เป็นนิยายที่ผมแต่งเองนะครับ แต่อิงกับกับตำนานหลายๆที่เอามารวมๆกันด้วย จึงไม่ได้ตรงกับตำนานเรื่องใดๆเต็มร้อย ถ้าทำให้ผู้อ่านท่านใดขัดข้องหมองใจ ผมต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้นะครับ
ปล. ต้องโพสเป็นคำถามนะครับ ทำเป็นกระทู้สนทนาไม่ได้
***********************************************************
ยุคที่ 1
ณ ดินแดนที่ต่อไปจะกลายเป็นโลก ในยุคแรกเริ่มนั้นผื่นน้ำยังกว้างใหญ่เสมอกันไร้แผ่นดินแลไร้ก้นบึ้ง รสน้ำนั้นจืดสนิทเป็นรสเดียว อากาศเหนือผิวน้ำอุ่นแน่นจนหมู่ปลาสามารถขึ้นมาหายใจเหนือน้ำได้ และ ณ ใจกลางมวลน้ำนั้น น้ำทั้งมวลอัดแน่นจนเป็นของแข็งแลหมุนวน ไม่มีปลาใดเคยเข้าไปถึงใจกลางเพราะเพียงเฉียดใกล้ก็จักตกใจในเสียงดังและแรงเหวี่ยงของน้ำก็รุนแรงจนยากที่จะฝ่าผ่านไปได้
ในกาลนั้นมีหมู่สัตว์น้ำหลากหลายจนไม่อาจประมาณได้ บ้างใหญ่เป็นโยชน์ บ้างเล็กจนไม่อาจมองเห็น บ้างมีฤทธิ์ บ้างไร้ฤทธิ์ หน้าตาของพวกมันนั้นสุดจะคาดคิด หากแต่จะพอจำแนกเป็นพวกด้วยสีได้ดังนี้
1. พวกสีขาว สัตว์ใดยิ่งมีสีขาวมากสัตว์เหล่านั้นก็จะยิ่งมีพละกำลังมาก อุปนิสัยเย่อหยิ่ง
2. พวกสีแดง สัตว์ใดยิ่งมีสีแดงมากสัตว์นั้นยิ่งมีความรวดเร็วมาก อุปนิสัยใจร้อน
3. สีน้ำเงิน สัตว์ใดยิ่งมีสีน้ำเงินมากร่างกายจะยิ่งแข็งกระด้างมาก อุปนิสัยเยือกเย็น
4. สีดำ สัตว์ใดยิ่งมีสีดำมากจะยิ่งมีปัญญามาก อุปนิสัยฉลาดเฉลียว
5. สีเหลือง สัตว์ใดมีสีเหลืองจะไม่โดดเด่นหากแต่ยิ่งเหลืองจนถึงทองความสามารถด้านต่างๆจะยิ่งสมดุล อุปนิสัยเรียบง่าย
ในบรรดาสัตว์ทั้งปวงมีเผ่าพันธุ์ที่ใหญ่โตที่สุดอยู่ 7 เผ่า
1. ติมิ ขนาด 200 โยชน์ ผิวปล้องสีเขียวแมลงทับ หัวเหมือนด้วงกว่าง ปีกเหมือนแมลงทับ ลำตัวเหมือนแมลงป่อง ปล้องหางรองสุดท้ายแตกได้เหมือนแมลงก้นกระดก ปล้องสุดท้ายมีเหล็กในแหลมเหมือนต่อ เป็นสัตว์สังคม กินมูลสัตว์และซากสัตว์ ลักษณะการออกลูกมากเหมือนมด
2. ติมิงคละ ขนาด 300 โยชน์ ผิวกระดองสีไข่ไก่ ไม่มีหัวลำตัวเป็นปล้อง ปล้องแรกมีกระดองแข็งยิ่งกว่าเพชรมีก้ามและกรรเชียงเหมือนปู ปล้องที่สองมีก้ามสับเหมือนกั้ง ปล้องที่เหลือเหมือนกุ้ง มักกินซากสัตว์ เป็นสัตว์อยู่เป็นฝูง ลักษณะการออกลูกเหมือนปู
3. ติมิงปิงคละ ขนาด 400 โยชน์ ลำตัวสีชมพูระเรื่อ อ่อนนุ่มเหมือนหอยทาก มีเปลือกเหมือนหอยงวงช้าง เปลือกนั้นสามารถเปลี่ยนสีได้ตามใจนึก มีหนวดนับร้อยเหมือนแมงกะพรุน ในหนวดแต่ละเส้นมีขนพิษ มีเข็มพิษแหลมเล่มหนึ่งเหมือนหอยเต้าปูนลายแผนที่ มักกินมูลสัตว์หรือซากสัตว์เป็นอาหาร ลักษณะการออกลูกมากเหมือนหอยเชอร์รี่
4. อานนท์ ขนาดเมื่อขดตัว 1000 โยชน์ ขนาดเมื่อยืดเต็มความยาวจะยาว 1800 โยชน์ ขนาดลำตัว 500 โยชน์ ผิวสีไข่มุกแทรมคราม หัวและลำตัวเหมือนงู กำลังมากขนาดบีบเพชรแตกเป็นผงได้ มีเขี้ยวพิษ สามารถปล่อยพิษได้หลากหลาย มีพังพานซึ่งมีปานสีดำขลับสองข้างเหมือนตาทราย ครีบและหางสยายเหมือนปลากัดสีเป็นสีเงินวาวเหมือนเหล็กไหล ยามต้องแสงจักทอประกายเหมือนฟองน้ำโบกสะบัดเหมือนแสงเหนือ กินได้ทุกสิ่ง ลักษณะการออกลูกเหมือนงูทะเล
5. ติมินท์ ขนาด 1200 โยชน์ ผิวสีเหลืองทอง หัวเหมือนนกกระยาง ผิวและขนมันเหมือนนกเพนกวิน มีปีกสองคู่ คู่หน้าเหมือนอินทรี คู่หลังเหมือนเพนกวิน กรงเล็บเหมือนเหยี่ยว ขนหางเหมือนนกยูงมีหางเหมือนพะยูนไทย มักกินติมิ ติมิงคละ ติมิงปิงคละ เป็นอาหาร ลักษณะการออกลูกเหมือนนกอินทรี
6. อัชฌโรหะ ขนาด 1500 โยชน์ ผิวสีดอกเฟื่องฟ้า หัวเหมือนหมูป่า ฟันเหมือนเสือ มีนอเหมือนแรด มีเขาสองคู่ คู่หนึ่งยืนมาข้างหน้าเหมือนเขาแพะภูเขา คู่หลังเหมือนเขาควาย กลางกระหม่อมมีผิวหนังแข็งหนายิ่งกว่าเพชร ขาคู่หน้าเหมือนช้าง ขาคู่หลังเหมือนวาฬ มีปีกเหมือนค้างคาว ลำตัวเป็นผิวหนาเหมือนแรด มีหางเหมือนวาฬ มักกินติมิ ติมิงคละ ติมิงปิงคละ เป็นอาหาร ลักษณะการออกลูกเหมือนวาฬ
7. มหาติมิ ขนาด 2000 โยชน์ ผิวสีเขียวขนนกยูง มีกระดองเหมือนเต่าและแข็งยิ่งกว่าเพชร ขาหน้าเหมือนตะกวด ขาหลังเหมือนใบพาย มีหัวเหมือนเต่าสามารถพ่นลำแสงร้อนได้ สามารถแผ่แผงคอได้แลแผงคอนั้นสามารถเปล่งแสงได้เหมือนพระอาทิตย์ มักกินซากสัตว์เป็นอาหาร ออกลูกเหมือนเต่ามะเฟือง
สัตว์แต่ละเผ่ามีกำลังและอิทธิฤทธิ์เหนือสัตว์ทั้งปวง
กระทั้งเวลาผ่านเลยไปเนินนาน เหล่าปลามหาติมินั้นเป็นสัตว์รักสงบเมื่อเห็นการล่าและการฆ่ามากๆเข้าจิตใจก็เริ่มเวทนามากพวกมันจึงจำศีลและละวางสิ่งทั้งปวงก่อนจะหลุดพ้นกายหยาบและละทิ้งร่างเนื้อให้จมลงสู่ใจกลางผืนน้ำ ทว่าด้วยขนาดตัวที่มหึมาและจำนวนที่มากมายนั้นเองทำให้เมื่อจมลงไปมากๆเข้าทำให้แรงเหวี่ยงของใจกลางน้ำที่ขับเคลื่อนการไหลเวียนของน้ำทั่วโลกถูกขัดขวาง น้ำรอบนอกจึงไหลเวียนช้าลงทำให้ระบบนิเวศน์เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ
เมื่อแรกที่มหาติมิหายไปจากธรรมชาติทำให้เหล่าซากสัตว์ที่เป็นอาหารของมหาติมินั้นเพิ่มจำนวนมากขึ้น ติมิ ติมิงคละ ติมิงปิงคละนั้นกินอาหารเช่นเดียวกับมหาติมิ เมื่ออาหารเพิ่มมากขึ้นในช่วงแรกทำให้พวกมันเริ่มขยายเผ่าพันธุ์มากขึ้น
เมื่อ ติมิ ติมิงคละ ติมิงปิงคละ เพิ่มมากขึ้น ผู้ล่าอย่างอานนท์ ติมินท์และ อัชฌโรหะก็เพิ่มจำนวนขึ้นตาม โดยเฉพาะ อานนท์ ที่ออกลูกได้คราวละมากๆ ก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่ปริมาณอาหารนั้นเพิ่มขึ้นแค่ช่วงแรกๆเท่านั้น เมื่อจำนวนผู้ล่าเพิ่มขึ้น และระบบนิเวศน์ที่เปลี่ยนไปทำให้ปริมาณของอาหารลดลงตามลำดับ จำนวนของ ติมิ ติมิงคละ ติมิงปิงคละ จึงค่อยๆลดลง พวกมันเริ่มอดอยากและค่อยๆตายลง เศษซากของพวกมันจมลงสู่ใจกลางน้ำอย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้แรงเหวี่ยงจากใจกลางน้ำส่งขึ้นมาสู่ผืนน้ำชั้นนอกยากขึ้นทุกที
ติมิ ติมิงคละ ติมิงปิงคละ หายไปจากเขตแดนของปลาอานนท์ก่อนที่อื่น เหล่าอานนท์จึงเริ่มลุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของ ฝูงอัชฌโรหะ และติมินท์ ทีละน้อย เผ่าพันธุ์ปลาทั้งสองเมื่อถูกเบียดเบียนหนักเข้าก็ทนไม่ได้ พวกมันต่างเข้าขับไล่ปลาอานนท์ออกจากพื้นที่ของตนเอง
[นิยาย][เรื่องสั้น]ปกรณัมกำเนิดโลก ยุคที่ 1
ปล. ต้องโพสเป็นคำถามนะครับ ทำเป็นกระทู้สนทนาไม่ได้
***********************************************************
ยุคที่ 1
ณ ดินแดนที่ต่อไปจะกลายเป็นโลก ในยุคแรกเริ่มนั้นผื่นน้ำยังกว้างใหญ่เสมอกันไร้แผ่นดินแลไร้ก้นบึ้ง รสน้ำนั้นจืดสนิทเป็นรสเดียว อากาศเหนือผิวน้ำอุ่นแน่นจนหมู่ปลาสามารถขึ้นมาหายใจเหนือน้ำได้ และ ณ ใจกลางมวลน้ำนั้น น้ำทั้งมวลอัดแน่นจนเป็นของแข็งแลหมุนวน ไม่มีปลาใดเคยเข้าไปถึงใจกลางเพราะเพียงเฉียดใกล้ก็จักตกใจในเสียงดังและแรงเหวี่ยงของน้ำก็รุนแรงจนยากที่จะฝ่าผ่านไปได้
ในกาลนั้นมีหมู่สัตว์น้ำหลากหลายจนไม่อาจประมาณได้ บ้างใหญ่เป็นโยชน์ บ้างเล็กจนไม่อาจมองเห็น บ้างมีฤทธิ์ บ้างไร้ฤทธิ์ หน้าตาของพวกมันนั้นสุดจะคาดคิด หากแต่จะพอจำแนกเป็นพวกด้วยสีได้ดังนี้
1. พวกสีขาว สัตว์ใดยิ่งมีสีขาวมากสัตว์เหล่านั้นก็จะยิ่งมีพละกำลังมาก อุปนิสัยเย่อหยิ่ง
2. พวกสีแดง สัตว์ใดยิ่งมีสีแดงมากสัตว์นั้นยิ่งมีความรวดเร็วมาก อุปนิสัยใจร้อน
3. สีน้ำเงิน สัตว์ใดยิ่งมีสีน้ำเงินมากร่างกายจะยิ่งแข็งกระด้างมาก อุปนิสัยเยือกเย็น
4. สีดำ สัตว์ใดยิ่งมีสีดำมากจะยิ่งมีปัญญามาก อุปนิสัยฉลาดเฉลียว
5. สีเหลือง สัตว์ใดมีสีเหลืองจะไม่โดดเด่นหากแต่ยิ่งเหลืองจนถึงทองความสามารถด้านต่างๆจะยิ่งสมดุล อุปนิสัยเรียบง่าย
ในบรรดาสัตว์ทั้งปวงมีเผ่าพันธุ์ที่ใหญ่โตที่สุดอยู่ 7 เผ่า
1. ติมิ ขนาด 200 โยชน์ ผิวปล้องสีเขียวแมลงทับ หัวเหมือนด้วงกว่าง ปีกเหมือนแมลงทับ ลำตัวเหมือนแมลงป่อง ปล้องหางรองสุดท้ายแตกได้เหมือนแมลงก้นกระดก ปล้องสุดท้ายมีเหล็กในแหลมเหมือนต่อ เป็นสัตว์สังคม กินมูลสัตว์และซากสัตว์ ลักษณะการออกลูกมากเหมือนมด
2. ติมิงคละ ขนาด 300 โยชน์ ผิวกระดองสีไข่ไก่ ไม่มีหัวลำตัวเป็นปล้อง ปล้องแรกมีกระดองแข็งยิ่งกว่าเพชรมีก้ามและกรรเชียงเหมือนปู ปล้องที่สองมีก้ามสับเหมือนกั้ง ปล้องที่เหลือเหมือนกุ้ง มักกินซากสัตว์ เป็นสัตว์อยู่เป็นฝูง ลักษณะการออกลูกเหมือนปู
3. ติมิงปิงคละ ขนาด 400 โยชน์ ลำตัวสีชมพูระเรื่อ อ่อนนุ่มเหมือนหอยทาก มีเปลือกเหมือนหอยงวงช้าง เปลือกนั้นสามารถเปลี่ยนสีได้ตามใจนึก มีหนวดนับร้อยเหมือนแมงกะพรุน ในหนวดแต่ละเส้นมีขนพิษ มีเข็มพิษแหลมเล่มหนึ่งเหมือนหอยเต้าปูนลายแผนที่ มักกินมูลสัตว์หรือซากสัตว์เป็นอาหาร ลักษณะการออกลูกมากเหมือนหอยเชอร์รี่
4. อานนท์ ขนาดเมื่อขดตัว 1000 โยชน์ ขนาดเมื่อยืดเต็มความยาวจะยาว 1800 โยชน์ ขนาดลำตัว 500 โยชน์ ผิวสีไข่มุกแทรมคราม หัวและลำตัวเหมือนงู กำลังมากขนาดบีบเพชรแตกเป็นผงได้ มีเขี้ยวพิษ สามารถปล่อยพิษได้หลากหลาย มีพังพานซึ่งมีปานสีดำขลับสองข้างเหมือนตาทราย ครีบและหางสยายเหมือนปลากัดสีเป็นสีเงินวาวเหมือนเหล็กไหล ยามต้องแสงจักทอประกายเหมือนฟองน้ำโบกสะบัดเหมือนแสงเหนือ กินได้ทุกสิ่ง ลักษณะการออกลูกเหมือนงูทะเล
5. ติมินท์ ขนาด 1200 โยชน์ ผิวสีเหลืองทอง หัวเหมือนนกกระยาง ผิวและขนมันเหมือนนกเพนกวิน มีปีกสองคู่ คู่หน้าเหมือนอินทรี คู่หลังเหมือนเพนกวิน กรงเล็บเหมือนเหยี่ยว ขนหางเหมือนนกยูงมีหางเหมือนพะยูนไทย มักกินติมิ ติมิงคละ ติมิงปิงคละ เป็นอาหาร ลักษณะการออกลูกเหมือนนกอินทรี
6. อัชฌโรหะ ขนาด 1500 โยชน์ ผิวสีดอกเฟื่องฟ้า หัวเหมือนหมูป่า ฟันเหมือนเสือ มีนอเหมือนแรด มีเขาสองคู่ คู่หนึ่งยืนมาข้างหน้าเหมือนเขาแพะภูเขา คู่หลังเหมือนเขาควาย กลางกระหม่อมมีผิวหนังแข็งหนายิ่งกว่าเพชร ขาคู่หน้าเหมือนช้าง ขาคู่หลังเหมือนวาฬ มีปีกเหมือนค้างคาว ลำตัวเป็นผิวหนาเหมือนแรด มีหางเหมือนวาฬ มักกินติมิ ติมิงคละ ติมิงปิงคละ เป็นอาหาร ลักษณะการออกลูกเหมือนวาฬ
7. มหาติมิ ขนาด 2000 โยชน์ ผิวสีเขียวขนนกยูง มีกระดองเหมือนเต่าและแข็งยิ่งกว่าเพชร ขาหน้าเหมือนตะกวด ขาหลังเหมือนใบพาย มีหัวเหมือนเต่าสามารถพ่นลำแสงร้อนได้ สามารถแผ่แผงคอได้แลแผงคอนั้นสามารถเปล่งแสงได้เหมือนพระอาทิตย์ มักกินซากสัตว์เป็นอาหาร ออกลูกเหมือนเต่ามะเฟือง
สัตว์แต่ละเผ่ามีกำลังและอิทธิฤทธิ์เหนือสัตว์ทั้งปวง
กระทั้งเวลาผ่านเลยไปเนินนาน เหล่าปลามหาติมินั้นเป็นสัตว์รักสงบเมื่อเห็นการล่าและการฆ่ามากๆเข้าจิตใจก็เริ่มเวทนามากพวกมันจึงจำศีลและละวางสิ่งทั้งปวงก่อนจะหลุดพ้นกายหยาบและละทิ้งร่างเนื้อให้จมลงสู่ใจกลางผืนน้ำ ทว่าด้วยขนาดตัวที่มหึมาและจำนวนที่มากมายนั้นเองทำให้เมื่อจมลงไปมากๆเข้าทำให้แรงเหวี่ยงของใจกลางน้ำที่ขับเคลื่อนการไหลเวียนของน้ำทั่วโลกถูกขัดขวาง น้ำรอบนอกจึงไหลเวียนช้าลงทำให้ระบบนิเวศน์เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ
เมื่อแรกที่มหาติมิหายไปจากธรรมชาติทำให้เหล่าซากสัตว์ที่เป็นอาหารของมหาติมินั้นเพิ่มจำนวนมากขึ้น ติมิ ติมิงคละ ติมิงปิงคละนั้นกินอาหารเช่นเดียวกับมหาติมิ เมื่ออาหารเพิ่มมากขึ้นในช่วงแรกทำให้พวกมันเริ่มขยายเผ่าพันธุ์มากขึ้น
เมื่อ ติมิ ติมิงคละ ติมิงปิงคละ เพิ่มมากขึ้น ผู้ล่าอย่างอานนท์ ติมินท์และ อัชฌโรหะก็เพิ่มจำนวนขึ้นตาม โดยเฉพาะ อานนท์ ที่ออกลูกได้คราวละมากๆ ก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่ปริมาณอาหารนั้นเพิ่มขึ้นแค่ช่วงแรกๆเท่านั้น เมื่อจำนวนผู้ล่าเพิ่มขึ้น และระบบนิเวศน์ที่เปลี่ยนไปทำให้ปริมาณของอาหารลดลงตามลำดับ จำนวนของ ติมิ ติมิงคละ ติมิงปิงคละ จึงค่อยๆลดลง พวกมันเริ่มอดอยากและค่อยๆตายลง เศษซากของพวกมันจมลงสู่ใจกลางน้ำอย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้แรงเหวี่ยงจากใจกลางน้ำส่งขึ้นมาสู่ผืนน้ำชั้นนอกยากขึ้นทุกที
ติมิ ติมิงคละ ติมิงปิงคละ หายไปจากเขตแดนของปลาอานนท์ก่อนที่อื่น เหล่าอานนท์จึงเริ่มลุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของ ฝูงอัชฌโรหะ และติมินท์ ทีละน้อย เผ่าพันธุ์ปลาทั้งสองเมื่อถูกเบียดเบียนหนักเข้าก็ทนไม่ได้ พวกมันต่างเข้าขับไล่ปลาอานนท์ออกจากพื้นที่ของตนเอง