงของเค้า  เราเคยชอบเค้ามากๆไม่ใช่หรอ เคยชอบตัวเองตอนที่ดูบังทันไม่ใช่หรอ แต่ทำไมตอนนี้เราทำกับตัวเองแบบนี้ ตอนนั้นเราเชื่อคำพูดที่ใครๆบอกกันเลยว่า ในจุดๆนึงที่คนเราเจ็บปวดจนถึงที่สุดแล้วเราจะหยุดเอง เมื่อคนเราดำดิ่งทางความรู้สึกจนถึงที่สุดเราจะฉุดตัวเองขึ้นมาเอง แต่ของเราแตกต่างออกไปนิดหน่อยตรงที่ คนที่ฉุดเราขึ้นมาไม่ใช่แค่ตัวเราเอง แต่เป็นบังทัน เป็นเพลงของเค้า เรากล้าพูดว่าถ้าวันนั้นเราไม่ได้ยินเพลงของบังทัน ยูทูปไม่สุ่มเพลงนี้ เราอาจจะตายและกระทู้นี้อาจจะไม่ถูกเขียนขึ้นมาเลยก็ได้

พาร์ทต่อมาเราจะเล่าถึงความรู้สึกดีๆที่เกียวข้องกับบังทันนะคะ

และหลังจากที่สติและความรักตัวเองของเรากลับมา เราก็บอกตัวเองว่า เอาล่ะ มาลองกันอีกสักครั้งนึงก็ได้ ถ้าครั้งนี้เธอทำไม่สำเร็จ เธอจะไปกระโดดตึกหรือวิ่งให้รถชนหรือกินยาจนช็อคตายก็เรื่องของเธอเลย เช้าวันต่อมา เราไปหาหมอเลยค่ะ หมอก็ตกใจมากอยู่เพราะแผลที่แขนเรามันค่อนข้างลึก คุณหมอบอกว่าถ้าเรากรีดลึกไปกว่านี้อีกนิดเดียวเราก็ตายไปแล้วนะ แล้วเราเล่าทุกอย่างให้หมอฟัง ว่ามันเกิดอะไรขึ้น อะไรช่วยชีวิตเราไว้ หมอก็เป็นติ่งหมอเลยเข้าใจแล้วหมอก็ถามเราว่า หนูรักเค้าใช่มั้ย เราตอบว่า ใช่ เค้าทำให้หนูมีชีวิตอยู่ต่อ เรานึกถึงตอนไปดูเจ็ดสีคอนเสิร์ตเมื่อหลายปีก่อน ตอนเจอเค้าครั้งแรก ตอนที่มีความสุขเวลาได้ฟังเพลงของเค้า ตอนร้องไห้เวลาที่ปั่นโหวตแล้วแพ้ ตอนเครียดเรื่องคะแนนบนรายการเพลง แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น มันทำให้เรามีความสุขมากๆ และมันคือความสุขเดียวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่รอบตัวมีแต่เรื่องแย่ๆ ในขณะที่แม้แต่เรายังคิดร้ายกับตัวเอง เหมือนสีเหลืองสว่างๆที่ถูกแต้มลงบนผ้าสีดำ และตอนนั้นเราก็เริ่มพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออีกครั้งนึง

หลังจากรอดตายมาได้ เราเริ่มกลับมาติดตามบังทันเหมือนเดิม เวลาเครียดๆดูคลิป ฟังเพลงของเค้าจนกลายเป็นสิ่งที่ต้องทำทุกวันไปแล้ว และการใช้ชีวิตของเรามันก็ดำเนินมาเรื่อยๆ ดีบาง ดิ่งบ้าง เศร้าบ้างบางวัน แต่เราไม่ได้มีความคิดด้านลบที่จะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อบ่อยเท่าเมื่อก่อนแล้ว จนถึงช่วงอัลบั้ม love yourself เป็นช่วงที่เราได้รับเรื่องเครียดๆจากสิ่งรอบตัวเยอะมากๆ และเราใช้เพลงของบังทันในการช่วยให้แต่ละวันผ่านไปได้ บางคนอาจจะคิดว่าการฟังเพลงไม่ช่วยอะไร แต่ music for healing ก็เป็นศาสตร์นึงที่ช่วยบำบัดโรคได้นะ แล้วเราโชคดีที่เราค้นพบว่าสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขคือการฟังเพลง บางคนอาจจะไม่โชคดีแบบเราก็ได้ และพอเราเจอเรื่องแย่ๆ แต่เพลงของบังทันกลับเป็นพลังงานบวกให้เรามากจริงๆ

ทุกๆอย่างมันค่อยๆเปลี่ยนไปทีละนิด เราไม่ได้สังเกตตัวเองแบบแต่ก่อน แต่คนรอบตัวเราเป็นคนบอก คุณหมอบอกว่าหน้าตาสดใสขึ้น คนที่เคยมาจีบบอกว่าเราไม่หน้าหยิ่งแล้วก็เอาแต่ใจตัวเองแบบเมื่อก่อน เพื่อนบอกว่าเรานิสัยเราโตขึ้น นิ่งขึ้น แต่ไม่ได้นิ่งแบบไม่สนใจใคร เราใส่ใจคนรอบตัวเรามากขึ้น มีความสุขกับสิ่งเล็กๆน้อย และเรื่องปัญหาครอบครัวก็ไม่ได้ต่อจิตใจเราแบบเมื่อก่อนแล้ว และเราก็หยุดความสัมพันธ์ซับซ้อนที่เราเคยบอกไปข้างต้นแล้วด้วย หลายๆอย่างมันช่วยผลักดันเราให้เราใช้ชีวิตจนถ้ามองย้อนกลับไปเราผ่านอะไรมามากจริงๆ อาจจะไม่มากเท่าคนอื่น ไม่ได้เจอเรื่องแย่ๆแบบที่คนอื่นเจอ แต่ลิมิตการเผชิญกับปัญหาของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน เราไม่ตัดสินใครจากความคิดของตัวเองฝ่ายเดียวอีกต่อไป บังทันช่วยชีวิตเราเอาไว้ และความรักของเค้ามันช่วยเติมเต็มเด็กผู้หญิงคนนึงที่ต้องการความรักแต่ไม่รู้จักวิธีเรียกร้องหรือใช้มันอย่างถูกต้อง เวลาค่อยๆผ่านไปพร้อมกับเราที่โตขึ้น อาจจะเป็นเพราะเราเกิดปีเดียวกับคุณจองกุก มันเลยทำให้เรารู้สึกว่าบังทันคือเด็กรุ่นๆเเดียวกับเรา เราได้ใช้เวลาช่วงวัยรุ่นไปกับบังทัน เป็นเหมือนเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกัน และเราใช้เพลงของเค้า ความรักของเค้าในการค่อยๆเติบโตขึ้นทีละนิด ความรักของเค้าช่วยหล่อหลอมให้เราเป็นเราในทุกวันนี้

ตอนนี้เราตัดสินใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ

มีคำพูดคำนึงของคุณนัมจุนที่คาดว่าหลายๆคนน่าจะเคยได้ยิน ที่คุณนัมจุนบอกว่า " Please use me , Please use BTS to love yourself "  นั่นเป็นคำพูดที่ทำให้เราตัดสินใจว่า เราจะมีชีวิตอยู่ต่อไป และเราก็สัญญากับตัวเองว่า ต่อไปจากนี้ เราจะรักตัวเอง และเราจะรักเค้า จะมีชีวิตอยู่เพื่อตอบแทนความรักของเค้าและส่งต่อความรักของเค้า บางคนอาจจะคิดว่า ก็ชีวิตตัวเอง ทำไมต้องให้คนอื่นมาบอกว่าต้องทำยังไงหรือทำไมต้องให้คนอื่นมาบอกให้รัก  สิ่งที่เราอยากจะบอกก็คือ ในบางครั้งและกับคนบางคน ที่ขาดซึ่งความรักในตัวเองและจากคนรอบข้างมาตั้งแต่ยังเด็ก มันยากมากเลยนะที่จะมีมุมมองการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง จนบางครั้งก็ต้องมีใครสักคนมาดึงสติเรา และเราโชคดีที่ได้รู้จักบังทัน มีหลายคนไม่โชคดีแบบเรา ไม่ได้เจอเพลงที่ดี  หรือมีมุมมองต่อตัวเองที่ดี

ตอนนี้กระทู้ยาวมากแล้ว ขอต่อด้านล่างนะคะ โดยส่วนของการรักษาโรคซึมเศร้านั้นไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติมนอกจากเราหายป่วยแล้วแต่ยังต้องพบคุณหมอเพื่ออัพเดตอาการบ้างสองสามเดือนครั้ง แต่ที่อยากจะเพิ่มเติมด้านล่างคือพาร์ทที่เราอยากจะบอกอะไรกับคนที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้หรือกำลังพบเจอกับช่วงเวลาที่แย่ๆแบบที่เราเคยเจอค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่