ไขปริศนาพระธาตุอิงฮัง​

พระธาตุที่ได้ชื่อว่าเป็นฝาแฝดกับพระธาตุพนมนี้​ แท้จริงแล้วคือปราสาทศิลปะขอม+จาม​ ในพุทธศตวรรษ​ที่​ 13-15


                โดยเมื่อแรกสร้างนั้นเป็นปราสาทในศิลปะขอมแบบไพรกเม็ง​ ในพุทธศตวรรษ​ที่​ 13​ โดยเราสามารถพิจารณาดูได้จากเรือนธาตุชั้นที่​ 2​ และชั้นที่​ 3​ ซึ่งซุ้มประตูยังคงเป็นซุ้มโค้งแบบกูฑุ​ และขนาบสองข้างยังมีการประดับด้วยวิมานลอย​ซึ่งมีนกหัสดีลิงค์กางปีกรับตัววิมานไว้​ ตัวนกหัสดีลิงค์แบกนี้ไม่มีในศิลปะขอมโบราณ​ พบแต่ในคติชาวล้านช้างและล้านนา​ แต่เดิมคงจะเป็นภาพฝูงหงส์ตัวเล็กกำลังบินอยู่ใต้วิมาน​ เพื่อแสดงให้เห็นว่าวิมานกำลังลอยอยู่ในอากาศ​ แต่สมัยล้านช้างได้มีการพอกปูนปั้นทับของเก่าเอาไว้​ และที่มุมฐานของเรือนธาตุที่เป็นศิขระ​ (ชั้นที่​ 2-3) ยังมีการประดับปราสาทหรือยอดประสาทจำลองไว้ด้วย​ ซึ่งเป็นรูปแบบพื้นฐานของปราสาททุกๆ​ ศิลปะ​ในเอเชีย​







            วิมานลอยศิลปะไพรกเม็ง​ พุทธศตวรรษ​ที่​12

            ต่อมา​ ประมาณพุทธศตวรรษ​ที่​ 14-15​ อิทธิพลจามได้แผ่ไปถึงกัมพูชาและขึ้นมาถึงภาคใต้ของลาว​ ทำให้ปราสาท​ (ธาตุอิงฮัง)​ นี้​ได้รับการบูรณะปรับปรุงอีกครั้งในเรือนธาตุชั้นชั้นที่​ 1​ โดยปรับเปลี่ยนวิมานลอยแบบขอมก่อนพระนครให้เป็น​ วิมานสูงยาว​ มีทวารบาลประทับยืนอยู่ในตัววิมาน​ ซึ่งลักษณะของซุ้มวิมานในเรือนธาตุชั้นนี้มีความใกล้เคียงกับวิมาน​ในศิลปะจามหมี่เซิน​ A1​ ​ช่วงพุทธศตวรรษ​ที่​ 15​ อย่างมาก​ ซึ่งในช่วงนี้ศิลปะขอมเองก็ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของปราสาทให้เป็นภาพทวารบาลยืนอยู่ในวิมานเช่นเดียวกัน​ เช่น​ ปราสาทพระโค​ ปราสาทโลเลย  ปราสาทบากอง ศิลปะขอมแบบพระโค​ แต่ที่พระธาตุอิงฮังกลับไปมีความใกล้เคียงกับศิลปะจามมากกว่า​ ดังรูปภาพ



            วิมานมีทวารบาลยืนอยู่ภายใน​ ลักษณะซุ้มรับอิทธิพลจากศิชปะจามหมี่เซิน​ A1​ ในพุทธศตวรรษ​ที่​ 15​ ตรงยอดซุ้มประดับด้วยตาบขนาดใหญ่ซึ่งรับอิทธิพลมาจากชวาอีกทอดหนึ่ง




                ซุ้มที่ปราสาทหมี่เซิน​ ศิลปะหมี่เซิน​ A1​ พุทธศตวรรษ​ที่​ 15

                                ปราสาทถูกทิ้งร้างหลายร้อยปี​ ต่อมาในยุคสมัยล้านช้าง​ ราวพุทธศตวรรษ​ที่​ 20-21​ อาณาจักรชวา​ (หลวงพระบาง)​ ได้แยกออกมาเป็นอาณาสองอาณาจักร​ คือ​ อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางและอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์​ ทำให้ช่วงนี้ชนชาติลาวที่เคยตั้งถิ่นฐานอยู่ทางเหนือก็ถอยลงมาจนถึงทางใต้​  โดยในช่วงนี้​ กษัตริย์​ลาวพระนามว่า​ "พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช" ได้เสด็จลงมาบูรณะปราสาทในศิลปะพราหมณ์ฮินดูนี้อีกครั้ง​ ด้วยการพอกปูน​ ปั้นปูนทับศิลปะดั้งเดิมเดิมเกือบหมด​ทั้งหลัง​ (ยังเห็นร่องรอยศิลปะจามอยู่บ้าง)​ และเสริมยอดปราสาทให้กลายเป็นพระธาตุแบบศิลปะลาว​ ทำให้สถานะของปราสาทถูกเปลี่ยนแปลงมาเป็นพระธาตุในที่สุด​ ในช่วงพุทธศตวรรษ​ที่​ 22​ และมีการบูรณะครั้งใหญ่สมัยเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก​ ในพุทธศตวรรษที่​ 23  หลังจากนั้นก็มีการเรื่อยมาจนถึงยุคสมัยปัจจุบัน​
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่