พระโพธิสัตว์จักเสด็จออกจากมือของอำมาตย์เหล่านั้น แล้วทรงประดิษฐานพระองค์อยู่ ณ แผ่นดินด้วยฝ่าพระบาทอันเรียบ และจักทรงประทับยืนทอดพระเนตรไปทางทิศตะวันออก ลำดับนั้น ธารน้ำร้อนและธารน้ำเย็นอันมีสีดังแก้วผลึกและแก้วมณีจักไหลจากอากาศมาสักการะพระมหาสัตว์ผู้มีพระวรกายหมดจดและพระมารดาเพื่อให้พระสรีระกายของทั้งสองพระองค์ได้รับไออุ่น
ครั้งนั้น บุพพนิมิต ๓๒ ประการ อาทิ เช่น แผ่นดินหวั่นไหว ดังมีประการดังกล่วมาในหนหลัง ก็ปรากฏขึ้นด้วยเพราะพระมหาสัตว์ทรงมีความอัศจรรย์เป็นอันมากที่ทรงปรากฏอย่างนั้น ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์จักทอดพระเนตรดูแล้วทรงรำพึงว่า “สัตว์โลกที่เสมอกับเราหรือยิ่งกว่าเราจะมีหรือไม่หนอ?”
ครั้งนั้นหลายแสนโกฏิจักรวาลจักปรากฏเป็นดุจเนินอันเดียวกันหมู่เทวดาและมนุษย์ในทิศตะวันออกนั้น จักเอาของหอมและดอกไม้เป็นต้น มาบูชาพระองค์ แล้วจักป่าวประกาศร้องโดยพร้อมเพรียงกันว่า “ข้าแต่พระมหาบุรุษ ในที่นี้บุรุษผู้เช่นเดียวกันกับพระองค์ก็ไม่มี แล้วบุรุษผู้ยิ่งกว่าพระองค์จักปรากฏมีมาแต่ที่ไหน”
พระโพธิสัตว์ทรงทอดพระเนตรดูทิศทั้ง ๑๐ โดยสำคัญอย่างนี้คือ ทิศใหญ่ ๔ ทิศ อันประกอบด้วย ทิศบูรพา (ตะวันออก) ทิศประจิม (ตะวันตก) ทิศอุดร (เหนือ) ทิศทักษิณ (ใต้) ทิศน้อย ๔ ทิศ อันประกอบด้วย ทิศอีสาน (ตะวันออกเฉียงเหนือ) ทิศหรดี (ตะวันตกเฉียงใต้) ทิศพายัพ (ตะวันตกเฉียงเหนือ) ทิศอาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้) ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องบน
เมื่อทรงทอดพระเนตรทิศทั้ง ๑๐ ดังนี้แล้ว ก็ไม่ทรงพบผู้ที่เช่นเดียวกันกับพระองค์แม้ในทิศนั้นๆ ลำดับนั้นทรงเห็นว่าทิศนี้เป็นทิศเหนือ จึงเสด็จพระดำเนินไป ๗ ก้าว ครั้งนั้น ท้าวมหาพรหมจักกั้นเศวตฉัตรถวาย ท้าวสุยามะจักถือพัดวาลวีชนีถวาย เทพบุตรตนหนึ่งจักถือพระขรรค์มงคลอันขจิต (ประดับ) ด้วยแก้ว ๗ ประการ เทพบุตรตนหนึ่งจักถือฉลองพระบาททอง เทพบุตรตนหนึ่งจักถือพระมงกุฎทิพย์
พระโพธิสัตว์ทรงบังเกิดเป็นเพียงพระกุมารน้อยๆ แต่จักทรงปรากฏพระองค์เป็นเสมือนมีพระชนมายุ ๑๖ พรรษา พระองค์ทรงเปลือยพระวรกาย แต่จักทรงปรากฏเสมอืนทรงนุ่งห่มผ้ากาสิกพัสตร์ พระองค์มิได้ทรงประดับพระองค์เลย แต่จักทรงปรากฏเสมือนทรงประดับด้วยเครื่องประดับแห่งพระเจ้าจักรพรรดิทั้งหลาย พระองค์ทรงเสด็จไปบนพื้นดินแต่จักปรากฏเสมือนทรงเหาะไปทางอากาศ แม้ในที่นั้นแสนโกฏิจักรวาลก็จักปรากฏเป็นดุจเนินอันเดียวกัน
++++++++++++++++++++++++++
buddha birthday 7 ก้าว บนดอกบัว ทั่วโลก
พระโพธิสัตว์จักเสด็จออกจากมือของอำมาตย์เหล่านั้น แล้วทรงประดิษฐานพระองค์อยู่ ณ แผ่นดินด้วยฝ่าพระบาทอันเรียบ และจักทรงประทับยืนทอดพระเนตรไปทางทิศตะวันออก ลำดับนั้น ธารน้ำร้อนและธารน้ำเย็นอันมีสีดังแก้วผลึกและแก้วมณีจักไหลจากอากาศมาสักการะพระมหาสัตว์ผู้มีพระวรกายหมดจดและพระมารดาเพื่อให้พระสรีระกายของทั้งสองพระองค์ได้รับไออุ่น
ครั้งนั้น บุพพนิมิต ๓๒ ประการ อาทิ เช่น แผ่นดินหวั่นไหว ดังมีประการดังกล่วมาในหนหลัง ก็ปรากฏขึ้นด้วยเพราะพระมหาสัตว์ทรงมีความอัศจรรย์เป็นอันมากที่ทรงปรากฏอย่างนั้น ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์จักทอดพระเนตรดูแล้วทรงรำพึงว่า “สัตว์โลกที่เสมอกับเราหรือยิ่งกว่าเราจะมีหรือไม่หนอ?”
ครั้งนั้นหลายแสนโกฏิจักรวาลจักปรากฏเป็นดุจเนินอันเดียวกันหมู่เทวดาและมนุษย์ในทิศตะวันออกนั้น จักเอาของหอมและดอกไม้เป็นต้น มาบูชาพระองค์ แล้วจักป่าวประกาศร้องโดยพร้อมเพรียงกันว่า “ข้าแต่พระมหาบุรุษ ในที่นี้บุรุษผู้เช่นเดียวกันกับพระองค์ก็ไม่มี แล้วบุรุษผู้ยิ่งกว่าพระองค์จักปรากฏมีมาแต่ที่ไหน”
พระโพธิสัตว์ทรงทอดพระเนตรดูทิศทั้ง ๑๐ โดยสำคัญอย่างนี้คือ ทิศใหญ่ ๔ ทิศ อันประกอบด้วย ทิศบูรพา (ตะวันออก) ทิศประจิม (ตะวันตก) ทิศอุดร (เหนือ) ทิศทักษิณ (ใต้) ทิศน้อย ๔ ทิศ อันประกอบด้วย ทิศอีสาน (ตะวันออกเฉียงเหนือ) ทิศหรดี (ตะวันตกเฉียงใต้) ทิศพายัพ (ตะวันตกเฉียงเหนือ) ทิศอาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้) ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องบน
เมื่อทรงทอดพระเนตรทิศทั้ง ๑๐ ดังนี้แล้ว ก็ไม่ทรงพบผู้ที่เช่นเดียวกันกับพระองค์แม้ในทิศนั้นๆ ลำดับนั้นทรงเห็นว่าทิศนี้เป็นทิศเหนือ จึงเสด็จพระดำเนินไป ๗ ก้าว ครั้งนั้น ท้าวมหาพรหมจักกั้นเศวตฉัตรถวาย ท้าวสุยามะจักถือพัดวาลวีชนีถวาย เทพบุตรตนหนึ่งจักถือพระขรรค์มงคลอันขจิต (ประดับ) ด้วยแก้ว ๗ ประการ เทพบุตรตนหนึ่งจักถือฉลองพระบาททอง เทพบุตรตนหนึ่งจักถือพระมงกุฎทิพย์
พระโพธิสัตว์ทรงบังเกิดเป็นเพียงพระกุมารน้อยๆ แต่จักทรงปรากฏพระองค์เป็นเสมือนมีพระชนมายุ ๑๖ พรรษา พระองค์ทรงเปลือยพระวรกาย แต่จักทรงปรากฏเสมอืนทรงนุ่งห่มผ้ากาสิกพัสตร์ พระองค์มิได้ทรงประดับพระองค์เลย แต่จักทรงปรากฏเสมือนทรงประดับด้วยเครื่องประดับแห่งพระเจ้าจักรพรรดิทั้งหลาย พระองค์ทรงเสด็จไปบนพื้นดินแต่จักปรากฏเสมือนทรงเหาะไปทางอากาศ แม้ในที่นั้นแสนโกฏิจักรวาลก็จักปรากฏเป็นดุจเนินอันเดียวกัน
++++++++++++++++++++++++++