Antinatalism คือ
ปรัชญาหรือแนวคิดต่อต้านการเกิดที่ไม่มีการควบคุมหรือวางแผน เนื่องจากเชื่อว่าการเพิ่มประชากรอย่างรวดเร็วเป็นผลมาจากภาวะเจริญพันธุ์ที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้เกิดภาวะประชากรมากเกิน อันจะนำไปสู่ปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร ปัญหาความยากจน และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แนวคิดต่อต้านการเกิดได้มีการนำไปใช้เป็นนโยบายต่อต้านการเกิด

ขออนุญาตนำบทความของ Peter Wessel Zapffe มาแปลครับ Peter Wessel Zapffe
เป็นนัก อภิปรัชญา(ปรัชญาขั้นสูง) ชาวนอร์เวย์ เป็นทั้งนักเขียนและนักกฎหมาย เขามักจะสังเกตเห็นว่าเขามองโลกในแง่ร้าย เกี่ยวกับการดำรงอยู่ของมนุษย์ และระบบปรัชญาของเขาสอดคล้องกับความคิดเกี่ยวกับความผิดพลาดของชีวิตมนุษย์
(อ่านแล้วอาจจะงงหน่อยนะครับแปลมาจาก google อีกที)
มนุษย์เป็นความขัดแย้งทางชีวภาพ ตามความคิดของเขาสติได้กลายเป็นวิวัฒนาการในมนุษย์มากขึ้นทำให้เราไม่สามารถทำงานได้ตามปกติเหมือนสัตว์อื่น ๆ ความรู้ความเข้าใจทำให้เรามีมากกว่าที่เราจะแบก ความอ่อนแอและความไม่มีนัยสำคัญของเราในจักรวาลนั้นปรากฏแก่เรา เราต้องการที่จะมีชีวิตอยู่และเนื่องจากวิธีการที่เราพัฒนาเราจึงเป็นเผ่าพันธุ์เดียวที่สมาชิกตระหนักดีว่าพวกมันถูกกำหนดให้ตาย เราสามารถวิเคราะห์อดีตและอนาคตของตัวเราเองและคนอื่น ๆ รวมถึงจินตนาการถึงความทุกข์ทรมานของผู้คนหลายพันล้านคน (นอกเหนือจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ) และรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อความทุกข์ทรมานของพวกเขา เราปรารถนาความยุติธรรมและความหมายในโลกที่ไม่เกิดขึ้น สิ่งนี้ทำให้แน่ใจได้ว่าชีวิตของบุคคลที่มีสตินั้นน่าสลดใจ เรามีความต้องการ ความต้องการทางวิญญาณซึ่งความจริงไม่สามารถสนองได้และเผ่าพันธุ์ของเรายังคงมีอยู่เพียงเพราะเรา จำกัด การรับรู้ของเราเกี่ยวกับสิ่งที่ความจริงนั้นเกิดขึ้นจริง การดำรงอยู่ของมนุษย์นั้นเป็นเครือข่ายของกลไกการป้องกันซึ่งสามารถสังเกตได้ทั้งแบบรายบุคคลและแบบสังคมในรูปแบบพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของเรา ตามที่ Zapffe มนุษยชาติควรยุติการหลอกลวงตนเองและผลที่ตามธรรมชาติจะเป็นการสูญพันธุ์โดยการงดเว้นจากการให้กำเนิด (เป็นทฤษฎี อภิปรัชญา ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของวิชาปรัชญา ที่ว่าด้วยความแท้จริงหรือสารัตถะ ชีวิต โลก และ ภาวะเหนือธรรมชาติ เช่น พระเจ้า สารัตถะ ความเป็นเอกภาพของความจริงที่มีเพียงหนึ่ง)
ผมเห็นด้วยกับแนวคิดนี้นะ เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจิตนึกคิดและความตระหนักถึงความขัดแย้งของการดำรงชีวิตที่มีมากจนเกินไป จนทำให้โลกถูกบิดเบือนไปมากจากความจริง ผมมักจะถูกถามจากผู้ใหญ่บ่อยๆว่ารักเขาไหม เมื่อผมตระหนักได้ถึงเหตุและผลของการกระทำของมนุษย์ทั้งหมด มันทำให้ผมรู้ว่า รักอันบริสุทธิ์ไม่มีอยู่จริง มีแต่ความผูกพันที่ เป็นตัวแปรให้มนุษย์หาตรรกะ ของการกระทำอันเป็นเหตุเป็นผลต่างๆขึ้นมา และถ้าเลือกได้ผมอยากให้วัฏสงสารสิ้นสุดลง จากการไม่มีการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ... แต่คงเป็นไปได้ยาก เพราะแม้แต่ตัวผมเองที่คิดว่าเข้าใจเรื่องพวกนี้ดีแล้วก็ตาม ก็ยังมีกิเลสที่ยังดับไม่ได้อยู่ดี
คิดเห็นยังไงกันบ้างครับ เกี่ยวกับทฤษฎี Antinatalism แนวคิดต่อต้านการเกิดของมนุษย์ !!
ปรัชญาหรือแนวคิดต่อต้านการเกิดที่ไม่มีการควบคุมหรือวางแผน เนื่องจากเชื่อว่าการเพิ่มประชากรอย่างรวดเร็วเป็นผลมาจากภาวะเจริญพันธุ์ที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้เกิดภาวะประชากรมากเกิน อันจะนำไปสู่ปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร ปัญหาความยากจน และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แนวคิดต่อต้านการเกิดได้มีการนำไปใช้เป็นนโยบายต่อต้านการเกิด
ขออนุญาตนำบทความของ Peter Wessel Zapffe มาแปลครับ Peter Wessel Zapffe
เป็นนัก อภิปรัชญา(ปรัชญาขั้นสูง) ชาวนอร์เวย์ เป็นทั้งนักเขียนและนักกฎหมาย เขามักจะสังเกตเห็นว่าเขามองโลกในแง่ร้าย เกี่ยวกับการดำรงอยู่ของมนุษย์ และระบบปรัชญาของเขาสอดคล้องกับความคิดเกี่ยวกับความผิดพลาดของชีวิตมนุษย์
(อ่านแล้วอาจจะงงหน่อยนะครับแปลมาจาก google อีกที)
มนุษย์เป็นความขัดแย้งทางชีวภาพ ตามความคิดของเขาสติได้กลายเป็นวิวัฒนาการในมนุษย์มากขึ้นทำให้เราไม่สามารถทำงานได้ตามปกติเหมือนสัตว์อื่น ๆ ความรู้ความเข้าใจทำให้เรามีมากกว่าที่เราจะแบก ความอ่อนแอและความไม่มีนัยสำคัญของเราในจักรวาลนั้นปรากฏแก่เรา เราต้องการที่จะมีชีวิตอยู่และเนื่องจากวิธีการที่เราพัฒนาเราจึงเป็นเผ่าพันธุ์เดียวที่สมาชิกตระหนักดีว่าพวกมันถูกกำหนดให้ตาย เราสามารถวิเคราะห์อดีตและอนาคตของตัวเราเองและคนอื่น ๆ รวมถึงจินตนาการถึงความทุกข์ทรมานของผู้คนหลายพันล้านคน (นอกเหนือจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ) และรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อความทุกข์ทรมานของพวกเขา เราปรารถนาความยุติธรรมและความหมายในโลกที่ไม่เกิดขึ้น สิ่งนี้ทำให้แน่ใจได้ว่าชีวิตของบุคคลที่มีสตินั้นน่าสลดใจ เรามีความต้องการ ความต้องการทางวิญญาณซึ่งความจริงไม่สามารถสนองได้และเผ่าพันธุ์ของเรายังคงมีอยู่เพียงเพราะเรา จำกัด การรับรู้ของเราเกี่ยวกับสิ่งที่ความจริงนั้นเกิดขึ้นจริง การดำรงอยู่ของมนุษย์นั้นเป็นเครือข่ายของกลไกการป้องกันซึ่งสามารถสังเกตได้ทั้งแบบรายบุคคลและแบบสังคมในรูปแบบพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของเรา ตามที่ Zapffe มนุษยชาติควรยุติการหลอกลวงตนเองและผลที่ตามธรรมชาติจะเป็นการสูญพันธุ์โดยการงดเว้นจากการให้กำเนิด (เป็นทฤษฎี อภิปรัชญา ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของวิชาปรัชญา ที่ว่าด้วยความแท้จริงหรือสารัตถะ ชีวิต โลก และ ภาวะเหนือธรรมชาติ เช่น พระเจ้า สารัตถะ ความเป็นเอกภาพของความจริงที่มีเพียงหนึ่ง)
ผมเห็นด้วยกับแนวคิดนี้นะ เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจิตนึกคิดและความตระหนักถึงความขัดแย้งของการดำรงชีวิตที่มีมากจนเกินไป จนทำให้โลกถูกบิดเบือนไปมากจากความจริง ผมมักจะถูกถามจากผู้ใหญ่บ่อยๆว่ารักเขาไหม เมื่อผมตระหนักได้ถึงเหตุและผลของการกระทำของมนุษย์ทั้งหมด มันทำให้ผมรู้ว่า รักอันบริสุทธิ์ไม่มีอยู่จริง มีแต่ความผูกพันที่ เป็นตัวแปรให้มนุษย์หาตรรกะ ของการกระทำอันเป็นเหตุเป็นผลต่างๆขึ้นมา และถ้าเลือกได้ผมอยากให้วัฏสงสารสิ้นสุดลง จากการไม่มีการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ... แต่คงเป็นไปได้ยาก เพราะแม้แต่ตัวผมเองที่คิดว่าเข้าใจเรื่องพวกนี้ดีแล้วก็ตาม ก็ยังมีกิเลสที่ยังดับไม่ได้อยู่ดี