สวัสดีค่ะ ชื่อแนนค่ะ นี่เป็นการเขียนพันทิปครั้งแรกของแนนเลยอาจจะมีผิดพลาดไปบ้างต้องขออภัยล่วงหน้าเลยนะคะ
ที่แนนตัดสินใจมาเขียนเพราะอยากแชร์ประสบการณ์ที่พีคที่สุดในชีวิต คือการเสียลูกในท้องตอน 8 เดือน เพราะคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆทุกคนที่เข้ามาอ่าน โดยเฉพาะกับคนที่กำลังมีเจ้าตัวน้อยหรือกำลังคิดจะมีค่ะ
งั้นเข้าเรื่องเลยละกันค่ะ
ท้องแรกของแนน... ได้ลูกสาวค่ะ ทุกคนที่บ้านดีใจกันหมดเรียกว่าเห่อมากค่ะ เพราะอีกไม่นานก็ได้เจอหน้าหลานสาวสุดที่รักกันแล้ว
อันนี้เป็นรูปที่น้องสาวแนนจัดงาน Baby shower ก่อนวันที่แนนจะไปตามวันที่หมอนัดตรวจค่ะ เป็นหลักฐานว่าทุกคนเห่อหลานมากจริงๆค่ะ โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าหลังจากนี้จะเกิดเหตุการณ์อะไรกับลูกของแนน
ตอนนี้แนนก็ท้องได้ 8 เดือนแล้วค่ะ มีการพบหมอตามที่ได้นัดตรวจกันปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือการตรวจครั้งนี้ผล คือ...
“ ลูกคุณหัวใจไม่เต้นแล้วครับ ” สิ้นเสียงคำพูดของหมอ หัวใจคนเป็นแม่ก็แทบหยุดเต้นเช่นกัน... นางฟ้าน้อยๆคนนั้นได้เสียชีวิตลงในวัย 8 เดือน
ขณะยังอยู่ในท้อง มีเพียงแต่ท้องที่โตขึ้นทุกวัน แต่ในนั้นไร้การเต้นของหัวใจ มีเพียงความเงียบที่มืดมิดอยู่ในนั้น และหลังจากที่ได้ยินหมอพูดก็เหมือนโลกของคนเป็นแม่มันหยุดเดินชั่วขณะ ร้องไห้ไม่ออก ไม่มีน้ำตาซักหยดในตอนนั้น ถึงจะเห็นว่าหมอกำลังพูดอยู่ แต่หูเราไม่ได้ยินอะไรเลยค่ะ แต่พอเดินออกพ้นประตูไป น้ำตามันกลั้นไว้ไม่อยู่ ปล่อยทุกอย่างออกจากความเสียใจ ได้แต่เดินประคองกันมา 2 คนพ่อแม่ และลูกที่ไม่หายใจแล้วในท้อง...
หลังจากลูกในท้องจากไปตอน 8 เดือน ในเมื่อเหตุการณ์ไม่คาดคิดนี้มันเกิดขึ้นแล้วเราต้องทำตัวยังไงบ้าง อันดับแรกเลยคือต้อง “ทำใจ” รู้ค่ะว่ามันยาก แต่มันอยู่ที่ใจเราเลยค่ะ แนนคิดเสมอว่า #สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดีเสมอ เรื่องนี้ก็เช่นกัน ในความโชคร้ายนี้ มันต้องมีข้อดีสิเนอะ เช่น คนรอบข้างให้กำลังใจเยอะมากกก ทุกคนเป็นห่วง โดยเฉพาะครอบครัวเรา รู้เลยว่าวันที่เราทุกข์ที่สุด เสียใจที่สุด ก็ยังมีครอบครัวที่อยู่ข้างเรา ป่าป๊า หม่าม้า พี่น้อง ครอบครัวสามี ทุกคน ไม่มีใครโทษใคร ทุกคนบอกแต่ว่า ไม่เป็นไร รอคนใหม่ได้ อาม่ารอเลี้ยงหลานปีหน้าก็ได้ โอ้โห คำพูดพวกนี้มาทีไร น้ำตาแตกทุกที..
ขอย้อนเหตุการณ์ตอนตรวจของแนนอีกครั้งนะคะ คือ ลูกเสียตั้งแต่วันศุกร์ ไปหาหมอตามนัดปกติ หมอบอกว่า น้องหัวใจไม่เต้นแล้ว
แต่น่าจะไม่นาน ไม่เกิน 6 ชม. เพราะเลือดยังเกาะบริเวณหัวใจอยู่ (อันนี้แนนผิดเองที่ไม่ได้นับลูกดิ้นเดี๋ยวจะมาเล่านะคะว่านับลูกดิ้นยังไง) หลังจากที่หมอมั่นใจแล้วว่าลูกเสีย หมอก็นัดเรา วันอังคารไปที่โรงพยาบาล เพื่อแอดมิทเหน็บยา เพื่อที่จะ “คลอดธรรมชาติ” ซึ่งตอนแรกก็ตกใจเหมือนกัน ลูกก็ไม่มีชีวิตอยู่ในร่างกายเราเนี่ยนะ มันจะคลอดธรรมชาติได้ด้วยหรอ... คุณหมอเลยอธิบายว่า ร่างกายคนเราก็ดำเนินการตั้งครรภ์ไปปกตินั่นแหละ เพียงแต่ลูกไม่ได้ดึงจากเราไปใช้แล้วเท่านั้นเอง หมอบอกปกติจะอยู่ได้ประมาน 2 สัปดาห์ เกินกว่านั้นต้องรีบผ่าออก เพราะจะส่งผลต่อตัวแม่ ตอนแรกที่ไม่ผ่าให้เพราะหมอเค้าอยากให้ลองคลอดเองก่อน เพื่อเซฟหน้าท้องและมดลูกเอาไว้เผื่อท้องต่อไป เลยไม่อยากไปกรีดหรือผ่ามันออกค่ะ ตอนนั้นแนนก็สับสนว่าเอาไงดี เพื่อนแม่ที่สามีเค้าเป็นหมอ(แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นหมอด้านไหน) พอทราบข่าว เค้าก็มาบอกแม่แนนว่า ต้องผ่า ผ่าเลย ไม่ต้องรอ คือแม่เราก็ฟังมาว่าให้แนนผ่าคลอดเลย ความรู้สึกเค้าคือแบบเด็กคงตัวเขียว จะเน่ามั้ยในท้องเรา แต่แนนจากที่ฟังหมอ และลองหาข้อมูลดู เชื่อในสัญชาตญาณตัวเอง และปรึกษาสามีแล้ว เอาวะ!! ลองคลอดเองดู รักษาตัวเพื่อท้องถัดไป กัดฟัน ยืนยันกับผู้ใหญ่ว่าจะ คลอดเอง หลังจากนั้นก็เตรียมตัวไปโรงพยาบาล
ลำดับเหตุการณ์ง่ายๆ คือ ลูกเสียวันศุกร์ หมอนัดเข้าแอดมิทวันอังคารถัดไป มาวันแรกพยาบาลก็เริ่มเหน็บยาเพื่อให้ปากมดลูกบางลง ค่อยๆ บางลงจนมีที่ว่างพอให้เด็กออกมาได้ (เวลาคลอด ปากมดลูกต้องเปิดประมาน 10 ซม.) ซึ่งปากมดลูกจะบางเร็ว บางช้า ขึ้นอยู่กับร่างกายแต่ละคนเลยค่ะ แต่ของแนน 4 วัน !!! เหน็บยาทุก 6 ชม. ตั้งแต่วันอังคารจนถึงวันศุกร์ ระหว่างนั้นก็ไม่ทำอะไร นอกจาก นั่งนอนยืนเดินแต่ก็ยังมีลูกอยู่ในท้องนะคะ ท้องใหญ่อยู่ตลอดเวลา กินนอนผ่านไป 4 วัน ก็ยังไม่กี่ซม. เอง จนวันสุดท้าย วันพฤหัสบดี แนนคุยกับหมอว่า ไม่ไหวแล้วค่ะหมอ ผ่าก็ผ่าแล้วตอนนี้มันทรมาน มันไม่รู้จะยังไงต่อ มันหมดกำลังใจแล้ว หมอบอกขอรอดูพรุ่งนี้เช้า ขอรอดูวันศุกร์อีกที เราก็โอเค อีกวันละกัน ไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว
และแล้ววันศุกร์ก็มาถึง หมอมาแต่เช้าเพื่อตรวจปากมดลูก หมอบอกว่า โอเค ปากมดลูกเปิดเพิ่มก็น่าจะเป็นไปได้ จากนั้นก็เข็นแนนไปห้องคลอดตั้งแต่ 8 โมง จำได้ว่าแดดแรงมาก ผ่านกระจก แต่บรรยากาศมันเยือกเย็น ใจเต้นแรงมาก สามีไปส่งหน้าห้องคลอด เค้าบีบมือแล้วกระซิบว่า เธอต้องปลอดภัยนะ จังหวะนั้นน้ำตาไหล สะอื้นไม่หยุด จนพยาบาลต้องรีบเข็นเราเข้าห้องคลอดไปเลยค่ะ (อาจจะเพราะรำคาญ หรือ กลัวร้องไม่หยุดก็ไม่รู้ 55) ไปถึงก็เริ่มให้ยาทางสายน้ำเกลือ ยาเร่งให้มดลูกบีบตัว แล้วก็มีเครื่องวัดการบีบตัวของมดลูกคาดไว้ที่พุง แรกๆ ก็ทนได้ ผ่านไปซักพัก เริ่มบีบแรงขึ้นๆ แรงขึ้น แรงอีก นอนปวดท้องอยู่อย่างนั้น ปวดบีบ พลิกซ้าย พลิกขวา ทุกวินาทีผ่านไปอย่างทรมาน จนสุดท้ายเรียกพยาบาลมา พี่ขา หนูไม่ไหวแล้วค่ะ ปวดไม่ไหวแล้ว พี่พยาบาลเลยมาตรวจปากมดลูก น่าจะได้แล้ว แล้วก็เข็นแนนเข้าห้องผ่าตัด เหลือบเห็นนาฬิกาที่ผนัง เวลานี้คือ 4 โมงเย็น นี่นอนปวดท้องมา 8 ชั่วโมงแล้วหรอเนี่ย!! พอเข้าห้องผ่าตัด ทุกอย่างคือเร็วมาก เร็วจนจับความรู้สึกอะไรไม่ทัน เหมือนในหนังเลยค่ะ ขึ้นเตียง ขึ้นขาหยั่ง พี่พยาบาลชุดเขียว 3-4 คน เดินไปมา ตัวเราก็เริ่มสลึมสลือ ซักพักได้ยินเสียงหมอเข้ามา คิดในใจ เอาละวะ!! ถึงเวลาแล้วสินะ แล้วก็คิดในใจว่า ออกง่ายๆนะลูก ช่วยหม่าม้าหน่อย แล้วได้ยินเสียงหมอบอก เบ่ง!!!! เบ่งครับ เบ่งเลย!! เราก็เบ่ง รวบรวมแรงเบ่ง ฮึบบบ!! ฮึบบบบบ จังหวะสุดท้าย พรวดดดดด!!!!!! เหมือนไส้ทั้งพวงหลุดออกไปหมดเลย โล่งใจลูกออกมาแล้ว แต่...ลูกไม่ร้อง...ไม่ดิ้น... และ ....เงียบ... เป็นการทำคลอดที่เงียบมาก พี่พยาบาลคนนึงเอ่ยขึ้นมา พร้อมกับเดินอุ้มน้องไปวางที่โต๊ะข้างซ้ายของเตียง เราหันไปเห็นเด็กคนนึง นอนนิ่งไม่มีเสียง ไม่ขยับตัว แต่ผิวสีชมพู มีผมขึ้นแล้ว เห็นหน้าไม่ชัด เพราะไม่อยากตั้งใจมอง แล้วเราก็หลับไป ก่อนหลับ พี่พยาบาลคนนั้นมาเช็ดน้ำตาให้ข้างๆแก้มเรา
ตื่นมาอีกที ประมาน 6 โมงกว่า เหลือแค่พี่พยาบาลนั่งอยู่คนเดียว ได้ยินเสียงป๊าแนนกับสามีอยู่ข้างนอก ซักพักพยาบาลก็เข็นเราออกมา ถามว่าจะดูลูกมั้ย แนนปฏิเสธ ขอไม่เห็นดีกว่า ไม่อยากจำภาพติดตา แต่สามีแนนดู แล้วเค้าเล่าให้ฟังทีหลังว่า แก้มชมพู ปากแดง น่ารักเลยแหละ แล้วเค้าก็เงียบ ไม่พูดอะไรต่อ คงพูดต่อไม่ไหว ส่วนเรื่องเด็กจะมีพยาบาลมาแจ้งว่า เจ้าหน้าที่เก็บเด็กไว้ที่ห้องเย็นเพื่อรอญาตินำไปประกอบพิธีต่อ อันนี้เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ไปจัดการ
พอขึ้นมาบนห้อง สิ่งแรกที่รู้สึกเลยคือ ความว่างเปล่า หน้าท้องแบนลง คิดในใจอีกที นี่มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆหรอ เหมือนเตือนสติตัวเองอีกครั้ง และคิดว่าคืนนี้ยังไงก็นอนไม่หลับแน่ๆ เลยขอยานอนหลับอ่อนๆกับพี่พยาบาลมาไว้ก่อนเลย ก่อนนอนสามีก็มาบอกแนนว่า ไม่ต้องเสียใจนะ ถึงวันนึง เค้าต้องกลับมา กลับมาเป็นลูกเราอีก วันนี้เราทำดีที่สุดแล้ว เราดูแลเค้าอย่างดีที่สุดมา 8 เดือนแล้ว วันนี้เค้าไปอยู่บนสวรรค์แล้ว เค้าคงอยากให้หม่าม้าเค้าสู้ต่อ ดูแลตัวเองเยอะๆ แล้วเค้าจะกลับมาใหม่ นี่แหละค่ะ ที่แนนบอกไว้ตั้งแต่ตอนแรกๆ กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญมากค่ะ ทั้งจากตัวเราและครอบครัว มีผลมากถึงมากที่สุดในการที่แนนจะผ่านเรื่องแบบนี้มาได้
เช้าวันรุ่งขึ้นสามีกับพ่อแม่แนนก็เดินทางไปวัด ส่วนแนนยังต้องนอนรักษาตัวที่รพ. แนนก็ได้แต่ตั้งจิตอธิษฐานขอให้ลูกไปอยู่ในภพภูมิที่ดี ให้หนูได้กลับมาเกิดกับหม่าม้าใหม่เร็วๆ พอถึงช่วงสายๆ คุณหมอก็เข้ามาเยี่ยม หมอบอกว่าหลังจากที่คลอดแล้ว ก็พบสาเหตุว่า “สายสะดือตีบ”
หมอบอกว่ามันไม่มีสาเหตุ สายสะดือมันตีบโดยตัวมันเอง เหมือนคนกินน้ำแล้วโดนบีบหลอด ทำให้อากาศและ สารอาหารจากแม่ส่งไปไม่เพียงพอ สายสะดืออาจตีบมาตั้งแต่เกิด แต่ตอนเค้ายังไม่โต เด็กเค้ายังไม่ได้ดึงจากเราไปใช้เยอะ แต่พอตัวเด็กใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อากาศ สารอาหาร เลือด ทุกอย่าง เด็กต้องใช้เยอะขึ้น แต่สายสะดือมันแคบส่งไปไม่พอ เลยเกิดเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น หมอบอกแนนว่าอาการนี้เกินกว่าเราจะรับรู้หรือป้องกันได้ มันก็แค่.. เกิดขึ้น ใช่ค่ะ มันก็แค่... “เกิดขึ้น... แล้ว..” แนนเลยไปหาข้อมูลเพิ่มในอินเตอร์เน็ต ซึ่งข้อมูลของอาการนี้มีน้อยมาก แทบหาไม่เจอ แต่อ่านๆไป ก็คิดเองได้ว่า มันคงเป็นเรื่องของบุญกรรมที่ทำมาเท่านี้จริงๆ
หลังจากออกจาก รพ. แนนก็คือคนนึงที่คลอดลูก ร่างกายมนุษย์นี่มหัศจรรย์มาก คลอดเองร่างกายฟื้นเร็วมากค่ะ แต่!!! “น้ำนม” ผลิตออกมาด้วยค่ะ แล้วชั้นจะเอาไปทำอะไร 5555 หมอบอกว่า ร่างกายเราก็คงยังดำเนินไปตามกลไกของมัน หมอบอกต้องทน!! ทนเต้านมคัดตึง ทนเจ็บ ทนปวดให้ได้ ห้ามบีบ ห้ามปั๊มออก ให้นมมันแห้งไปเอง โอ้วโหว!!! ปวดมากกก ก. ไก่. แสนตัว แล้วเราก็ไม่รู้ แม่บ้านบอกว่า หลังคลอดให้กินขิงเยอะๆ เราก็กินไป 2 วัน เพิ่งมาอ่านเจอว่า กินขิงเพื่อบำรุงน้ำนมอีก โอ้ว 5555 พอเลย เลิกกินเลยไก่ผัดขิง โยนทิ้งไปเลยจ้า
มาถึงเรื่อง “การอยู่ไฟหลังคลอด” นี่ก็เป็นอีกกิจกรรมที่ต้องทำ แนนให้เค้ามาทำให้ที่บ้านเลย ของ บ้านกุลธิดาสมุนไพร นครราชสีมา มันสะดวก มันง่ายมาก เค้าจะเตรียมอุปกรณ์มาครบเลย เราแค่เตรียมสถานที่กับเตรียมตัวให้พร้อมเท่านั้นพอค่ะ แพ็คเกจที่แนนเลือกเป็นแพ็คเกจแบบใหญ่สุดคือ แพคเกจ 7 วัน วันละ 6 ชั่วโมง โอ้โห เหมือนตัวเองเป็นกุ้งแม่น้ำเลยค่ะ เครื่องสมุนไพรที่อาบตัวนั้น มันคือเครื่องต้มยำดีๆ นี่เอง 55555 ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูดมาเต็ม ตลบอบอวลไปทั้งบ้าน แต่แนนว่าการอยู่ไฟ มันช่วยเรื่องสุขภาพเราจริงๆนะคะ (เดี๋ยวท้องนี้ตอนทำจริงๆ เดี๋ยวจะมารีวิวให้ดู)
...สุดท้ายแล้วเรื่องทุกเรื่องที่มันเกิดขึ้น ก็คือประสบการณ์อีกเรื่องในชีวิต มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามเหตุและผลของมัน ใครที่เคยเกิดเหตุการณ์คล้ายๆแนน ก็ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ ทุกอย่างมันมีเหตุผลในตัวของมัน เพียงแต่เราทำใจให้ได้ แล้วคิดซะว่า #สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดีเสมอ
แนนหวังว่าประสบการณ์ของแนนจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนที่อ่านจนจบ(กว่าจะจบรู้สึกยาวมาก555)
และตอนนี้แนนกำลังท้องอีกครั้งค่ะ สามารถติดตาม How to การเลี้ยงลูก การดูแลตัวเอง การรับมือตั้งแต่ท้อง ในแบบฉบับแนนเอง
ที่
เพจ คุณแม่ขี้บ่น (Grumpy Mommy) อย่าลืมมาเป็นกำลังใจและแชร์ประสบการ์เหล่าแม่ๆกันได้ที่เพจนี้นะคะ
แชร์ประสบการณ์เสียลูกในท้องตอน 8 เดือน มีสาเหตุและการรับมือยังไงบ้าง ?
ที่แนนตัดสินใจมาเขียนเพราะอยากแชร์ประสบการณ์ที่พีคที่สุดในชีวิต คือการเสียลูกในท้องตอน 8 เดือน เพราะคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆทุกคนที่เข้ามาอ่าน โดยเฉพาะกับคนที่กำลังมีเจ้าตัวน้อยหรือกำลังคิดจะมีค่ะ
งั้นเข้าเรื่องเลยละกันค่ะ
ท้องแรกของแนน... ได้ลูกสาวค่ะ ทุกคนที่บ้านดีใจกันหมดเรียกว่าเห่อมากค่ะ เพราะอีกไม่นานก็ได้เจอหน้าหลานสาวสุดที่รักกันแล้ว
หลังจากลูกในท้องจากไปตอน 8 เดือน ในเมื่อเหตุการณ์ไม่คาดคิดนี้มันเกิดขึ้นแล้วเราต้องทำตัวยังไงบ้าง อันดับแรกเลยคือต้อง “ทำใจ” รู้ค่ะว่ามันยาก แต่มันอยู่ที่ใจเราเลยค่ะ แนนคิดเสมอว่า #สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดีเสมอ เรื่องนี้ก็เช่นกัน ในความโชคร้ายนี้ มันต้องมีข้อดีสิเนอะ เช่น คนรอบข้างให้กำลังใจเยอะมากกก ทุกคนเป็นห่วง โดยเฉพาะครอบครัวเรา รู้เลยว่าวันที่เราทุกข์ที่สุด เสียใจที่สุด ก็ยังมีครอบครัวที่อยู่ข้างเรา ป่าป๊า หม่าม้า พี่น้อง ครอบครัวสามี ทุกคน ไม่มีใครโทษใคร ทุกคนบอกแต่ว่า ไม่เป็นไร รอคนใหม่ได้ อาม่ารอเลี้ยงหลานปีหน้าก็ได้ โอ้โห คำพูดพวกนี้มาทีไร น้ำตาแตกทุกที..
ขอย้อนเหตุการณ์ตอนตรวจของแนนอีกครั้งนะคะ คือ ลูกเสียตั้งแต่วันศุกร์ ไปหาหมอตามนัดปกติ หมอบอกว่า น้องหัวใจไม่เต้นแล้ว
แต่น่าจะไม่นาน ไม่เกิน 6 ชม. เพราะเลือดยังเกาะบริเวณหัวใจอยู่ (อันนี้แนนผิดเองที่ไม่ได้นับลูกดิ้นเดี๋ยวจะมาเล่านะคะว่านับลูกดิ้นยังไง) หลังจากที่หมอมั่นใจแล้วว่าลูกเสีย หมอก็นัดเรา วันอังคารไปที่โรงพยาบาล เพื่อแอดมิทเหน็บยา เพื่อที่จะ “คลอดธรรมชาติ” ซึ่งตอนแรกก็ตกใจเหมือนกัน ลูกก็ไม่มีชีวิตอยู่ในร่างกายเราเนี่ยนะ มันจะคลอดธรรมชาติได้ด้วยหรอ... คุณหมอเลยอธิบายว่า ร่างกายคนเราก็ดำเนินการตั้งครรภ์ไปปกตินั่นแหละ เพียงแต่ลูกไม่ได้ดึงจากเราไปใช้แล้วเท่านั้นเอง หมอบอกปกติจะอยู่ได้ประมาน 2 สัปดาห์ เกินกว่านั้นต้องรีบผ่าออก เพราะจะส่งผลต่อตัวแม่ ตอนแรกที่ไม่ผ่าให้เพราะหมอเค้าอยากให้ลองคลอดเองก่อน เพื่อเซฟหน้าท้องและมดลูกเอาไว้เผื่อท้องต่อไป เลยไม่อยากไปกรีดหรือผ่ามันออกค่ะ ตอนนั้นแนนก็สับสนว่าเอาไงดี เพื่อนแม่ที่สามีเค้าเป็นหมอ(แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นหมอด้านไหน) พอทราบข่าว เค้าก็มาบอกแม่แนนว่า ต้องผ่า ผ่าเลย ไม่ต้องรอ คือแม่เราก็ฟังมาว่าให้แนนผ่าคลอดเลย ความรู้สึกเค้าคือแบบเด็กคงตัวเขียว จะเน่ามั้ยในท้องเรา แต่แนนจากที่ฟังหมอ และลองหาข้อมูลดู เชื่อในสัญชาตญาณตัวเอง และปรึกษาสามีแล้ว เอาวะ!! ลองคลอดเองดู รักษาตัวเพื่อท้องถัดไป กัดฟัน ยืนยันกับผู้ใหญ่ว่าจะ คลอดเอง หลังจากนั้นก็เตรียมตัวไปโรงพยาบาล
ลำดับเหตุการณ์ง่ายๆ คือ ลูกเสียวันศุกร์ หมอนัดเข้าแอดมิทวันอังคารถัดไป มาวันแรกพยาบาลก็เริ่มเหน็บยาเพื่อให้ปากมดลูกบางลง ค่อยๆ บางลงจนมีที่ว่างพอให้เด็กออกมาได้ (เวลาคลอด ปากมดลูกต้องเปิดประมาน 10 ซม.) ซึ่งปากมดลูกจะบางเร็ว บางช้า ขึ้นอยู่กับร่างกายแต่ละคนเลยค่ะ แต่ของแนน 4 วัน !!! เหน็บยาทุก 6 ชม. ตั้งแต่วันอังคารจนถึงวันศุกร์ ระหว่างนั้นก็ไม่ทำอะไร นอกจาก นั่งนอนยืนเดินแต่ก็ยังมีลูกอยู่ในท้องนะคะ ท้องใหญ่อยู่ตลอดเวลา กินนอนผ่านไป 4 วัน ก็ยังไม่กี่ซม. เอง จนวันสุดท้าย วันพฤหัสบดี แนนคุยกับหมอว่า ไม่ไหวแล้วค่ะหมอ ผ่าก็ผ่าแล้วตอนนี้มันทรมาน มันไม่รู้จะยังไงต่อ มันหมดกำลังใจแล้ว หมอบอกขอรอดูพรุ่งนี้เช้า ขอรอดูวันศุกร์อีกที เราก็โอเค อีกวันละกัน ไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว
ตื่นมาอีกที ประมาน 6 โมงกว่า เหลือแค่พี่พยาบาลนั่งอยู่คนเดียว ได้ยินเสียงป๊าแนนกับสามีอยู่ข้างนอก ซักพักพยาบาลก็เข็นเราออกมา ถามว่าจะดูลูกมั้ย แนนปฏิเสธ ขอไม่เห็นดีกว่า ไม่อยากจำภาพติดตา แต่สามีแนนดู แล้วเค้าเล่าให้ฟังทีหลังว่า แก้มชมพู ปากแดง น่ารักเลยแหละ แล้วเค้าก็เงียบ ไม่พูดอะไรต่อ คงพูดต่อไม่ไหว ส่วนเรื่องเด็กจะมีพยาบาลมาแจ้งว่า เจ้าหน้าที่เก็บเด็กไว้ที่ห้องเย็นเพื่อรอญาตินำไปประกอบพิธีต่อ อันนี้เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ไปจัดการ
เช้าวันรุ่งขึ้นสามีกับพ่อแม่แนนก็เดินทางไปวัด ส่วนแนนยังต้องนอนรักษาตัวที่รพ. แนนก็ได้แต่ตั้งจิตอธิษฐานขอให้ลูกไปอยู่ในภพภูมิที่ดี ให้หนูได้กลับมาเกิดกับหม่าม้าใหม่เร็วๆ พอถึงช่วงสายๆ คุณหมอก็เข้ามาเยี่ยม หมอบอกว่าหลังจากที่คลอดแล้ว ก็พบสาเหตุว่า “สายสะดือตีบ”
หลังจากออกจาก รพ. แนนก็คือคนนึงที่คลอดลูก ร่างกายมนุษย์นี่มหัศจรรย์มาก คลอดเองร่างกายฟื้นเร็วมากค่ะ แต่!!! “น้ำนม” ผลิตออกมาด้วยค่ะ แล้วชั้นจะเอาไปทำอะไร 5555 หมอบอกว่า ร่างกายเราก็คงยังดำเนินไปตามกลไกของมัน หมอบอกต้องทน!! ทนเต้านมคัดตึง ทนเจ็บ ทนปวดให้ได้ ห้ามบีบ ห้ามปั๊มออก ให้นมมันแห้งไปเอง โอ้วโหว!!! ปวดมากกก ก. ไก่. แสนตัว แล้วเราก็ไม่รู้ แม่บ้านบอกว่า หลังคลอดให้กินขิงเยอะๆ เราก็กินไป 2 วัน เพิ่งมาอ่านเจอว่า กินขิงเพื่อบำรุงน้ำนมอีก โอ้ว 5555 พอเลย เลิกกินเลยไก่ผัดขิง โยนทิ้งไปเลยจ้า
มาถึงเรื่อง “การอยู่ไฟหลังคลอด” นี่ก็เป็นอีกกิจกรรมที่ต้องทำ แนนให้เค้ามาทำให้ที่บ้านเลย ของ บ้านกุลธิดาสมุนไพร นครราชสีมา มันสะดวก มันง่ายมาก เค้าจะเตรียมอุปกรณ์มาครบเลย เราแค่เตรียมสถานที่กับเตรียมตัวให้พร้อมเท่านั้นพอค่ะ แพ็คเกจที่แนนเลือกเป็นแพ็คเกจแบบใหญ่สุดคือ แพคเกจ 7 วัน วันละ 6 ชั่วโมง โอ้โห เหมือนตัวเองเป็นกุ้งแม่น้ำเลยค่ะ เครื่องสมุนไพรที่อาบตัวนั้น มันคือเครื่องต้มยำดีๆ นี่เอง 55555 ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูดมาเต็ม ตลบอบอวลไปทั้งบ้าน แต่แนนว่าการอยู่ไฟ มันช่วยเรื่องสุขภาพเราจริงๆนะคะ (เดี๋ยวท้องนี้ตอนทำจริงๆ เดี๋ยวจะมารีวิวให้ดู)
และตอนนี้แนนกำลังท้องอีกครั้งค่ะ สามารถติดตาม How to การเลี้ยงลูก การดูแลตัวเอง การรับมือตั้งแต่ท้อง ในแบบฉบับแนนเอง