ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 186
http://www.tripitaka91.com/91book/book33/151_200.htm

การทำในใจโดยไม่มีอุบาย    ชื่อว่า   การทำในใจโดยไม่แยบคาย.
การทำในใจโดยอุบาย    ชื่อว่า   การทำในใจโดยแยบคาย.   ในการทำ
ในใจโดยไม่แยบคายและแยบคายนั้น   เมื่อทำในใจโดยไม่แยบคาย   มิจฉา-
ทิฏฐิที่ยังไม่เคยเกิด  ย่อมเกิดขึ้น   ส่วนที่เกิดขึ้นแล้ว   ย่อมเจริญ   จนถึง
การปฏิสนธิโดยแน่นอน.    เนื้อแน่นอนแล้ว   มิจฉาทิฏฐิชื่อว่าเจริญแล้ว.
เมื่อทำในใจโดยแยบคาย   สัมมาทิฏฐิที่ยังไม่เคยเกิด  ย่อมเกิดขึ้น   ส่วน
ที่เกิดขึ้นแล้ว   ย่อมเจริญมากขึ้น  จนถึงพระอรหัตมรรค.  เมื่อบรรลุพระ-
อรหัตผลแล้ว  สัมมาทิฏฐิชื่อว่าเป็นอันเจริญมากแล้ว.

ในบทว่า  มิจฺฉาทิฏฺิยา  ภิกฺขเว  สมนฺนาคตา  สตฺตา  นี้
พึงทราบวินิจฉัย   ดังนี้ :-
มิจฉาทิฏฐิบางอย่างห้ามสวรรคด้วย  ห้ามมรรคด้วย.
บางอย่างห้ามมรรคเท่านั้น  ไม่ห้ามสวรรค์.
บางอย่างไม่ห้ามทั้งสวรรค์   ไม่ห้ามทั้งมรรค.

บรรดามิจฉาทิฏฐิเหล่านั้น   มิจฉาทิฏฐิ  ๓ อย่างนี้  คือ  อเหตุกทิฏฐิ
อกิริยทิฏฐิ  นัตถิกทิฏฐิ  ห้ามสวรรค์และห้ามมรรค.
อันตคาหิกมิจฉาทิฏฐิ      มีวัตถุ  ๑๐  ห้ามมรรค   แต่ไม่ห้ามสวรรค์.
สักกายทิฏฐิ   มีวัตถุ  ๒๐  ไม่ห้ามสวรรค์   ไม่ห้ามมรรค.  แต่ปฏิเสธ
วิธีนี้แล้วว่า      ธรรมดาทิฏฐิโดยที่สุดกำหนดเอาสักกายทิฏฐิซึ่งมีวัตถุ   ๒๐
ประการ  ชื่อว่าสามารถนำไปสู่สวรรค์   ไม่มี    ย่อมทำให้จมลงในนรกโดย
ส่วนเดียวเท่านั้น  โดยพระบาลีในพระสูตรนี้ว่า มิจฺฉาทิฏฺิยา  ภิกฺขเว
สมนฺนาคตา   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    สัตว์ผู้ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ    ดังนี้

.....................................................................................................

พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 187
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=181

เป็นต้น     เหมือนอย่างว่า      ก้อนหินแม้ขนาดเท่าถั่วเขียวและถั่วเหลือง
โยนลงไปในน้ำ  ชื่อว่าจะลอยอยู่ข้างบน  ย่อมไม่มี   ย่อมจมลงไปข้างล่าง
อย่างเดียว  ฉันใด   โดยที่สุด   แม้แต่สักกายทิฏฐิ    ชื่อว่าสามารถนำไปสู่
สวรรค์    ย่อมไม่มี     ย่อมให้จมลงในอบายทั้งหลายโดยส่วนเดียวเท่านั้น
ก็ฉันนั้น.
ในบทว่า   สมฺมาทิฏฺิยา   สมนฺนาคตา   นี้    พึงทราบวินิจฉัย
ดังนี้ :-
สัมมาทิฏฐิมี  ๕  อย่าง  คือ  กัมมัสสกตสัมมาทิฏฐิ  ฌานสัมมาทิฏฐิ
วิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ   มัคคสัมมาทิฏฐิ   ผลสัมมาทิฏฐิ
.    ในสัมมาทิฏฐิ  ๕
อย่างนั้น   กัมมัสสกตสัมมาทิฏฐิ   ย่อมชักมาซึ่งสัมปัตติภพ.   ฌานสัมมา-
ทิฏฐิ     ย่อมให้ปฏิสนธิในรูปภพ.    มัคคสัมมาทิฏฐิ   ย่อมกำจัดวัฏฏะ.
ผลสัมมาทิฏฐิ   ย่อมห้ามภพ.

ถามว่า  วิปัสสนาสัมมาทิฏฐิทำอะไร.
ตอบว่า  แม้วิปัสสนาสัมมาทิฏฐินั้น  ก็ไม่ชักมาซึ่งปฏิสนธิ.
ส่วนพระติปิฎกจูฬอภัยเถระกล่าวว่า  ถ้าวิปัสสนาสัมมาทิฏฐิที่อบรม
ไว้แล้ว     อาจให้บรรลุพระอรหัตในปัจจุบันได้ไซร้    ข้อนั้นก็เป็นการดี
ถ้าไม่อาจให้บรรลุพระอรหัตได้ไซร้     ก็ยังให้ปฏิสนธิในภพ  ๗  ภพได้
ผู้มีอายุ.      ท่านกล่าวถึงสัมมาทิฏฐิอันเป็นโลกิยะและโลกุตระนี้ไว้อย่างนี้.
ก็ในเนื้อความดังกล่าวนี้     พึงทราบสัมมาทิฏฐิอันเป็นโลกิยะซึ่งให้สำเร็จ
ในภพเท่านั้น.


.....................................................................................................

คำอธิบายคัมภีร์ เอกนิบาต อังคุตตรนิกาย กล่าวว่า...

มิจฉาทิฐิบางอย่างห้ามทั้งสวรรค์และมรรค

บางอย่าง ห้ามแต่มรรคอย่างเดียว ไม่ห้ามสวรรค์

บางอย่างไม่ห้ามทั้งมรรค และสวรรค์

มิจฉาทิฐิ 3 อย่างคือ

1. อกิริยทิฐิ และนัตถิกทิฐิ ห้ามทั้งสวรรค์และมรรค

2. มิจฉาทิฐิถึงที่สุด 10 อย่าง คือการยึดถือว่า โลกเที่ยง เป็นต้น จัดว่าห้ามแต่มรรคอย่างเดียว เป็นความเห็นที่วิปริตจากทางของมรรค แต่ไม่ห้ามสวรรค์เพราะไม่เป็นอกุศลกรรมบถ

3. ส่วนสักกายทิฐิ 20 มีเห็นรูปว่าเป็นตน เห็นตนว่าเป็นรูป เห็นตนในรูป เป็นต้น เป็นการเห็นลักษณะ 4 อย่างในขันธ์ 5 รวมเป็น 20 ไม่ห้ามทั้งสวรรค์และมรรคเพราะไม่เป็นอกุศลกรรมบถ และเมื่อเกิดความรู้ชัดแจ้งตามเป็นจริง ปล่อยจากทิฏฐิที่ยึดถือนั้น ก็บรรลุมรรคผลได้

โปรดพิจารณาสักกายทิฐิ 20 ไม่ห้ามทั้งสวรรค์และมรรคผลนิพพาน นี่ท่านกล่าวไว้ชัดในพระไตรปิฎก...นำมาให้พิจารณา...ว่าท่านเข้าข่ายไหน...?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่