นวนิยาย: "ปากกาเลือด"
คำโปรย: เมื่อคนหนึ่งเขียนบทกวีด้วยความรักและสำนึกผิดต่อดวงวิญญาณผู้จากไป
หากอีกคนมีบทกวีไว้เพื่อเขียนระบายความแค้นและต้องการทวงคืนชีวิตของผู้จากไป
โดยมีจุดสีแดงขนาดเท่าปลายปากกาเป็นรหัสปริศนา หากมองเผินๆจะเห็นเป็นรอยหมึกปากกาแดง
แต่หากพิจารณาให้ละเอียดแล้ว รอยแดงนั้นคือ เลือด
“ปากกาเลือด” ตอนที่ 1
“พี่ลองอ่านงานชิ้นนี้สิ รอยว่าดูแปลกๆนะคะ” หญิงสาวพูดพร้อมยื่นกระดาษในมือให้อีกฝ่าย ชายหนุ่มรับมาอ่านอย่างไม่ใส่ใจนัก บทกวีของนักศึกษาผู้เข้าอบรมการเขียน ส่วนมากถ้าไม่เป็นเรื่องชมธรรมชาติ ก็จะเป็นเรื่องความรัก ศักดิ์รวีก้มหน้าลงอ่านเพื่อหมายเพียงผ่านตา
“สิ่งที่คุณทำไว้ใครไม่รู้...ณ ที่ภูกระดึงครั้งหนึ่งนั่น
ชีพหนึ่งล่วงลับดับชีวัน...ความแค้นนั้นนับล้านเท่าจะเอาคืน”
เมื่ออ่านจบ ยังมิทันได้ทบทวน กระดาษในมือกวีหนุ่มร่วงลงพื้น ใบหน้าคมสันดวงตาที่เคยทอประกายเชื่อมั่นบัดนี้ซีดขาวราวกระดาษแผ่นนั้น รอยทราย กวีสาวรุ่นน้องเห็นดังนั้นก็สบตาชายหนุ่ม
“อาจบังเอิญก็ได้มั้งพี่ น้องคนนี้เธออาจเขียนถึงเพื่อนหรือคนรักที่เคยทำให้เธอเสียใจก็ได้” ศักดิ์รวีพยักยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เขาฝืนปั้นแต่งเพื่อปลอบใจตน
รอยทรายหยิบผลงานปริศนาขึ้นมาจากพื้น เธอพินิจลายมือ พลิกหน้าพลิกหลังเพื่อหาร่องรอยของผู้เขียนแต่ก็หามีไม่ หญิงสาวสอดส่ายสายตาไปยังกลุ่มนักศึกษาผู้เข้าอบรมที่ทยอยมานั่งประจำที่เพื่อฟังวิทยากรบรรยายและคอมเมนท์งานในช่วงบ่าย ใครสักคน หนึ่งในนี้ที่อาจร่วงรู้ หรือบางที นี่อาจเป็นแค่ความบังเอิญ เธอภาวนาให้เป็นอย่างหลัง ศักดิ์รวีวิทยากรหนุ่มเดินออกมาหน้าเวที เขาพยายามบังคับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติ แต่ไมค์โครโฟนในมือนั้นก็ยังสั่นน้อยๆอยู่ดี นั่นก็มากพอให้นักศึกษาสาวผู้เข้าร่วมอบรมคนหนึ่งจับสังเกตได้ เธอซ่อนรอยยิ้มสมหวังไว้ในหน้า บัดนี้ถึงเวลาแล้ว เวลาที่เธอรอคอยมาห้าปีเต็ม
ศักดิ์รวีวิจารณ์งานเขียนของผู้เข้าอบรมพร้อมให้คำแนะนำเพิ่มเติมด้วยหวังอยากเห็นดวงดาวกวีจรัสจ้าประดับวงการอีกมากมาย กระดาษแผ่นนั้นเขาซ้อนไว้แผ่นหลังสุด เมื่อกระดาษในมือเหลือแผ่นสุดท้าย กวีหนุ่มชั่งใจก่อนกล่าว
“ใครที่รู้ตัวว่ายังไม่ได้รับการวิจารณ์งานเขียน กรุณายกมือครับ” ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ หากหัวใจชายหนุ่มเย็นเยียบและเงียบงันยิ่งกว่า ยังไม่มีปฏิกิริยาใดจากผู้นั่งฟัง รอยทราย วิทยากรร่วมอีกคนจึงพูดขึ้น
“มีงานเขียนอีกชิ้นที่ส่งมา แต่ไม่ได้ลงชื่อผู้เขียนค่ะ ไม่ทราบว่าเป็นของใคร” ทั้งห้องยังนิ่งดุจเดิม ศักดิ์รวีตัดสินใจ
“เมื่อไม่มีใครแสดงตัว ผมจะถือว่า คุณสละสิทธิ์ในการรับคำแนะนำเพื่อไปพัฒนางานต่อนะครับ ถ้าอย่างนั้น คุณรอยทราย เริ่มหัวข้อบรรยายในช่วงบ่ายได้เลยครับ”
อันที่จริง ชายหนุ่มต้องอยู่ร่วมในเวทีบรรยายด้วย แต่ใจที่รุ่มร้อนสั่งให้เขาเสียมารยาทเดินออกมา บทกวีปริศนาถูกพับเป็นแผ่นเล็กใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อสูตร เขาเดินมานั่งลงบนม้านั่งหน้าระเบียงห้องอบรม “พี่เจริญ” ชื่อใครคนหนึ่งหลุดออกมาจากปากกวีหนุ่มอย่างแผ่วเบา ราวกับตนเองก็ไม่อยากแม้ได้ยินชื่อนี้ พลันประตูห้องอบรมเปิดออก นักศึกษาสาวผู้หนึ่งเดินออกมา ศักดิ์รวีหันไปมองพอดี หญิงสาวใบหน้ารูปไข่ คิ้วดกหนาเรียวยาว มุมปากเหยียดยิ้มน้อยๆนั้นเหมือนมีอะไรบางอย่างสะกดมิให้ละสายตาจากดวงนั้นงามนั้น เปล่า มิใช่ความสวยของเธอหรอกที่ทำให้เขาตะลึงมอง หากแต่ รอยบางอย่างที่เร้นแฝงบนรูปหน้างดงามนั้นต่างหากที่ร่ายมนต์สะกดกวีหนุ่มไว้
“หนูขอไปเข้าห้องน้ำค่ะ” นักศึกษาสาวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เหมือนเพิ่มรู้ตัว กวีหนุ่มถอนสายตาจากหญิงสาวทันที
“อ๋อ เชิญครับเชิญ” ศักดิ์รวีพูดได้เพียงเท่านั้นก็จนคำ เขาจึงเสมองไปทางอื่น นักศึกษาสาวเดินลับสายตาไปแล้ว “เธอเป็นใคร” ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง เขาตั้งตารอคอยให้หญิงสาวผู้นั้นเดินกลับเข้าห้องอบรมอีกครั้ง แต่เมื่อผ่านไปเกือบชั่วโมงก็ยังไร้วี่แววว่าเธอจะกลับมา คงกลับไปแล้ว นั่นยิ่งทำให้เขารุ่มร้อนและหงุดหงิดยิ่งขึ้นไปอีก แต่สิ่งหนึ่งที่กวีหนุ่มแน่ใจ หญิงสาวผู้นี้คือคนที่เขียนกวีบทนั้นแน่นอน
เมื่อกลับถึงบ้าน จรัญญาหยิบบัตรนักศึกษาออกมาจากกระเป๋าเสื้อวางลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ วันพรุ่งนี้ เธอจะนำมันไปส่งให้ฝ่ายกิจการนักศึกษาประกาศหาเจ้าของบัตรที่แท้จริงต่อไป หญิงสาวพบบัตรใบนี้หล่นอยู่ข้างโต๊ะกินข้าวในโรงอาหารเมื่อสามวันก่อน เธอมองซ้ายมองขวาหาคนที่คาดว่าจะทำบัตรตกไว้ แต่ก็ไม่มี ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในสมอง จรัญญากวาดสายตามองรอบตัวอีกครั้ง ก่อนจะหย่อนบัตรนักศึกษาใบนั้นลงในกระเป๋าเสื้อตัวเอง วันนี้ เธอเข้าร่วมอบรมการเขียนด้วยนามของเจ้าของบัตร หญิงสาวรู้ว่าสิ่งที่เธอทำนั้นไม่ถูกต้อง แต่ในสถานการณ์แบบนี้ การปิดบังอำพรางตัวตนคือสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง จรัญญาหยิบรูปภาพที่วางอยู่บนหัวเตียงมากอดไว้แนบอกอย่างเคยทำทุกวัน อีกไม่นาน ชีวิตจะต้องแลกด้วยชีวิต ความแค้นจะต้องได้รับการสะสาง ห้าปีที่ผ่านไป ไม่มีวันไหนที่เธอไม่คิดถึงพ่อ ถ้าพูดให้ถูกคือ ไม่มีวินาทีไหนที่เธอจะลืมว่าใครที่เป็นสาเหตุทำให้พ่อต้องตาย จรัญญาเริ่มฝึกเขียนบทกวีตั้งแต่ปีแรกที่พ่อจากไป เพราะนี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมร้อยสายใยระหว่างเธอกับพ่อไว้แน่นเหนียว เธอระบายความรู้สึก โกรธ เกลียด คับแค้นในใจออกมาเป็นตัวอักษร บทกวีจึงเป็นเพื่อนแท้ที่เข้าใจเธอเสมอมา น้ำตาหญิงสาวหยดต้องรูปใบนั้นอีกครั้ง
เธอวางรูปนั้นลงที่เดิม และหยิบปากกาเริ่มเขียนบทกวีอีกครั้ง
แม้ลูกจะมิรู้พ่ออยู่ไหน...จะอย่างไรจะแน่วแน่มิแปรผัน
แม้ต้องแลกก็ต้องสู้ให้รู้กัน...วันนี้ลูกกับมันพบกันแล้ว
ศักดิ์รวีกลับบ้านด้วยความรู้สึกหนักหน่วงในใจ ชื่อของใครคนหนึ่งผุดขึ้นมาในมโนนึก “พี่เจริญ” เขาถอนหายใจ ก้มหน้านิ่งอย่างผู้สำนึกผิด เขาเองคือผู้ผลักให้เพื่อนรุ่นพี่ต้องเดินไปสู่ความตาย แม้ใครหลายคนจะลงความเห็นว่านั่นไม่ใช่ความผิดเขา แต่เขารู้ ถ้าเพียงแต่เขาจะห้ามไว้ ทุกอย่างคงไม่เป็นอย่างนี้ จากวันที่เกิดเหตุการณ์นั้น ชายหนุ่มตัดสินใจทิ้งอดีตอันเลวร้ายไว้กับบ้านหลังนั้น ทิ้งสวนและฟาร์มไก่ไว้ให้น้องชายดูแล เขาเดินทางไปเรื่อยจนมาถึงจังหวัดเล็กๆแห่งนี้ จังหวัดที่เป็นบ้านเกิดของใครคนหนึ่ง ศักดิ์รวีตอบตนเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเขาจึงเลือกที่นี่ ที่ๆใจเขาสั่งว่าจงหนีไปให้ไกล หากแต่เท้าทั้งสองไม่ยอมทำตาม ชายหนุ่มได้รับความช่วยเหลือจากรุ่นพี่สมัยเรียนที่เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจฉบับหนึ่ง เขาจึงได้เขียนคอลัมน์รอบรู้เรื่องเกษตรในหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นตลอดมา
ในบ้านเช่าหลังเล็ก เขาเริ่มฝึกเขียนบทกวี จากการอ่านสมุดบันทึกบทกวีของเพื่อนรุ่นพี่ที่จากไป และหาข้อมูลเพิ่มเติมจากอินเทอร์เหน็ด แรกเริ่มเดิมที เขาเพียงต้องการสารภาพบาปผ่านตัวอักษร ทว่ายิ่งนาน บทกวีนั้นกลับยิ่งกลายเป็นสิ่งปลอบโยนและเยียวยาตน ชายหนุ่มเริ่มอ่านบทกวีของกวีชั้นครูหลายท่าน ดื่มด่ำล้ำลึก และสุดท้ายก็ลงใจรัก จึงศึกษาเรียนรู้อย่างจริงจัง กระทั่งผลงานของเขาได้รับรางวัลชนะเลิศการเขียนบทกวีในการประกวดระดับจังหวัด ศักดิ์รวียังมุ่งมั่นตั้งใจสร้างสรรค์ผลงานส่งเข้าประกวดต่อไป จนถึงวันนี้ ชายหนุ่มเริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่นักอ่านและนักเขียนด้วยกันเองในฐานะกวีหนุ่มผู้มีไฟใฝ่ฝันแรงกล้า แต่ใครเลยจะรู้ ความรู้สึกแหลกสลายทางวิญญาณที่ซุกซ่อนไว้ไม่ให้ใครเห็นนั้นเป็นเช่นไร
บริเวณหลังบ้านเช่ามีพื้นที่มากพอให้วางเก้าอี้และโต๊ะเขียนหนังสือ ศักดิ์รวีทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวเก่า ล้วงเอาบทกวีปริศนาแผ่นนั้นออกมาจากกระเป๋าเสื้อ กลอนสุภาพสี่บรรทัดเขียนเรียงกันลงมาด้วยลายมือบรรจง เขามองเส้นปากกาน้ำเงินที่ลากเป็นตัวอักษรแต่ละตัว พลันสายตาชายหนุ่มก็สะดุดเข้ากับจุดสีแดงเล็กๆ เล็กเท่าจุดของปลายปากกา จุดนี้คงเกิดจากรอยปากกาสีแดง แต่ความรู้สึกบางอย่างในใจสั่งให้เขาก้มหน้าพิจารณาจุดแดงนั้นอย่างพินิจ และแล้วศักดิ์รวีก็รู้ กระดาษในมือกวีหนุ่มร่วงจากมือ “เลือด” ในอกชายหนุ่มหนาวยะเยือก มันกลับมาแล้ว ห้าปีเต็มที่เขาหนีมันมา แต่วันนี้ มันตามหาเขาพบแล้ว
นวนิยาย . ปากกาเลือด : โดย ใจแก้ว นักเขียนผู้พิการทางสายตา ตอนที่ 1
คำโปรย: เมื่อคนหนึ่งเขียนบทกวีด้วยความรักและสำนึกผิดต่อดวงวิญญาณผู้จากไป
หากอีกคนมีบทกวีไว้เพื่อเขียนระบายความแค้นและต้องการทวงคืนชีวิตของผู้จากไป
โดยมีจุดสีแดงขนาดเท่าปลายปากกาเป็นรหัสปริศนา หากมองเผินๆจะเห็นเป็นรอยหมึกปากกาแดง
แต่หากพิจารณาให้ละเอียดแล้ว รอยแดงนั้นคือ เลือด
“ปากกาเลือด” ตอนที่ 1
“พี่ลองอ่านงานชิ้นนี้สิ รอยว่าดูแปลกๆนะคะ” หญิงสาวพูดพร้อมยื่นกระดาษในมือให้อีกฝ่าย ชายหนุ่มรับมาอ่านอย่างไม่ใส่ใจนัก บทกวีของนักศึกษาผู้เข้าอบรมการเขียน ส่วนมากถ้าไม่เป็นเรื่องชมธรรมชาติ ก็จะเป็นเรื่องความรัก ศักดิ์รวีก้มหน้าลงอ่านเพื่อหมายเพียงผ่านตา
“สิ่งที่คุณทำไว้ใครไม่รู้...ณ ที่ภูกระดึงครั้งหนึ่งนั่น
ชีพหนึ่งล่วงลับดับชีวัน...ความแค้นนั้นนับล้านเท่าจะเอาคืน”
เมื่ออ่านจบ ยังมิทันได้ทบทวน กระดาษในมือกวีหนุ่มร่วงลงพื้น ใบหน้าคมสันดวงตาที่เคยทอประกายเชื่อมั่นบัดนี้ซีดขาวราวกระดาษแผ่นนั้น รอยทราย กวีสาวรุ่นน้องเห็นดังนั้นก็สบตาชายหนุ่ม
“อาจบังเอิญก็ได้มั้งพี่ น้องคนนี้เธออาจเขียนถึงเพื่อนหรือคนรักที่เคยทำให้เธอเสียใจก็ได้” ศักดิ์รวีพยักยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เขาฝืนปั้นแต่งเพื่อปลอบใจตน
รอยทรายหยิบผลงานปริศนาขึ้นมาจากพื้น เธอพินิจลายมือ พลิกหน้าพลิกหลังเพื่อหาร่องรอยของผู้เขียนแต่ก็หามีไม่ หญิงสาวสอดส่ายสายตาไปยังกลุ่มนักศึกษาผู้เข้าอบรมที่ทยอยมานั่งประจำที่เพื่อฟังวิทยากรบรรยายและคอมเมนท์งานในช่วงบ่าย ใครสักคน หนึ่งในนี้ที่อาจร่วงรู้ หรือบางที นี่อาจเป็นแค่ความบังเอิญ เธอภาวนาให้เป็นอย่างหลัง ศักดิ์รวีวิทยากรหนุ่มเดินออกมาหน้าเวที เขาพยายามบังคับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติ แต่ไมค์โครโฟนในมือนั้นก็ยังสั่นน้อยๆอยู่ดี นั่นก็มากพอให้นักศึกษาสาวผู้เข้าร่วมอบรมคนหนึ่งจับสังเกตได้ เธอซ่อนรอยยิ้มสมหวังไว้ในหน้า บัดนี้ถึงเวลาแล้ว เวลาที่เธอรอคอยมาห้าปีเต็ม
ศักดิ์รวีวิจารณ์งานเขียนของผู้เข้าอบรมพร้อมให้คำแนะนำเพิ่มเติมด้วยหวังอยากเห็นดวงดาวกวีจรัสจ้าประดับวงการอีกมากมาย กระดาษแผ่นนั้นเขาซ้อนไว้แผ่นหลังสุด เมื่อกระดาษในมือเหลือแผ่นสุดท้าย กวีหนุ่มชั่งใจก่อนกล่าว
“ใครที่รู้ตัวว่ายังไม่ได้รับการวิจารณ์งานเขียน กรุณายกมือครับ” ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ หากหัวใจชายหนุ่มเย็นเยียบและเงียบงันยิ่งกว่า ยังไม่มีปฏิกิริยาใดจากผู้นั่งฟัง รอยทราย วิทยากรร่วมอีกคนจึงพูดขึ้น
“มีงานเขียนอีกชิ้นที่ส่งมา แต่ไม่ได้ลงชื่อผู้เขียนค่ะ ไม่ทราบว่าเป็นของใคร” ทั้งห้องยังนิ่งดุจเดิม ศักดิ์รวีตัดสินใจ
“เมื่อไม่มีใครแสดงตัว ผมจะถือว่า คุณสละสิทธิ์ในการรับคำแนะนำเพื่อไปพัฒนางานต่อนะครับ ถ้าอย่างนั้น คุณรอยทราย เริ่มหัวข้อบรรยายในช่วงบ่ายได้เลยครับ”
อันที่จริง ชายหนุ่มต้องอยู่ร่วมในเวทีบรรยายด้วย แต่ใจที่รุ่มร้อนสั่งให้เขาเสียมารยาทเดินออกมา บทกวีปริศนาถูกพับเป็นแผ่นเล็กใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อสูตร เขาเดินมานั่งลงบนม้านั่งหน้าระเบียงห้องอบรม “พี่เจริญ” ชื่อใครคนหนึ่งหลุดออกมาจากปากกวีหนุ่มอย่างแผ่วเบา ราวกับตนเองก็ไม่อยากแม้ได้ยินชื่อนี้ พลันประตูห้องอบรมเปิดออก นักศึกษาสาวผู้หนึ่งเดินออกมา ศักดิ์รวีหันไปมองพอดี หญิงสาวใบหน้ารูปไข่ คิ้วดกหนาเรียวยาว มุมปากเหยียดยิ้มน้อยๆนั้นเหมือนมีอะไรบางอย่างสะกดมิให้ละสายตาจากดวงนั้นงามนั้น เปล่า มิใช่ความสวยของเธอหรอกที่ทำให้เขาตะลึงมอง หากแต่ รอยบางอย่างที่เร้นแฝงบนรูปหน้างดงามนั้นต่างหากที่ร่ายมนต์สะกดกวีหนุ่มไว้
“หนูขอไปเข้าห้องน้ำค่ะ” นักศึกษาสาวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เหมือนเพิ่มรู้ตัว กวีหนุ่มถอนสายตาจากหญิงสาวทันที
“อ๋อ เชิญครับเชิญ” ศักดิ์รวีพูดได้เพียงเท่านั้นก็จนคำ เขาจึงเสมองไปทางอื่น นักศึกษาสาวเดินลับสายตาไปแล้ว “เธอเป็นใคร” ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง เขาตั้งตารอคอยให้หญิงสาวผู้นั้นเดินกลับเข้าห้องอบรมอีกครั้ง แต่เมื่อผ่านไปเกือบชั่วโมงก็ยังไร้วี่แววว่าเธอจะกลับมา คงกลับไปแล้ว นั่นยิ่งทำให้เขารุ่มร้อนและหงุดหงิดยิ่งขึ้นไปอีก แต่สิ่งหนึ่งที่กวีหนุ่มแน่ใจ หญิงสาวผู้นี้คือคนที่เขียนกวีบทนั้นแน่นอน
เมื่อกลับถึงบ้าน จรัญญาหยิบบัตรนักศึกษาออกมาจากกระเป๋าเสื้อวางลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ วันพรุ่งนี้ เธอจะนำมันไปส่งให้ฝ่ายกิจการนักศึกษาประกาศหาเจ้าของบัตรที่แท้จริงต่อไป หญิงสาวพบบัตรใบนี้หล่นอยู่ข้างโต๊ะกินข้าวในโรงอาหารเมื่อสามวันก่อน เธอมองซ้ายมองขวาหาคนที่คาดว่าจะทำบัตรตกไว้ แต่ก็ไม่มี ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในสมอง จรัญญากวาดสายตามองรอบตัวอีกครั้ง ก่อนจะหย่อนบัตรนักศึกษาใบนั้นลงในกระเป๋าเสื้อตัวเอง วันนี้ เธอเข้าร่วมอบรมการเขียนด้วยนามของเจ้าของบัตร หญิงสาวรู้ว่าสิ่งที่เธอทำนั้นไม่ถูกต้อง แต่ในสถานการณ์แบบนี้ การปิดบังอำพรางตัวตนคือสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง จรัญญาหยิบรูปภาพที่วางอยู่บนหัวเตียงมากอดไว้แนบอกอย่างเคยทำทุกวัน อีกไม่นาน ชีวิตจะต้องแลกด้วยชีวิต ความแค้นจะต้องได้รับการสะสาง ห้าปีที่ผ่านไป ไม่มีวันไหนที่เธอไม่คิดถึงพ่อ ถ้าพูดให้ถูกคือ ไม่มีวินาทีไหนที่เธอจะลืมว่าใครที่เป็นสาเหตุทำให้พ่อต้องตาย จรัญญาเริ่มฝึกเขียนบทกวีตั้งแต่ปีแรกที่พ่อจากไป เพราะนี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมร้อยสายใยระหว่างเธอกับพ่อไว้แน่นเหนียว เธอระบายความรู้สึก โกรธ เกลียด คับแค้นในใจออกมาเป็นตัวอักษร บทกวีจึงเป็นเพื่อนแท้ที่เข้าใจเธอเสมอมา น้ำตาหญิงสาวหยดต้องรูปใบนั้นอีกครั้ง
เธอวางรูปนั้นลงที่เดิม และหยิบปากกาเริ่มเขียนบทกวีอีกครั้ง
แม้ลูกจะมิรู้พ่ออยู่ไหน...จะอย่างไรจะแน่วแน่มิแปรผัน
แม้ต้องแลกก็ต้องสู้ให้รู้กัน...วันนี้ลูกกับมันพบกันแล้ว
ศักดิ์รวีกลับบ้านด้วยความรู้สึกหนักหน่วงในใจ ชื่อของใครคนหนึ่งผุดขึ้นมาในมโนนึก “พี่เจริญ” เขาถอนหายใจ ก้มหน้านิ่งอย่างผู้สำนึกผิด เขาเองคือผู้ผลักให้เพื่อนรุ่นพี่ต้องเดินไปสู่ความตาย แม้ใครหลายคนจะลงความเห็นว่านั่นไม่ใช่ความผิดเขา แต่เขารู้ ถ้าเพียงแต่เขาจะห้ามไว้ ทุกอย่างคงไม่เป็นอย่างนี้ จากวันที่เกิดเหตุการณ์นั้น ชายหนุ่มตัดสินใจทิ้งอดีตอันเลวร้ายไว้กับบ้านหลังนั้น ทิ้งสวนและฟาร์มไก่ไว้ให้น้องชายดูแล เขาเดินทางไปเรื่อยจนมาถึงจังหวัดเล็กๆแห่งนี้ จังหวัดที่เป็นบ้านเกิดของใครคนหนึ่ง ศักดิ์รวีตอบตนเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเขาจึงเลือกที่นี่ ที่ๆใจเขาสั่งว่าจงหนีไปให้ไกล หากแต่เท้าทั้งสองไม่ยอมทำตาม ชายหนุ่มได้รับความช่วยเหลือจากรุ่นพี่สมัยเรียนที่เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจฉบับหนึ่ง เขาจึงได้เขียนคอลัมน์รอบรู้เรื่องเกษตรในหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นตลอดมา
ในบ้านเช่าหลังเล็ก เขาเริ่มฝึกเขียนบทกวี จากการอ่านสมุดบันทึกบทกวีของเพื่อนรุ่นพี่ที่จากไป และหาข้อมูลเพิ่มเติมจากอินเทอร์เหน็ด แรกเริ่มเดิมที เขาเพียงต้องการสารภาพบาปผ่านตัวอักษร ทว่ายิ่งนาน บทกวีนั้นกลับยิ่งกลายเป็นสิ่งปลอบโยนและเยียวยาตน ชายหนุ่มเริ่มอ่านบทกวีของกวีชั้นครูหลายท่าน ดื่มด่ำล้ำลึก และสุดท้ายก็ลงใจรัก จึงศึกษาเรียนรู้อย่างจริงจัง กระทั่งผลงานของเขาได้รับรางวัลชนะเลิศการเขียนบทกวีในการประกวดระดับจังหวัด ศักดิ์รวียังมุ่งมั่นตั้งใจสร้างสรรค์ผลงานส่งเข้าประกวดต่อไป จนถึงวันนี้ ชายหนุ่มเริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่นักอ่านและนักเขียนด้วยกันเองในฐานะกวีหนุ่มผู้มีไฟใฝ่ฝันแรงกล้า แต่ใครเลยจะรู้ ความรู้สึกแหลกสลายทางวิญญาณที่ซุกซ่อนไว้ไม่ให้ใครเห็นนั้นเป็นเช่นไร
บริเวณหลังบ้านเช่ามีพื้นที่มากพอให้วางเก้าอี้และโต๊ะเขียนหนังสือ ศักดิ์รวีทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวเก่า ล้วงเอาบทกวีปริศนาแผ่นนั้นออกมาจากกระเป๋าเสื้อ กลอนสุภาพสี่บรรทัดเขียนเรียงกันลงมาด้วยลายมือบรรจง เขามองเส้นปากกาน้ำเงินที่ลากเป็นตัวอักษรแต่ละตัว พลันสายตาชายหนุ่มก็สะดุดเข้ากับจุดสีแดงเล็กๆ เล็กเท่าจุดของปลายปากกา จุดนี้คงเกิดจากรอยปากกาสีแดง แต่ความรู้สึกบางอย่างในใจสั่งให้เขาก้มหน้าพิจารณาจุดแดงนั้นอย่างพินิจ และแล้วศักดิ์รวีก็รู้ กระดาษในมือกวีหนุ่มร่วงจากมือ “เลือด” ในอกชายหนุ่มหนาวยะเยือก มันกลับมาแล้ว ห้าปีเต็มที่เขาหนีมันมา แต่วันนี้ มันตามหาเขาพบแล้ว