หัวใจซ่อนรัก บทที่ 7

.

ในวันที่พ่อมาพบครูที่โรงเรียน พ่อของโก้ก็มาเช่นกัน พ่อของโก้แต่งตัวด้วยชุดสูทสีดำ และผูกเน็กไทสีเดียวกับเสื้อเชิ๊ตสีฟ้าอ่อน รองเท้าหนังขัดมันวาบ

เดินเข้ามาในห้องปกครองด้วยท่าทางผึ่งผาย หน้าเชิด หลังตรง และการก้าวเดินมีจังหวะพอเหมาะพอดี ราวกับถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี

พ่อหันไปมองแล้วหัวเราะเบา ๆ กับท่วงท่าการเดินอวดภูมิของพ่อโก้ ส่วนผมรู้สึกว่าเหมือนเคยเห็นท่านที่ไหนสักที่แต่นึกไม่ออก

ครูชนะชัยผายมือเชิญพ่อโก้ให้นั่งเก้าอี้ที่อยู่ติดกับพ่อ ส่วนผมกับโก้ยืนอยู่ด้านหลังพ่อใคร พ่อมัน

"อย่างที่ครูโทร.บอกคุณพ่อเรื่องลูกของคุณพ่อชกต่อยกันในโรงเรียนแล้วนะครับ" ครูชนะชัยเริ่มพูด

"ครูจึงจะแจ้งบทลงโทษของทางโรงเรียนให้คุณพ่อได้ทราบไปพร้อมกันว่า หากสองคนนี้มีเรื่องชกต่อยทะเลาะวิวาท ไม่ว่ากับใคร พวกเขาจะถูกพักการเรียน โดยเฉพาะ นายสุพจน์หากมีเรื่องชกต่อยอีกแค่ครั้งเดียวจะโดนสั่งพักการเรียนทันที"

พ่อของโก้พยักหน้าเป็นการเข้าใจ ยกมือขึ้นกอดอกโดยไม่พูดอะไร ใบหน้าตั้งเชิดมองครูชนะชัย ผิดกับโก้ที่ดูร้อนรนกับความนิ่งเฉยของพ่อ

"มันมาต่อยผมก่อนนะพ่อ ปกติพ่อต้องช่วยพูดลดโทษให้ผมสิ ทำไมวันนี้พ่อไม่พูดอะไรเลย" โก้โน้มตัวไปพูดกับพ่อตัวเอง ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่กลับได้ยินกันทั้งห้อง

"หุบปากของแกไปเลย" และนี่คือประโยคที่พ่อโก้บอกเขา คนเป็นลูกชายเลยถอยห่างจากพ่อไปยืนหน้าเจื่อนอยู่ด้านหลัง

ครูชนะชัยส่ายหน้าไปมา เมื่อมองดูสองคนพ่อลูกพูดกัน ก่อนจะหันมาทางผมกับพ่อ

"ส่วนนายอภิวัฒ ครั้งนี้เป็นความผิดครั้งแรก ครูจะลงทัณฑ์บนไว้ หากมีเรื่องชกต่อยกับใครอีกสองครั้ง นายจะถูกพักการเรียนเช่นกัน"

"ลงโทษแค่นี้หรือครับ น่าจะให้หนักกว่านี้" พ่อพูดขึ้น ทำเอาผมเบิกตากว้างมองพ่อ แม้แต่พ่อของนายโก้ยังหันมามอง จากที่นั่งหลังตรงตั้งแต่เข้ามาในห้อง โดยไม่หันมามองพ่อเลย

"คุณจะบ้าหรือไง อยากให้ลูกตัวเองถูกลงโทษเพิ่ม" พ่อนายโก้หันมาพูดกับพ่อ

พ่อจึงหันไปพูดด้วย

"ลูกทำผิดก็ต้องโดนลงโทษไม่ใช่เหรอส.ส.อิฐ"

ท่าทางพ่อจะรู้จักพ่อของโก้ด้วย และเหมือนพ่อของนายโก้ก็รู้จักกับพ่อผมด้วยเช่นกัน เพราะทันทีที่พ่อพูดชื่ออิฐ

พ่อของโก้ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ชี้นิ้วมาที่พ่อ แล้วพูดเสียงดังผสมอารมณ์ตื่นเต้นดีใจเข้าไปด้วย

"ไอ้ชาติไม่เจอกันนานเลย สบายดีนะเพื่อน"

ผมกับโก้มองหน้ากัน ยืนงงเป็นไก่ตาแตก สรุปว่าพ่อผมกับพ่อโก้เป็นเพื่อนกัน

เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน จับมือตบบ่ากันไปมา ถามสารทุกข์สุกดิบ และตอนนี้ผมพอจะรู้แล้วว่าทำไมถึงคุ้นหน้าพ่อโก้ ท่านเป็นส.ส.นี่เอง ตอนต้นปีเคยเห็นป้ายหาเสียงติดทั่วหมู่บ้าน

แล้วพวกท่านทั้งคู่ก็สุดแสนดีใจ และยินดีให้พวกผมโดนลงโทษเพิ่ม ครูชนะชัยจึงให้ผมกับโก้ไปทำงานที่ห้องสมุดเป็นเวลาหนึ่งเดือน

ในทุกตอนเย็นก่อนกลับบ้าน ต้องมาทำความสะอาดห้องสมุด จัดหนังสือเข้าชั้น

เมื่อรับทราบบทลงโทษกันครบถ้วน พวกเราจึงพากันเดินออกจากห้อง พ่อบอกลาส.ส.อิฐทันที เพราะเช้านี้เป็นเช้าวันแรกที่พ่อต้องไปทำงาน จึงต้องรีบไป

ส.ส.อิฐกับโก้เดินนำหน้าผม

"แกอย่าทำเรื่องให้ฉันต้องมาแก้ให้อีก ถ้าแกทำอะไรผิดฉันจะไม่ช่วยอะไรแกทั้งนั้น แล้วนี่ครูลงโทษอะไรก็ทำ ๆ ไปซะ อย่าให้ครูต้องโทร.มาฟ้อง ฉันอยากเป็นส.ส.อีกสมัย แกอย่าทำตัวเกเรสร้างปัญหามาให้ฉัน มีลูกไม่ดีมันพลอยทำให้พ่อเสียชื่อเสียงไปด้วย แกเข้าใจที่ฉันพูดไหม"

ส.ส.อิฐพูดกับโก้ เสียงดังพอที่จะทำให้ผมได้ยินไปด้วย ผมเห็นโก้พยักหน้ารับคำเศร้าๆ ดูเป็นเด็กว่านอนเสียง่ายทันที ผิดกับเมื่อวานที่วางตัวเบ่งเป็นนักเลงโต

สงสัยตอนเด็ก ๆ พ่อคงตามใจมากจนเสียคน พอโตขึ้นพ่อคงตามใจไม่ไหว คนเป็นลูกเลยผิดหวังไปตามระเบียบ

ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผมโดนลงโทษด้วยการทำหน้าที่เป็นบรรณารักษ์ในห้องสมุด งานสุดน่าเบื่อ แต่ผมกลับได้สิ่งหนึ่งติดตัวกลับมาด้วย สิ่งนั้นคือมิตรภาพ ที่ผมกับโก้ค่อย ๆ ปลูกมันขึ้นมา

ช่วงสัปดาห์แรกที่เราสองมาช่วยงานครูสุนารี ซึ่งเป็นครูบรรณารักษ์ พวกเราแทบไม่พูดคุยกันเลย ครูสุนารีสอนให้จัดเรียงหนังสือตามหมวดหมู่

เราสองคนต่างหอบหนังสือเดินไปที่ชั้นวาง ทางใครทางมัน จัดของใครของมันไปเรื่อย จนวันหนึ่งผมเห็นโก้มีใบหน้าเศร้าผิดปกติกว่าทุกวัน ขอบตาข้างหนึ่งมีรอยเขียวคล้ำ

ผมเห็นแล้วทนดูไม่ไหวเลยต้องเข้าไปถาม ดู ๆ ไปโก้ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ตั้งแต่มีเรื่องกับผมวันนั้น โก้ก็ไม่เคยก่อเรื่องระรานใครอีกเลย หรืออาจเป็นเพราะโดนพ่อสั่งห้ามไว้ก็ไม่รู้

"หน้าไปโดนอะไรมา" ผมแกล้งเดินมาจัดหนังสือเข้าชั้นใกล้ ๆ โก้แล้วถามเบา ๆ

"ไม่ต้องมายุ่ง ไม่ใช่เรื่องของนาย"

"ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่ง ไม่ได้อยากยุ่งกับนายอยู่แล้ว" ผมพูดแล้วยกไหล่ ไม่บอกก็ไม่บอกสิ ไม่ได้อยากรู้มากมายนิ

ผมยังยืนจัดหนังสืออยู่ที่เดิม รอดูท่าทีของโก้ว่าจะยังไง แต่เขายังเงียบ ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างเดิม ก่อนเดินหายไปยังชั้นหนังสืออีกแถว ผมเดินตามมาติด ๆ ปากบอกไม่อยากรู้ แต่ใจนี่สิอยากรู้จนอยากเต้นออกมาตบปาก ให้กลับคำพูดใหม่ซะ

"เมื่อวานไม่เห็นมีรอยช้ำ" ผมพูดขึ้นลอยๆ เผื่อมีปฎิกิริยาตอบกลับมาจากอีกฝ่าย และมันได้ผล

"โดนพ่อต่อยมา"

สิ่งที่โก้บอก ทำเอาผมอึ้งรู้สึกจุกที่ลำคอจนพูดอะไรไม่ออก พ่อโก้ รุนแรงกับลูกชายขนาดนี้เลยหรือ

โก้เดินไปนั่งลงบนพื้นกระเบื้อง หลังพิงผนังห้อง มีหนังสือสามเล่มยังหาที่ลงไม่เจอวางอยู่บนตัก

ผมยืนเอาหลังพิงชั้นหนังสือ มองดูคู่อริที่ตอนนี้กำลังจะกลายมาเป็นเพื่อนปรับทุกข์ในใจ

"ทำไมต้องต่อย" ผมถามอย่างอยากรู้ บางทีการได้ระบายบอกใครสักคน คงทำให้โก้รู้สึกดีขึ้นบ้าง

"เราทะเลาะกับแม่เลี้ยง แล้วผลักแม่เลี้ยงตกเก้าอี้ พ่อมาเห็นแล้วโกรธจัด เลยต่อยเราเข้าให้ แต่พ่อไม่ถามเราสักคำ ว่าทำไมถึงทำแบบนั้น"

"แล้วนายทำ ทำไม" ส.ส.อิฐไม่ถาม งั้นผมถามเอง

"เราเห็นแม่เลี้ยงเดินควงผู้ชายคนอื่น แม่เลี้ยงก็เห็นเราเช่นกัน แม่เลี้ยงขู่เราว่า ถ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อ แม่เลี้ยงจะยุให้พ่อไล่เราออกจากบ้าน เรารู้ว่าแม่เลี้ยงทำได้อยู่แล้ว เธอพูดอะไรพ่อเชื่อหมด ตอนนั้นเราโกรธมากเลยผลักเธอตกเก้าอี้"

ผมเห็นโก้ยกมือเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา ตอนนี้ผมสงสารโก้จับใจ และตั้งแต่วันที่โก้ระบายความในใจให้ผมฟัง เราก็กลายมาเป็นเพื่อนกัน

ผมจึงพอรู้สาเหตุแล้วว่า ทำไมโก้ถึงทำตัวเกเรเป็นหัวโจกประจำโรงเรียน เขาทำทุกอย่างเพื่อเรียกร้องความสนใจจากพ่อนี่เอง

อยากให้พ่อมาดูแล มาเอาใจใส่เขาเพียงคนเดียว เพราะตั้งแต่แม่โก้ตาย ตอนเขาอายุได้เก้าขวบ ไม่นานพ่อโก้ก็มีภรรยาใหม่ พ่อเขาดูแลเอาใจใส่ภรรยาใหม่จนหลงลืมลูกชาย แต่ช่วงเวลานั้นไม่ว่าโก้จะขออะไร พ่อเขาจะซื้อให้หมด

จนบางครั้งทำให้ภรรยาใหม่ของพ่อไม่พอใจดุด่าโก้ว่าซื้อของเล่นสิ้นเปลือง และสุดท้ายลงเอยที่โก้กับภรรยาใหม่ของพ่อกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน

ต่างคนต่างพยายามแย่งความรักจากส.ส.อิฐ โดยคนที่อยู่ตรงกลางไม่รู้ตัว โก้ก่อเรื่องที่โรงเรียนไว้มากมาย เพื่อหวังให้พ่อมาช่วยแก้ปัญหาให้ และพ่อโก้ก็มาทุกครั้ง จึงเหมือนว่าเขาชนะแม่เลี้ยง เพราะพ่อรักและจะปกป้องเขาเสมอ ไม่ว่าเขาจะก่อเรื่องอะไรไว้ก็ตาม

แต่ครั้งนี้ต่างออกไป พ่อไม่พูดช่วยเขาเหมือนก่อน พ่อทำตัวเหินห่าง ทำงานมากกว่าจะมาสนใจลูก และเริ่มรักภรรยามากกว่าลูก ตอนนี้โก้จึงรู้สึกว่าตัวเองเป็นหมาหัวเน่าเข้าไปทุกวัน

"เราคิดว่า ถ้าเราเรียนจบม.6 เราจะย้ายออกมาอยู่หอพัก เบื่อที่จะอยู่บ้านเดียวกับแม่เลี้ยงแล้ว"

โก้พูดขึ้น ในตอนเย็นวันสุดท้ายที่พวกเราต้องทำงานที่ห้องสมุด บทลงโทษถึงเวลาสิ้นสุดลงเสียที แต่มิตรภาพของผมกับโก้ เพิ่งเริ่มก่อตัวขึ้น

ผมยัดหนังสือเล่มใหญ่ เล่มสุดท้ายเข้าชั้นหนังสือ แล้วหันหน้ามามองคนพูด ที่นั่งเปิดอ่านหนังสือการ์ตูนเล่น

"ถ้าออกมาอยู่ข้างนอก แล้วนายสบายใจ เราว่าก็ดีนะ"

"อืมม์ มันต้องดีกว่าอยู่บ้านแน่ละ" โก้พยักหน้าเห็นด้วย แล้วพูดต่อ

"วันนี้นายกวาดพื้นคนเดียวนะ เราขอตัวไปทำธุระอะไรบ้างอย่างก่อน"

โก้ลุกพรวดพราวขึ้น

"ธุระอะไรของนาย" ผมตะโกนถาม

"ความลับ"

แล้วโก้ก็เดินออกจากห้องห้องสมุดไป ภายในห้องสมุดจึงเหลือผม นักเรียนสามสี่คน และครูสุนารีที่กำลังวุ่นวายกับเอกสารบนโต๊ะทำงาน

เมื่อผมทำงานทุกอย่างในห้องสมุดเสร็จเรียบร้อย ผมจึงมาบอกลาครูสุนารี ยกมือไหว้แล้วขอตัวกลับบ้าน

ผมยืนรอรถประจำทางที่ศาลาริมทางหน้าโรงเรียน มีนักเรียนอยู่รอรถบางตา เพราะบางส่วนจะพากันกลับบ้านหมดแล้ว

อาร์ตเพิ่งเดินออกมาจากโรงเรียน เขาเปลี่ยนชุดนักเรียนเป็นชุดฟุตบอล เพราะอาร์ตไปสมัครเป็นนักฟุตบอลประจำโรงเรียน เขาต้องฝึกซ้อมทุก ๆ ตอนเย็นหลังเลิกเรียน และต้องรอคัดตัวอีกทีว่าจะได้เล่นเป็นตัวจริงหรือเปล่า

อาร์ตชวนผมมาสมัครด้วย ใจจริงผมก็อยากสมัคร แต่ผมมีนัดซ้อมดนตรีในทุกตอนเย็นแล้ว เวลามันชนกัน ต้องเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่ง

"ทำไมวันนี้แกเลิกซ้อมเร็วจัง"

ผมเอ่ยถามทันทีที่อาร์ตเดินมายืนข้างผม

"วันนี้ครูบอกว่า มีธุระต้องไปทำเลยปล่อยพวกเราเร็วหน่อย ว่าแต่แกเถอะ ได้ข่าวว่าบ้านอยู่ใกล้แอมด้วยนิ แผนจีบสาวไปถึงไหนแล้ววะ"

อาร์ตยิ้มร่า กระแทกไหล่ชนไหล่ผม เมื่อพูดถึงแอม

"ถึงไหนอะไร ก็อย่างที่แกเห็น ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย แอมไม่สนใจเราหรอก"

พอพูดถึงแอม ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่า ยิ่งเราอยู่ใกล้กัน กลับทำให้ยิ่งรู้สึกว่าห่างไกลกัน ตลอดหนึ่งเดือนที่เรียนอยู่ห้องเดียวกัน ผมกับแอมพูดคุยกันแทบจะนับประโยคได้เลย อย่างเช่นว่า

"ขอลอกการบ้านหน่อยสิ" ผมขอเธอแบบหน้าด้าน ๆ เลยละ
"ไม่"
"ไปกินข้าวกันไหม"
"ไม่ เลิกยุ่งกับฉันทีนา" หรือไม่ก็ "นายหยุดทำเสียงดังได้ไหม ฉันกำลังตั้งใจฟังครูสอนอยู่นะ"
"คร้าบ...ไม่ทำแล้วครับ"

หนึ่งเดือนที่นั่งโต๊ะด้านหลังเธอ เป็นหนึ่งเดือนที่ทำให้ผมมีความสุข ถึงแม้เธอจะไม่คุยกับผมมากมาย และสิ่งที่ผมทำคือ วาดรูปด้านหลังของเธอเก็บไว้ในสมุด บางวันเธอถักผมเปียสองข้าง บางวันมัดผมยกสูงเป็นหางม้า ผมสังเกตเห็นด้วยว่าผมเธอยาวขึ้นนิดหนึ่ง และช่วงหลังๆ มาผมรู้สึกว่าเหมือนแอมมีเรื่องทุกข์ใจบางอย่าง

คนที่ลอบแอบมองเธอทุกกิริยาบถอย่างผม จึงเห็นว่าบ้างครั้ง แววตาที่เคยสดใสร่าเริง พลันเศร้าหมอง และเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางภายในใจ

บางครั้งแป้งเรียกชื่อแอม เธอก็ไม่รู้สึกตัว ต้องมีอะไรบางอย่างรบกวนจิตใจแอมอยู่แน่ ๆ ผมเป็นห่วงเธอและอย่างรู้เรื่องที่ทำให้เธอเป็นทุกข์ แต่ผมทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากเฝ้าดูอย่างห่าง ๆ แบบห่วง ๆ

ตอนอยู่โรงเรียนเราเจอหน้ากันทุกวัน แต่ความสนิทสนมยังมีระยะห่างอยู่เสมอ แอมยังไม่เปิดใจคุยกับผมเหมือนเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ในห้องเรียน ผมรับรู้ได้ เหมือนมีเส้นบาง ๆ กั้นเราสองคนไว้

และตอนอยู่บ้าน ผมแทบไม่ค่อยได้เจอแอมเลย แปลกไหมล่ะ ทั้งที่บ้านอยู่ตรงข้ามกันแค่นี้เอง เรื่องของเรื่องคือ เธอเลิกเรียนไปก่อนผม ส่วนผมต้องทำงานที่ห้องสมุด

พอผมกลับมาถึงบ้าน ผมต้องไปซ้อมดนตรีจนถึงสองทุ่ม บางวันปาไปสามทุ่มก็มี พอกลับมาถึงบ้าน ผมเห็นห้องนอนแอมปิดไฟแล้ว

เสาร์อาทิตย์ ผมรู้มาจากพี่โอมว่าแอมไปเรียนเต้นบัลเลต์ และคงไปเที่ยวกับเพื่อนฝูงบ้างในบางวัน

ส่วนเสาร์อาทิตย์ของผม ต้องไปช่วยแม่ขายของที่ร้าน แม่เปิดร้านมาได้เกือบจะครบเดือนแล้ว เริ่มมีลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ

แม่ขายพวกชากาแฟในตอนเช้าด้วย ร้านของแม่จึงกลายมาเป็นสภากาแฟที่คนในหมู่บ้าน ชอบมานั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิด ข่าวสารบ้านเมืองอยู่เป็นนิจ และลูกค้าประจำที่ต้องมาทุกเช้า คือลุงสันต์

.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่