ตอนที่ ๒ เรื่องเล่าของความรัก
อรวี กลับบ้านด้วยอาการมึนงงพร้อมกับแผลที่หน้าผาก ข้อศอกและรอยช้ำที่ต้นขาอีกเล็กน้อย จากการตกบันไดไปหกเจ็ดขั้น ชายหนุ่มหุ่นล่ำมากหน้าตาเหมือนเทวดาเสก ไม่ได้เข้ามาอยู่ในซอกหลืบของสมอง แต่เธอไม่รู้หรอกว่าความรักถีบหัวส่งชายหนุ่มคนนั้นเข้าไปซ่อนอยู่ในมุมอับอันเร้นลับของหัวใจ ซึ่งเธอไม่มีวันรู้ได้จนกว่าความรักจะยินยอมพร้อมใจ
“บ้าเหรอ แค่ชื่อออกเสียงคล้ายกันแล้วจะมาเหมาว่าเป็นเนื้อคู่ เขินจะแย่”
ถึงแม้จะเคยมีความรักและอกหักมาบ้าง ทุกครั้งถ้าไม่เป็นฝ่ายชิ่งก็ถูกทิ้งโดยไม่รู้ตัวอยู่เสมอ อรวีเคยมีคนรักเน้นๆ อยู่สองคน ชายหนุ่มคนแรกนั้นรู้จักกันขณะที่เธอทำงานเป็นพนักงานบริษัท เขาเพิ่งเข้ามาใหม่ หน้าใสเหมือนดาราเกาหลีผ่านการศัลยกรรมแล้ว ทั้งสองคนเดินกลับบ้านทางเดียวกัน จากที่เดินห่างกันสามวา สี่เดือนผ่านไปทั้งคู่ก็เดินเคียงข้างกัน ฟังดูเหมือนไวไฟ แต่ใครๆ ก็บอก เมื่อคนเหงาสองคนมาพบกันพวกเขาเหมือนรู้จักกันมาทั้งชีวิต ความรักของทั้งคู่ก็เช่นกัน แต่ก็อีกนั่นแหละ ความรักของคนสมัยใหม่เหมือนรถไฟฟ้าบีทีเอส มาไว-ไปเร็ว หลังจากเดินเคียงข้างกันอยู่พักใหญ่ ชายหนุ่มเริ่มเป็นที่สนใจในหมู่หญิงสาว ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรจำนวนมากของประเทศนี้ และดูเขาก็ช่างมั่นใจว่ามีดีพอจะมีแฟนเพิ่มได้หลายๆ คน ดังนั้นไม่นาน อรวีกับเขาก็กลับมาเดินห่างกันสามวาอีกครั้ง เธอรับไม่ได้ที่จะเป็นเพียงคนคั่นเวลา นานเข้าเขาก็หายไปจากชีวิตเธอ...
ซึ่งอันที่จริงจะว่าไปแล้ว เป็นเพราะเขาเริ่มกลายเป็นอากาศ เธอรับรู้ว่ามีเขาอยู่บนโลกนี้ แต่เธอเริ่มมองผ่านเขาไปและไม่ใส่ใจในที่สุด จบความรักกับชายหนุ่มคนที่หนึ่ง พร้อมกับการลาออกจากงานบริษัทมารับฟรีแลนซ์เต็มตัว ไม่ใช่เพราะอาจหาญว่าทำงานได้เงินเยอะกว่าเก่า แต่เพราะเธอรู้ดีว่าเป็นคนขี้เบื่อและทำอะไรซ้ำๆ ไม่ได้นาน นั่นอาจทำให้เธอประสาทเสียหากต้องตื่นเช้าไปทำงานและกลับบ้านหลังตอกบัตรไปตลอดชีวิต และเมื่อออกมาอยู่กับตัวเอง สิ่งที่เธอย้ำไว้เตือนใจเสมอเป็นกฎสามข้อ คือ
๑. เรื่องราวที่ไม่จำเป็นกับการใช้ชีวิตคิดมากก็ปวดหัว
๒. ผู้คนที่ไม่ได้ทำให้เกิดรอยยิ้มและมิตรภาพอันดีนัก
๓. ความคิดที่มาทำลายความสุขในชีวิต
เหล่านี้ ต้องตัดๆ ไปบ้าง ถึงจะไม่ได้ทั้งหมด แต่เมื่อไหร่ที่กลับเข้ามาสู่โลกส่วนตัว – จงลืมมันซะ ดังนั้นเธอจึงค่อนข้างมีชีวิตที่สุขสงบ ไม่ค่อยมีโอกาสได้พบกับเรื่องตื่นเต้นนัก เว้นแต่วันนี้ อยู่ๆ เรื่องราวของชายหนุ่มมาดคุณชาย ร่างสูงใหญ่ราวยักษ์วัดแจ้ง ก็ผุดพรายขึ้นมาในหัว แต่กลับนึกเสียดายที่ไม่ได้ขอเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ “เถอะนะ ถ้าวาสนาดีมีต่อกัน เราก็คงจะได้พบกันอีกแน่นอน” อรวีบอกตัวเอง แล้วเริ่มลงมือร่างแบบสำหรับภาพประกอบเรื่องของหนังสือเล่มใหม่ที่เธอเพิ่งได้รับต้นฉบับมาจากสำนักพิมพ์ อรวีอ่านต้นฉบับคร่าวๆ เป็นบทกวีบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก อกหัก รักคุด อะไรทำนองนั้น คนเขียนเป็นหญิงหรือชายเธอก็เดาไม่ออก แต่สำนวนการเขียนนั้นโดนใจมาก และเหตุนั้นเองเธอจึงเลือกเล่มนี้มาวาดภาพประกอบ
เหมือนสายน้ำที่ไหลเชี่ยว เหมือนป่าเปลี่ยวที่รกร้าง
เหมือนความว่างเปล่าในรอยทาง หัวใจพเนจร อ้างว้าง โบยบิน
เมื่อความรักมาตายลง หัวใจ พลัดหลง พลัดถิ่น
โบยโบก ลอยล่อง ไร้-แรงบิน หมดสิ้น ทุกหวัง กำลังใจ
อยู่อย่าง เดียวดาย อ้างว้าง หัวใจ เคว้งคว้าง หวั่นไหว
จะสิ้นลมตามความรักไปเมื่อใด มิรู้ได้... ไม่หวังใน น้ำใจฟ้า
นี่เป็นเพียงหนึ่งบทกวีที่เธอเผลอเปิดอ่านก่อนตัดสินใจเลือกไว้เป็นหนึ่งในเล่มที่จะวาดภาพประกอบให้ บทกวีที่อ่านแล้วเหมือนถูกกรีดใจด้วยมีดคม และแน่นอนภาพในหัวก็ทำงานได้เป็นฉาก ถึงแม้จะอยากรู้นักหนาว่าคนเขียนกวีเล่มนี้เป็นใคร อะไรบันดาลใจให้เขียนได้เศร้าถึงเพียงนี้ แต่ด้วยสปิริตของนักวาดภาพประกอบ เธอจึงกลั้นใจไม่ยอมเอ่ยปากถามบรรณาธิการ ได้แต่อ่านและจินตนาการไปตามประสา
กลับมาที่ จิรวิ ชายหนุ่มมาดคุณชาย ร่างสูงใหญ่ราวยักษ์วัดแจ้งในความนึกคิดของอรวี เขานั่งจ้องกระดาษจดเบอร์โทรศัพท์ของหญิงสาวที่เขาหมายปอง กดหมายเลขลงไปในหน้าจอทัชสกรีนของมือถือ จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่กล้าโทร.ไปหาเธอ นึกไม่ออกว่าจะเริ่มต้นด้วยประโยคใด เช่น ผมอยากพบคุณอีกครั้ง เราจะพบกันเมื่อไหร่ดี ถ้าพูดแบบนั้นออกไปอาจถูกด่าชุดใหญ่ คงไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบให้รุกคืบแบบนี้เป็นแน่ สุดท้ายเขาก็ได้แค่บันทึกหมายเลขโทรศัพท์ลงเครื่อง และกลับเข้าสู่โลกส่วนตัวกับหน้าที่การงานอันแสนน่าเบื่อ เขาคิดว่าคงไม่มีนักกีฬารักบี้ฟุตบอลคนไหนในโลกต้องมานั่งจับเจ่าอยู่กับแฟ้มเอกสารกองเป็นตั้งตรงหน้า งานที่ถูกคุณหญิงแม่ยัดเยียดให้เป็นประธานบริษัท มีหน้าที่อย่างเดียวคือจรดปากกาลากลายเซ็นอนุมัติต่างๆ ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอื่นใดเนื่องจากผู้จัดการแต่ละฝ่ายล้วนขั้นเทพในแต่ละสายงานของตัวเอง...จิรวิพึมพำระหว่างจรดปากกาลงหมึกบนกระดาษ
“อย่างน้อยก็เป็นหุ่นยนต์ที่หล่อที่สุดในประเทศ”
หมดกองแฟ้มเอกสาร ชายหนุ่มวางเท้าพาดกับเก้าอี้พักขา เอนหลัง มองไปยังท้องฟ้าไกลสุดลูกหูลูกตาบนที่ทำงานชั้นสูงเกือบเสียดเมฆของบริษัท คิดถึงหญิงสาวคิ้วโค้งโก่งงอนดั่งศรศิลป์ ดวงตาดุจเม็ดนิลตากน้ำค้างที่เขาถีบ เอ๊ย ทำให้เธอตกบันได เขาอยากรู้เธอมีใครในใจหรือยัง แต่ไม่กล้าโทรศัพท์ไปหาเธอ ชายหนุ่มหยิบรีโมทเครื่องเสียงซึ่งวางอยู่ข้างมือถือ กดเปิดเพลงโปรด “ร้ายก็รัก” ของโจอี้บอย ต่อด้วย “Morning Moon” ของฟักกลิ้งฮีโร่ - - ฟังแล้วฮึกเหิม นึกอยากลงสนามแข่งรักบี้อีกครั้ง! แน่ล่ะเขาทำอย่างที่อยากได้แน่นอน แค่คุณชายเอ่ยปากบอกผู้จัดการทีม นักกีฬาทั้งหมดก็แทบจะพร้อมทันทีในไม่เกินหนึ่งชั่วโมง- - แต่เปลี่ยนใจ เขาเบื่อหน่ายกับการทำให้คนทีละมากๆ ลำบากเพราะเขามาพอแล้ว
ว่าแล้วก็หยิบมือถือขึ้นมาแล้วกดโทร. ไปหาเธอ นั่นเพราะถ้าปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามโชคชะตาฟ้าดินลิขิต ชีวิตก็คงต้องปล่อยให้ดำเนินไป ไม่ทักทาย ไม่รู้จัก และท้ายสุดทุกอย่างก็จะถูกลืมเลือนไป ที่สำคัญจะรอให้เธอโทร.มาก็คงไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้ให้เบอร์เธอไป ความรู้สึกขณะรอสาย ตื่นเต้นไม่ต่างจากทหารกำลังอยู่ระหว่างปฏิบัติงานสามจังหวัดชายแดนใต้ยังไงยังงั้น
“สวัสดีค่ะ อรวีรับสาย มีอะไรให้รับใช้คะ” เสียงใสๆ ที่ดังมาตามสายทำให้ชายหนุ่มอึ้งไปสองวิ ผ่าสิ นอกจากหน้าตาน่ารักแล้วเสียงยังเพราะอีก... คนอะไร
“เอิ่ม... ผมโทร.มาเรื่องซีดีอรวี จะถามว่าคุณพอจะมีเวลาเจอกันหน่อยได้มั้ย”
“เมื่อไหร่ ที่ไหนคะ”
“พรุ่งนี้สักเที่ยงๆ ทานข้าวกลางวันกัน”
“อืมม์ พรุ่งนี้เหรอคะ ต้องขอโทษด้วยฉันมีนัดแล้ว เลื่อนเป็นวันหลังได้มั้ยคะ”
“ครับ ไม่เป็นไร”
เขาวางสายไป และรู้สึกเหมือนหัวใจถูกแทง ซ้ำๆ สักพันครั้ง ขณะที่อรวี ตื่นเต้นจนไม่รู้จะพูดอะไร เลยเผลอปฏิเสธออกไป ทั้งที่ใจนั้นอยากจะเจอ
ว้า....โชคชะตาเล่นตลกอีกแล้ว /
นิยาย : ระหว่างน้ำกับฟ้า ตอนที่ ๒
อรวี กลับบ้านด้วยอาการมึนงงพร้อมกับแผลที่หน้าผาก ข้อศอกและรอยช้ำที่ต้นขาอีกเล็กน้อย จากการตกบันไดไปหกเจ็ดขั้น ชายหนุ่มหุ่นล่ำมากหน้าตาเหมือนเทวดาเสก ไม่ได้เข้ามาอยู่ในซอกหลืบของสมอง แต่เธอไม่รู้หรอกว่าความรักถีบหัวส่งชายหนุ่มคนนั้นเข้าไปซ่อนอยู่ในมุมอับอันเร้นลับของหัวใจ ซึ่งเธอไม่มีวันรู้ได้จนกว่าความรักจะยินยอมพร้อมใจ
“บ้าเหรอ แค่ชื่อออกเสียงคล้ายกันแล้วจะมาเหมาว่าเป็นเนื้อคู่ เขินจะแย่”
ถึงแม้จะเคยมีความรักและอกหักมาบ้าง ทุกครั้งถ้าไม่เป็นฝ่ายชิ่งก็ถูกทิ้งโดยไม่รู้ตัวอยู่เสมอ อรวีเคยมีคนรักเน้นๆ อยู่สองคน ชายหนุ่มคนแรกนั้นรู้จักกันขณะที่เธอทำงานเป็นพนักงานบริษัท เขาเพิ่งเข้ามาใหม่ หน้าใสเหมือนดาราเกาหลีผ่านการศัลยกรรมแล้ว ทั้งสองคนเดินกลับบ้านทางเดียวกัน จากที่เดินห่างกันสามวา สี่เดือนผ่านไปทั้งคู่ก็เดินเคียงข้างกัน ฟังดูเหมือนไวไฟ แต่ใครๆ ก็บอก เมื่อคนเหงาสองคนมาพบกันพวกเขาเหมือนรู้จักกันมาทั้งชีวิต ความรักของทั้งคู่ก็เช่นกัน แต่ก็อีกนั่นแหละ ความรักของคนสมัยใหม่เหมือนรถไฟฟ้าบีทีเอส มาไว-ไปเร็ว หลังจากเดินเคียงข้างกันอยู่พักใหญ่ ชายหนุ่มเริ่มเป็นที่สนใจในหมู่หญิงสาว ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรจำนวนมากของประเทศนี้ และดูเขาก็ช่างมั่นใจว่ามีดีพอจะมีแฟนเพิ่มได้หลายๆ คน ดังนั้นไม่นาน อรวีกับเขาก็กลับมาเดินห่างกันสามวาอีกครั้ง เธอรับไม่ได้ที่จะเป็นเพียงคนคั่นเวลา นานเข้าเขาก็หายไปจากชีวิตเธอ...
ซึ่งอันที่จริงจะว่าไปแล้ว เป็นเพราะเขาเริ่มกลายเป็นอากาศ เธอรับรู้ว่ามีเขาอยู่บนโลกนี้ แต่เธอเริ่มมองผ่านเขาไปและไม่ใส่ใจในที่สุด จบความรักกับชายหนุ่มคนที่หนึ่ง พร้อมกับการลาออกจากงานบริษัทมารับฟรีแลนซ์เต็มตัว ไม่ใช่เพราะอาจหาญว่าทำงานได้เงินเยอะกว่าเก่า แต่เพราะเธอรู้ดีว่าเป็นคนขี้เบื่อและทำอะไรซ้ำๆ ไม่ได้นาน นั่นอาจทำให้เธอประสาทเสียหากต้องตื่นเช้าไปทำงานและกลับบ้านหลังตอกบัตรไปตลอดชีวิต และเมื่อออกมาอยู่กับตัวเอง สิ่งที่เธอย้ำไว้เตือนใจเสมอเป็นกฎสามข้อ คือ
๑. เรื่องราวที่ไม่จำเป็นกับการใช้ชีวิตคิดมากก็ปวดหัว
๒. ผู้คนที่ไม่ได้ทำให้เกิดรอยยิ้มและมิตรภาพอันดีนัก
๓. ความคิดที่มาทำลายความสุขในชีวิต
เหล่านี้ ต้องตัดๆ ไปบ้าง ถึงจะไม่ได้ทั้งหมด แต่เมื่อไหร่ที่กลับเข้ามาสู่โลกส่วนตัว – จงลืมมันซะ ดังนั้นเธอจึงค่อนข้างมีชีวิตที่สุขสงบ ไม่ค่อยมีโอกาสได้พบกับเรื่องตื่นเต้นนัก เว้นแต่วันนี้ อยู่ๆ เรื่องราวของชายหนุ่มมาดคุณชาย ร่างสูงใหญ่ราวยักษ์วัดแจ้ง ก็ผุดพรายขึ้นมาในหัว แต่กลับนึกเสียดายที่ไม่ได้ขอเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ “เถอะนะ ถ้าวาสนาดีมีต่อกัน เราก็คงจะได้พบกันอีกแน่นอน” อรวีบอกตัวเอง แล้วเริ่มลงมือร่างแบบสำหรับภาพประกอบเรื่องของหนังสือเล่มใหม่ที่เธอเพิ่งได้รับต้นฉบับมาจากสำนักพิมพ์ อรวีอ่านต้นฉบับคร่าวๆ เป็นบทกวีบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก อกหัก รักคุด อะไรทำนองนั้น คนเขียนเป็นหญิงหรือชายเธอก็เดาไม่ออก แต่สำนวนการเขียนนั้นโดนใจมาก และเหตุนั้นเองเธอจึงเลือกเล่มนี้มาวาดภาพประกอบ
เหมือนสายน้ำที่ไหลเชี่ยว เหมือนป่าเปลี่ยวที่รกร้าง
เหมือนความว่างเปล่าในรอยทาง หัวใจพเนจร อ้างว้าง โบยบิน
เมื่อความรักมาตายลง หัวใจ พลัดหลง พลัดถิ่น
โบยโบก ลอยล่อง ไร้-แรงบิน หมดสิ้น ทุกหวัง กำลังใจ
อยู่อย่าง เดียวดาย อ้างว้าง หัวใจ เคว้งคว้าง หวั่นไหว
จะสิ้นลมตามความรักไปเมื่อใด มิรู้ได้... ไม่หวังใน น้ำใจฟ้า
นี่เป็นเพียงหนึ่งบทกวีที่เธอเผลอเปิดอ่านก่อนตัดสินใจเลือกไว้เป็นหนึ่งในเล่มที่จะวาดภาพประกอบให้ บทกวีที่อ่านแล้วเหมือนถูกกรีดใจด้วยมีดคม และแน่นอนภาพในหัวก็ทำงานได้เป็นฉาก ถึงแม้จะอยากรู้นักหนาว่าคนเขียนกวีเล่มนี้เป็นใคร อะไรบันดาลใจให้เขียนได้เศร้าถึงเพียงนี้ แต่ด้วยสปิริตของนักวาดภาพประกอบ เธอจึงกลั้นใจไม่ยอมเอ่ยปากถามบรรณาธิการ ได้แต่อ่านและจินตนาการไปตามประสา
กลับมาที่ จิรวิ ชายหนุ่มมาดคุณชาย ร่างสูงใหญ่ราวยักษ์วัดแจ้งในความนึกคิดของอรวี เขานั่งจ้องกระดาษจดเบอร์โทรศัพท์ของหญิงสาวที่เขาหมายปอง กดหมายเลขลงไปในหน้าจอทัชสกรีนของมือถือ จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่กล้าโทร.ไปหาเธอ นึกไม่ออกว่าจะเริ่มต้นด้วยประโยคใด เช่น ผมอยากพบคุณอีกครั้ง เราจะพบกันเมื่อไหร่ดี ถ้าพูดแบบนั้นออกไปอาจถูกด่าชุดใหญ่ คงไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบให้รุกคืบแบบนี้เป็นแน่ สุดท้ายเขาก็ได้แค่บันทึกหมายเลขโทรศัพท์ลงเครื่อง และกลับเข้าสู่โลกส่วนตัวกับหน้าที่การงานอันแสนน่าเบื่อ เขาคิดว่าคงไม่มีนักกีฬารักบี้ฟุตบอลคนไหนในโลกต้องมานั่งจับเจ่าอยู่กับแฟ้มเอกสารกองเป็นตั้งตรงหน้า งานที่ถูกคุณหญิงแม่ยัดเยียดให้เป็นประธานบริษัท มีหน้าที่อย่างเดียวคือจรดปากกาลากลายเซ็นอนุมัติต่างๆ ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอื่นใดเนื่องจากผู้จัดการแต่ละฝ่ายล้วนขั้นเทพในแต่ละสายงานของตัวเอง...จิรวิพึมพำระหว่างจรดปากกาลงหมึกบนกระดาษ
“อย่างน้อยก็เป็นหุ่นยนต์ที่หล่อที่สุดในประเทศ”
หมดกองแฟ้มเอกสาร ชายหนุ่มวางเท้าพาดกับเก้าอี้พักขา เอนหลัง มองไปยังท้องฟ้าไกลสุดลูกหูลูกตาบนที่ทำงานชั้นสูงเกือบเสียดเมฆของบริษัท คิดถึงหญิงสาวคิ้วโค้งโก่งงอนดั่งศรศิลป์ ดวงตาดุจเม็ดนิลตากน้ำค้างที่เขาถีบ เอ๊ย ทำให้เธอตกบันได เขาอยากรู้เธอมีใครในใจหรือยัง แต่ไม่กล้าโทรศัพท์ไปหาเธอ ชายหนุ่มหยิบรีโมทเครื่องเสียงซึ่งวางอยู่ข้างมือถือ กดเปิดเพลงโปรด “ร้ายก็รัก” ของโจอี้บอย ต่อด้วย “Morning Moon” ของฟักกลิ้งฮีโร่ - - ฟังแล้วฮึกเหิม นึกอยากลงสนามแข่งรักบี้อีกครั้ง! แน่ล่ะเขาทำอย่างที่อยากได้แน่นอน แค่คุณชายเอ่ยปากบอกผู้จัดการทีม นักกีฬาทั้งหมดก็แทบจะพร้อมทันทีในไม่เกินหนึ่งชั่วโมง- - แต่เปลี่ยนใจ เขาเบื่อหน่ายกับการทำให้คนทีละมากๆ ลำบากเพราะเขามาพอแล้ว
ว่าแล้วก็หยิบมือถือขึ้นมาแล้วกดโทร. ไปหาเธอ นั่นเพราะถ้าปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามโชคชะตาฟ้าดินลิขิต ชีวิตก็คงต้องปล่อยให้ดำเนินไป ไม่ทักทาย ไม่รู้จัก และท้ายสุดทุกอย่างก็จะถูกลืมเลือนไป ที่สำคัญจะรอให้เธอโทร.มาก็คงไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้ให้เบอร์เธอไป ความรู้สึกขณะรอสาย ตื่นเต้นไม่ต่างจากทหารกำลังอยู่ระหว่างปฏิบัติงานสามจังหวัดชายแดนใต้ยังไงยังงั้น
“สวัสดีค่ะ อรวีรับสาย มีอะไรให้รับใช้คะ” เสียงใสๆ ที่ดังมาตามสายทำให้ชายหนุ่มอึ้งไปสองวิ ผ่าสิ นอกจากหน้าตาน่ารักแล้วเสียงยังเพราะอีก... คนอะไร
“เอิ่ม... ผมโทร.มาเรื่องซีดีอรวี จะถามว่าคุณพอจะมีเวลาเจอกันหน่อยได้มั้ย”
“เมื่อไหร่ ที่ไหนคะ”
“พรุ่งนี้สักเที่ยงๆ ทานข้าวกลางวันกัน”
“อืมม์ พรุ่งนี้เหรอคะ ต้องขอโทษด้วยฉันมีนัดแล้ว เลื่อนเป็นวันหลังได้มั้ยคะ”
“ครับ ไม่เป็นไร”
เขาวางสายไป และรู้สึกเหมือนหัวใจถูกแทง ซ้ำๆ สักพันครั้ง ขณะที่อรวี ตื่นเต้นจนไม่รู้จะพูดอะไร เลยเผลอปฏิเสธออกไป ทั้งที่ใจนั้นอยากจะเจอ
ว้า....โชคชะตาเล่นตลกอีกแล้ว /