ขออนุญาตแชร์ประสบการณ์การคลอดลูก (ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา) ที่จากเรื่องน่ายินดีที่เกือบจะกลายเป็นเรื่องเศร้า
เรื่องราวของเรามีอยู่ว่าเราต้องใช้ยาเร่งคลอดก่อนกำหนดคลอดจริงเกือบ 4 วีค เนื่องจากลูกสาวตัวโตกว่าค่าเฉลี่ยของเด็กอเมริกันทั่วไปแต่ยังไม่เกินค่ามาตรฐานสูงสุด น้ำหนักน้องตอนอยู่ในท้องก่อนคลอด 3.8 kg หมอบอกว่าถ้ารอให้ครบกำหนด น้ำหนักอาจจะถึง 4.5 kg แน่นอนซึ่งจะอันตรายต่อแม่ (แม่ตัวเล็กลูกตัวโต)
ช่วงก่อนคลอดต้องไปตรวจความพร้อมของน้องวันเว้นวันเลยค่ะ ต้องรอน้องพร้อมหายใจเอง ร่างกายทำงานได้เองโดยไม่ต้องเข้าตู้อบ เรารู้ล่วงหน้าแค่ 3 วันว่าต้องคลอดแล้วนะคิดว่าพอฉีดยาเร่งคลอด (ธรรมชาติ) เบ่งซัก 1-2 ชม. น่าจะเรียบร้อยอยู่รพต่ออีก 2 วันก็กลับบ้านพร้อมลูกสาวตัวน้อยแสนน่ารัก......แต่ความจริงที่เจอเป็นอะไรที่ผิดคาดมาก
3 วัน 3 คืนที่ต้องอยู่ในห้อง ICU กับ 3 การผ่าตัดใหญ่ใน 24 ชม. ไตวาย หัวใจล้มเหลว ปอดไม่ทำงาน สามีและสมาชิกในครอบครัวที่เมืองไทยร้องไห้กันตั้งแต่ผ่าตัดรอบ 2 เพราะเราไม่ฟื้นและหมอก็บอกว่าเราอาจจะไม่รอด แต่สามีและหมอไม่ยอมแพ้ตัดสินใจร่วมกันในการผ่าตัดอีกรอบที่ 3 หวังปาฏิหาริย์เกิดขึ้นและแล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นจริงๆ เรารอดมาแบบไม่น่าเชื่อ ซึ่งเคสเราดังไปทั้งโรงพยาบาลเพราะเคสแบบนี้เกิดขึ้นน้อยมากและน้อยคนที่รอดจากภาวะแบบเรา
สาเหตุที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นคือ ด้วยที่เราถูกเร่งให้คลอดก่อนกำหนดหลายสัปดาห์โดยใช้ยาเร่งให้คลอดธรรมชาติทั้งที่ไม่มีอาการพร้อมคลอด พอฉีดยาเร่งคลอด มดลูกบีบตัวจนเสียเลือดเยอะมาก หมอบอกว่า 2 ใน 3 ของร่างกาย เลยทำให้ร่างกายช๊อคจากการเสียเลือดมากเราเลยอยู่ในภาวะ DIC (Disseminated Intravascular Coagulation) หรือภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย คือ ภาวะที่กลไกการแข็งตัวของเลือดทำงานผิดปกติและเกิดการแพร่กระจายซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดลิ่มเลือด ที่ทำให้เส้นเลือดอุดตันทั้งแบบกึ่งเฉียบพลันหรือเรื้อรังลดการไหลเวียนของเลือดและอุดกั้นไม่ให้เลือดไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆในร่างกาย โดยความรุนแรงของโรคจะแตกต่างกันออกไปตั้งแต่การห้ามเลือดของร่างกายที่ผิดปกติ ไปจนถึงอวัยวะในร่างกายล้มเหลวและอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ (ที่มา:
https://www.pobpad.com/dic)
เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นหลังผ่าเอาน้องออกมาแล้ว ซึ่งน้องแข็งแรงสุขภาพดีและน้ำหนักดีมาก 3.7 kg จากที่วางแผนว่าจะคลอดธรรมชาติเองสุดท้ายต้องผ่าคลอด เนื่องจากน้องเอาหัวลงแต่หงายหน้าขึ้นและรกยังพันคอน้องด้วยหมอเลยตัดสินใจผ่าคลอดให้ค่ะ (ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาหากการคลอดธรรมชาติทำให้เกิดอันตรายต่อแม่หรือเด็ก หมอถึงจะผ่าคลอดให้ค่ะ เราไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะคลอดเองหรือผ่าคลอดต้องดูสถานะการณ์และให้หมอเป็นคนตัดสินใจค่ะ) จากที่คิดว่าจะไปอยู่โรงพยาบาล 3 วัน 2 คืนตามปกติหมือนคนอื่น กลับต้องไปอยู่ ICU 3 วัน 3 คืนและอยู่พักฟื้นที่โรงพยาบาลต่ออีก 5 วันเสบียงที่เตรียมไปเอาไปเท่าไหร่ขนกลับมาบ้านเท่านั้น สิ่งที่หมอให้กินคือ โค๊ก สไปร์ คุ๊กกี้ โอรีโอ้ เจลลี่ ขนมหวานๆ กินจนเลี่ยนเลยล่ะค่ะ กินยาก็ให้กินกับน้ำอัดลมเลยนะคะที่นี่
ตอนนี้ผ่านมา 4 เดือนแล้วค่ะ ร่างกายฟื้นตัวและกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมแล้ว ในช่วงแรกต้องไปเช็คค่าการทำงานของไต หัวใจ ปอดทุกสัปดาห์ เพราะณตอนนั้นยังไม่มีอะไรที่กลับมาทำงานปกติตามค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ใช้เวลา 2-3 เดือนเลยค่ะในการฟื้นตัวกลับมาเหมือนเดิม
ขอบคุณทีมคุณหมอจาก Bryan Medical Center หมอเก่งมากไม่ยอมแพ้และด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยทำให้เรารอดมาได้ โชคดีที่สามีเลือกหมอและโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในรัฐ ไม่งั้นคงไม่รอดแน่ๆ หมอบอกเคสแบบนี้ไม่มีใครรอดนะ ปาฏิหาริย์ล้วนๆ หมอบอกเป็นเพราะเราเป็นคนแข็งแรงมาตลอดด้วย ร่างกายเลยฟื้นตัวเองได้เร็ว#Bryan Medical Center#Lincoln#Nebraka#USA
ขอบคุณสามีที่เข้มแข็งคอยดูแลและอยู่ข้างๆไม่ห่างทั้งต้องดูแลลูกที่เพิ่งลืมตาดูโลกและดูแลภรรยาที่โคม่าอยู่บนเตียงในห้อง ICU พาหัดเดิน พาฝึกหายใจ พาเข้าห้องน้ำ อาบน้ำให้ เช็ดตัวให้ ทำแผลให้ ดูแลเราทุกอย่างจริงๆ ไหนจะเตรียมนม (สำเร็จรูป) ให้ลูกเปลี่ยนไดเพอร์ให้ลูก ไหนต้องตื่นนอนบ่อยๆ เพื่อป้อนนมลูก ทั้งไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ ทั้งเครียด ซึ่งบางครั้งเราเองก็คิดว่าเค้าผ่านช่วงเวลานั้นที่เราไม่มีสติได้อย่างไร (ช่วงที่เรากำลังผ่าตัดและอยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ) คือสามีต้องเข้มแข็งมากจริงๆ ถึงจะผ่านจุดนั้นมาได้ทำให้เรารู้เลยว่าเค้ารักเรามากแค่ไหน ณ ตอนนี้สามีก็ยังไม่พร้อมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาล เค้าบอกเค้าปวดใจทุกครั้งที่นึกถึงและอยากลืมเรื่องนี้และไม่ขอเล่ารายละเอียดให้เราฟัง
และตลอดเวลาที่ท้องเราเองได้บอกสามีเสมอว่า หากเกิดอะไรขึ้นให้ช่วยลูกก่อนเรา เราพร้อมแลกชีวิตกับลูก สามีบอกว่า เค้าจะไม่ยอมเสียใครไป เค้าจะทำทุกอย่างให้เรา 3 คนกลับบ้านด้วยกันอย่างปลอดภัยและสามีก็ทำตามที่เค้าพูดไว้เค้าทำทุกทางจริงๆ ที่ทำให้เราปลอดภัยและกลับบ้านด้วยกัน 3 คนพ่อแม่ลูก👨🏻🧑🏻👧🏻
หวังว่าเรื่องราวที่แชร์จะเป็นประโยชน์กับคุณแม่หลายๆท่านนะคะ ขอบคุณมากค่ะที่ให้พื้นที่ในการแชร์เรื่องราวในครั้งนี้
ประสบการณ์การคลอดลูก จากเรื่องน่ายินดีที่เกือบจะกลายเป็นเรื่องเศร้า
เรื่องราวของเรามีอยู่ว่าเราต้องใช้ยาเร่งคลอดก่อนกำหนดคลอดจริงเกือบ 4 วีค เนื่องจากลูกสาวตัวโตกว่าค่าเฉลี่ยของเด็กอเมริกันทั่วไปแต่ยังไม่เกินค่ามาตรฐานสูงสุด น้ำหนักน้องตอนอยู่ในท้องก่อนคลอด 3.8 kg หมอบอกว่าถ้ารอให้ครบกำหนด น้ำหนักอาจจะถึง 4.5 kg แน่นอนซึ่งจะอันตรายต่อแม่ (แม่ตัวเล็กลูกตัวโต)
ช่วงก่อนคลอดต้องไปตรวจความพร้อมของน้องวันเว้นวันเลยค่ะ ต้องรอน้องพร้อมหายใจเอง ร่างกายทำงานได้เองโดยไม่ต้องเข้าตู้อบ เรารู้ล่วงหน้าแค่ 3 วันว่าต้องคลอดแล้วนะคิดว่าพอฉีดยาเร่งคลอด (ธรรมชาติ) เบ่งซัก 1-2 ชม. น่าจะเรียบร้อยอยู่รพต่ออีก 2 วันก็กลับบ้านพร้อมลูกสาวตัวน้อยแสนน่ารัก......แต่ความจริงที่เจอเป็นอะไรที่ผิดคาดมาก
3 วัน 3 คืนที่ต้องอยู่ในห้อง ICU กับ 3 การผ่าตัดใหญ่ใน 24 ชม. ไตวาย หัวใจล้มเหลว ปอดไม่ทำงาน สามีและสมาชิกในครอบครัวที่เมืองไทยร้องไห้กันตั้งแต่ผ่าตัดรอบ 2 เพราะเราไม่ฟื้นและหมอก็บอกว่าเราอาจจะไม่รอด แต่สามีและหมอไม่ยอมแพ้ตัดสินใจร่วมกันในการผ่าตัดอีกรอบที่ 3 หวังปาฏิหาริย์เกิดขึ้นและแล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นจริงๆ เรารอดมาแบบไม่น่าเชื่อ ซึ่งเคสเราดังไปทั้งโรงพยาบาลเพราะเคสแบบนี้เกิดขึ้นน้อยมากและน้อยคนที่รอดจากภาวะแบบเรา
สาเหตุที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นคือ ด้วยที่เราถูกเร่งให้คลอดก่อนกำหนดหลายสัปดาห์โดยใช้ยาเร่งให้คลอดธรรมชาติทั้งที่ไม่มีอาการพร้อมคลอด พอฉีดยาเร่งคลอด มดลูกบีบตัวจนเสียเลือดเยอะมาก หมอบอกว่า 2 ใน 3 ของร่างกาย เลยทำให้ร่างกายช๊อคจากการเสียเลือดมากเราเลยอยู่ในภาวะ DIC (Disseminated Intravascular Coagulation) หรือภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย คือ ภาวะที่กลไกการแข็งตัวของเลือดทำงานผิดปกติและเกิดการแพร่กระจายซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดลิ่มเลือด ที่ทำให้เส้นเลือดอุดตันทั้งแบบกึ่งเฉียบพลันหรือเรื้อรังลดการไหลเวียนของเลือดและอุดกั้นไม่ให้เลือดไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆในร่างกาย โดยความรุนแรงของโรคจะแตกต่างกันออกไปตั้งแต่การห้ามเลือดของร่างกายที่ผิดปกติ ไปจนถึงอวัยวะในร่างกายล้มเหลวและอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ (ที่มา: https://www.pobpad.com/dic)
เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นหลังผ่าเอาน้องออกมาแล้ว ซึ่งน้องแข็งแรงสุขภาพดีและน้ำหนักดีมาก 3.7 kg จากที่วางแผนว่าจะคลอดธรรมชาติเองสุดท้ายต้องผ่าคลอด เนื่องจากน้องเอาหัวลงแต่หงายหน้าขึ้นและรกยังพันคอน้องด้วยหมอเลยตัดสินใจผ่าคลอดให้ค่ะ (ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาหากการคลอดธรรมชาติทำให้เกิดอันตรายต่อแม่หรือเด็ก หมอถึงจะผ่าคลอดให้ค่ะ เราไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะคลอดเองหรือผ่าคลอดต้องดูสถานะการณ์และให้หมอเป็นคนตัดสินใจค่ะ) จากที่คิดว่าจะไปอยู่โรงพยาบาล 3 วัน 2 คืนตามปกติหมือนคนอื่น กลับต้องไปอยู่ ICU 3 วัน 3 คืนและอยู่พักฟื้นที่โรงพยาบาลต่ออีก 5 วันเสบียงที่เตรียมไปเอาไปเท่าไหร่ขนกลับมาบ้านเท่านั้น สิ่งที่หมอให้กินคือ โค๊ก สไปร์ คุ๊กกี้ โอรีโอ้ เจลลี่ ขนมหวานๆ กินจนเลี่ยนเลยล่ะค่ะ กินยาก็ให้กินกับน้ำอัดลมเลยนะคะที่นี่
ตอนนี้ผ่านมา 4 เดือนแล้วค่ะ ร่างกายฟื้นตัวและกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมแล้ว ในช่วงแรกต้องไปเช็คค่าการทำงานของไต หัวใจ ปอดทุกสัปดาห์ เพราะณตอนนั้นยังไม่มีอะไรที่กลับมาทำงานปกติตามค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ใช้เวลา 2-3 เดือนเลยค่ะในการฟื้นตัวกลับมาเหมือนเดิม
ขอบคุณทีมคุณหมอจาก Bryan Medical Center หมอเก่งมากไม่ยอมแพ้และด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยทำให้เรารอดมาได้ โชคดีที่สามีเลือกหมอและโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในรัฐ ไม่งั้นคงไม่รอดแน่ๆ หมอบอกเคสแบบนี้ไม่มีใครรอดนะ ปาฏิหาริย์ล้วนๆ หมอบอกเป็นเพราะเราเป็นคนแข็งแรงมาตลอดด้วย ร่างกายเลยฟื้นตัวเองได้เร็ว#Bryan Medical Center#Lincoln#Nebraka#USA
ขอบคุณสามีที่เข้มแข็งคอยดูแลและอยู่ข้างๆไม่ห่างทั้งต้องดูแลลูกที่เพิ่งลืมตาดูโลกและดูแลภรรยาที่โคม่าอยู่บนเตียงในห้อง ICU พาหัดเดิน พาฝึกหายใจ พาเข้าห้องน้ำ อาบน้ำให้ เช็ดตัวให้ ทำแผลให้ ดูแลเราทุกอย่างจริงๆ ไหนจะเตรียมนม (สำเร็จรูป) ให้ลูกเปลี่ยนไดเพอร์ให้ลูก ไหนต้องตื่นนอนบ่อยๆ เพื่อป้อนนมลูก ทั้งไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ ทั้งเครียด ซึ่งบางครั้งเราเองก็คิดว่าเค้าผ่านช่วงเวลานั้นที่เราไม่มีสติได้อย่างไร (ช่วงที่เรากำลังผ่าตัดและอยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ) คือสามีต้องเข้มแข็งมากจริงๆ ถึงจะผ่านจุดนั้นมาได้ทำให้เรารู้เลยว่าเค้ารักเรามากแค่ไหน ณ ตอนนี้สามีก็ยังไม่พร้อมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาล เค้าบอกเค้าปวดใจทุกครั้งที่นึกถึงและอยากลืมเรื่องนี้และไม่ขอเล่ารายละเอียดให้เราฟัง
และตลอดเวลาที่ท้องเราเองได้บอกสามีเสมอว่า หากเกิดอะไรขึ้นให้ช่วยลูกก่อนเรา เราพร้อมแลกชีวิตกับลูก สามีบอกว่า เค้าจะไม่ยอมเสียใครไป เค้าจะทำทุกอย่างให้เรา 3 คนกลับบ้านด้วยกันอย่างปลอดภัยและสามีก็ทำตามที่เค้าพูดไว้เค้าทำทุกทางจริงๆ ที่ทำให้เราปลอดภัยและกลับบ้านด้วยกัน 3 คนพ่อแม่ลูก👨🏻🧑🏻👧🏻
หวังว่าเรื่องราวที่แชร์จะเป็นประโยชน์กับคุณแม่หลายๆท่านนะคะ ขอบคุณมากค่ะที่ให้พื้นที่ในการแชร์เรื่องราวในครั้งนี้