วิจารณ์ศาสนา
ผู้คนในนี้ มาอ่าน เพื่อความรู้ หรือมาวิจารณ์ศาสนาผู้อื่น ด้วยอคติ โดยที่ท่านทั้งหลายอยู่ในหมวดใด
1.อ่านเอาความรู้
2. วิจารณ์ ศาสนา โดย มิมีความรู้
3. วิพากษ์ เพื่อ เอาชนะ ผู้อื่น
4 .เพื่อปกป้องศาสนาตน
5. มีความรู้จริง และ วิพากษ์ ศาสนา โดยบลัฟกัน ทางข้อมูลจริง มิใช่มโนเอาเอง...
ปล . อ่านบางเม้นเหมือนมิได้ใช่ปัญญา ...จึงเกิดคำถามนี้ ขึ้นเนื่องด้วย เม้นบางเม้น ไม่ได้ใช่สมองแล้วยัง ไม่มีความรู้อีกด้วย ..จึงทำให้คนที่อ่านและไม่เข้าใจอาจจะเข้าใจผิดได้ ...
ตอบว่า ให้รับฟังเสมอ สุดแล้วแต่ใครจะเอาไปวิเคราะห์ คุณฟังต้องวิเคราะห์ วิจัย แล้วก็สรุป พิจารณา อย่าไปห้าม ถ้าห้ามจะผิดเจตนาของกลุ่ม เพราะเป็นกลุ่มศาสนาวิจารณ์แต่มาห้ามคนอื่นวิจารณ์
จะต้องเชื่อตามนี้ ใครไม่เชื่อก็จะเป็นปรปักษ์แล้ว อย่างนี้ไม่ได้ ต้องยอมรับหมด ถึงจะชื่อว่าว่า เป็นผู้มีปัญญารับการวิจารณ์
ให้รับหมดทุกข้อมูล แล้วเรามาวิเคราะห์ พิจารณา วิจารณ์เองว่าคืออะไร ว่าจะรับแค่ไหน ยังไง
๑. รับข้อมูล
๒. วิเคราะห์
๓. วิจัย
๔. พิจารณา
๕. สรุป
๖. สรุปแล้วเราจะรับแค่ไหน เช่น รับ ๓๐% ๗๐%
๗. วิเคราะห์ต่อว่าที่เรารับนั้นจริงไหม? ให้ตรวจสอบกับผู้รู้ ถ้าไม่จริงก็ให้เหตุผลกับผู้รู้ ผู้รู้ก็จะให้ข้อมูลมาแก้ไขพัฒนา ฉะนั้น เป็นรูปวงกลม วิธีการคิดเช่นนี้เรียกว่า โยนิโสมนสิการ คือ การคิดพิจารณาตั้งแต่ต้นเหตุไปถึงผล ผลไปถึงเหตุ ให้ครบวงจรตามภาวะจริงแท้แห่งธรรม
วิธีการเช่นนี้แหละจะก่อเกิดปัญญาอย่างแท้จริง
๘. รู้ข้อเท็จจริง
๙. วิจารณ์สิ่งนั้นได้ การวิจารณ์ไม่ใช่ปรปักษ์ วิจารณ์คือความคิดของเรา แต่ต้องยอมรับความคิดของคนอื่น ไม่ใช่เป็นปรปักษ์
ถ้าเป็นปรปักษ์ก็จะบอกว่าของคุณผิด ของฉันถูก เพียงแต่เราเสนอความคิด พอเราวิจารณ์ไปทางนั้นเขาก็จะตอบมา แล้วเราก็มาวิเคราะห์ต่อ ก็จะเหมือนรูปวงกลมไม่มีที่สิ้นสุด เรียกว่า โยนิโสมนสิการ
การวิจารณ์ไม่ใช่คิดว่าตนเองถูกต้อง คนอื่นผิดหมด ข้อมูลเราอาจจะตกหล่นได้ ข้อมูลเขาอาจจะประณีตกว่าก็เป็นได้
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต
วิจารณ์ศาสนา
ผู้คนในนี้ มาอ่าน เพื่อความรู้ หรือมาวิจารณ์ศาสนาผู้อื่น ด้วยอคติ โดยที่ท่านทั้งหลายอยู่ในหมวดใด
1.อ่านเอาความรู้
2. วิจารณ์ ศาสนา โดย มิมีความรู้
3. วิพากษ์ เพื่อ เอาชนะ ผู้อื่น
4 .เพื่อปกป้องศาสนาตน
5. มีความรู้จริง และ วิพากษ์ ศาสนา โดยบลัฟกัน ทางข้อมูลจริง มิใช่มโนเอาเอง...
ปล . อ่านบางเม้นเหมือนมิได้ใช่ปัญญา ...จึงเกิดคำถามนี้ ขึ้นเนื่องด้วย เม้นบางเม้น ไม่ได้ใช่สมองแล้วยัง ไม่มีความรู้อีกด้วย ..จึงทำให้คนที่อ่านและไม่เข้าใจอาจจะเข้าใจผิดได้ ...
ตอบว่า ให้รับฟังเสมอ สุดแล้วแต่ใครจะเอาไปวิเคราะห์ คุณฟังต้องวิเคราะห์ วิจัย แล้วก็สรุป พิจารณา อย่าไปห้าม ถ้าห้ามจะผิดเจตนาของกลุ่ม เพราะเป็นกลุ่มศาสนาวิจารณ์แต่มาห้ามคนอื่นวิจารณ์
จะต้องเชื่อตามนี้ ใครไม่เชื่อก็จะเป็นปรปักษ์แล้ว อย่างนี้ไม่ได้ ต้องยอมรับหมด ถึงจะชื่อว่าว่า เป็นผู้มีปัญญารับการวิจารณ์
ให้รับหมดทุกข้อมูล แล้วเรามาวิเคราะห์ พิจารณา วิจารณ์เองว่าคืออะไร ว่าจะรับแค่ไหน ยังไง
๑. รับข้อมูล
๒. วิเคราะห์
๓. วิจัย
๔. พิจารณา
๕. สรุป
๖. สรุปแล้วเราจะรับแค่ไหน เช่น รับ ๓๐% ๗๐%
๗. วิเคราะห์ต่อว่าที่เรารับนั้นจริงไหม? ให้ตรวจสอบกับผู้รู้ ถ้าไม่จริงก็ให้เหตุผลกับผู้รู้ ผู้รู้ก็จะให้ข้อมูลมาแก้ไขพัฒนา ฉะนั้น เป็นรูปวงกลม วิธีการคิดเช่นนี้เรียกว่า โยนิโสมนสิการ คือ การคิดพิจารณาตั้งแต่ต้นเหตุไปถึงผล ผลไปถึงเหตุ ให้ครบวงจรตามภาวะจริงแท้แห่งธรรม
วิธีการเช่นนี้แหละจะก่อเกิดปัญญาอย่างแท้จริง
๘. รู้ข้อเท็จจริง
๙. วิจารณ์สิ่งนั้นได้ การวิจารณ์ไม่ใช่ปรปักษ์ วิจารณ์คือความคิดของเรา แต่ต้องยอมรับความคิดของคนอื่น ไม่ใช่เป็นปรปักษ์
ถ้าเป็นปรปักษ์ก็จะบอกว่าของคุณผิด ของฉันถูก เพียงแต่เราเสนอความคิด พอเราวิจารณ์ไปทางนั้นเขาก็จะตอบมา แล้วเราก็มาวิเคราะห์ต่อ ก็จะเหมือนรูปวงกลมไม่มีที่สิ้นสุด เรียกว่า โยนิโสมนสิการ
การวิจารณ์ไม่ใช่คิดว่าตนเองถูกต้อง คนอื่นผิดหมด ข้อมูลเราอาจจะตกหล่นได้ ข้อมูลเขาอาจจะประณีตกว่าก็เป็นได้
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต