พระสูตรที่กล่าวเรื่องอัตตาตัวตน อันย่อมเป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือความเห็นผิด
แต่ถึงกระนั้นก็ตามยังมีพระพุทธพจน์ที่กล่าวถึงมิจฉาทิฏฐิในแง่มุมที่ว่า แม้เห็นผิดในเรื่องกายว่าเป็นอัตตาตัวตน อันเป็นมิจฉาทิฏฐิที่เห็นผิด ชนิดจัดเป็นสังโยชน์ข้อแรกทีเดียวคือสักกายทิฏฐิ ที่ย่อมผูกมัดสัตว์ไว้ไม่ให้ดิ้นหลุดไปจากกองทุกข์ได้
แต่ท่านได้ตรัสยืนยันไว้ในพระสูตรนี้ว่า แต่ถึงกระนั้นก็ตามยังดีกว่าการไปเห็น ไปเชื่อ ไปเข้าใจ หรือมิจฉาทิฏฐิว่า จิตหรือวิญญาณนั้น เป็นอัตตาตัวตน หรือเป็นของตัวตน เพราะการเห็นผิดอย่างนี้ ถ้าไม่ได้สดับในธรรมของพระองค์แล้วย่อมจะไม่รู้ความจริงได้เลยเพราะจิตย่อมละเอียดอ่อนนอนเนื่องจนไม่รู้ตัว
ส่วนความเห็นผิดว่า กายเป็นตัวตนหรือของตนนั้นแม้จัดเป็นสังโยชน์ข้อแรกที่ผูกมัดสัตว์ไว้กับทุกข์ อันย่อมแลเห็นและเข้าใจได้ยาก แต่ก็ยังจะพอรู้หรือสะกิดใจขึ้นได้บ้างเป็นครั้งเป็นคราว จากกาลเวลาที่ผ่านไปว่า มีความเสื่อม มีความแปรปรวน กล่าวคือ เห็นการเกิด การเจ็บ การแก่ การตาย ได้บ้างเป็นครั้งคราวตามกาลเวลาที่ผ่านไปนั่นเอง, ส่วนจิตนั้นย่อมไม่สามารถรู้ได้เลยจนวันตาย ถ้าไม่สดับในธรรมของพระองค์ท่าน.
http://www.nkgen.com/473.htm
เรื่องอัตตาตัวตน อันย่อมเป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือความเห็นผิด
แต่ถึงกระนั้นก็ตามยังมีพระพุทธพจน์ที่กล่าวถึงมิจฉาทิฏฐิในแง่มุมที่ว่า แม้เห็นผิดในเรื่องกายว่าเป็นอัตตาตัวตน อันเป็นมิจฉาทิฏฐิที่เห็นผิด ชนิดจัดเป็นสังโยชน์ข้อแรกทีเดียวคือสักกายทิฏฐิ ที่ย่อมผูกมัดสัตว์ไว้ไม่ให้ดิ้นหลุดไปจากกองทุกข์ได้
แต่ท่านได้ตรัสยืนยันไว้ในพระสูตรนี้ว่า แต่ถึงกระนั้นก็ตามยังดีกว่าการไปเห็น ไปเชื่อ ไปเข้าใจ หรือมิจฉาทิฏฐิว่า จิตหรือวิญญาณนั้น เป็นอัตตาตัวตน หรือเป็นของตัวตน เพราะการเห็นผิดอย่างนี้ ถ้าไม่ได้สดับในธรรมของพระองค์แล้วย่อมจะไม่รู้ความจริงได้เลยเพราะจิตย่อมละเอียดอ่อนนอนเนื่องจนไม่รู้ตัว
ส่วนความเห็นผิดว่า กายเป็นตัวตนหรือของตนนั้นแม้จัดเป็นสังโยชน์ข้อแรกที่ผูกมัดสัตว์ไว้กับทุกข์ อันย่อมแลเห็นและเข้าใจได้ยาก แต่ก็ยังจะพอรู้หรือสะกิดใจขึ้นได้บ้างเป็นครั้งเป็นคราว จากกาลเวลาที่ผ่านไปว่า มีความเสื่อม มีความแปรปรวน กล่าวคือ เห็นการเกิด การเจ็บ การแก่ การตาย ได้บ้างเป็นครั้งคราวตามกาลเวลาที่ผ่านไปนั่นเอง, ส่วนจิตนั้นย่อมไม่สามารถรู้ได้เลยจนวันตาย ถ้าไม่สดับในธรรมของพระองค์ท่าน.
http://www.nkgen.com/473.htm