วันวิสาขบูชาที่ควรรู้

 
                 วันวิสาขบูชาที่ควรรู้ วันวิสาขบูชา
       
               
        เมื่อถึงกาลสมัยอันควรที่จะมาตรัสรู้ เทวดา พรหม อรูปพรหม ทั่วหมื่นโลกธาตุ ตลอดภพ 3 ก็มาประชุมพร้อมกัน และอัญเชิญพระองค์ลงมาบังเกิดในโลกมนุษย์ ซึ่งท่านก็จะตรวจตราดูปัญจมหาวิโลกนะ คือดูทวีป ประเทศ อายุขัยของมนุษย์ยุคนั้น ดูตระกูลที่มนุษย์ยกย่องว่าเป็นเป็นเลิศในโลก และก็ดูพุทธมารดา ตรวจตราดูแล้วเห็นว่าเป็นการที่เหมาะสมที่จะได้มาเกิดในชมพูทวีปในมัชฌิมประเทศในยุคที่มนุษย์มีอายุประมาณ 100 ปี เกิดในขัตติยตระกูล และทรงกำหนดเอาพระนางสิริมหามายาเป็นพุทธมารดาจากนั้นจึงรับอาราธนาและก็อธิษฐานจิตลงมาเกิดในโลกมนุษย์ในวันประสูติ
     ย้อนไปก่อนพุทธศักราช 80 ปี ณ สวนลุมพินี ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ และกรุงเทวทหะ ตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 วันนี้นับเป็นวันที่รูปกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นบนพื้นโลก พระนางสิริมหามายาผู้เป็นพุทธมารดาเมื่อทรงตั้งครรภ์ด้วยความที่พระนางทรงรักษาศีลและฝึกสมาธิ(Meditation)มามากทำให้ทรงเห็นพระโพธิสัตว์ที่อยู่ในครรภ์กำลังนั่งขัดสมาธิอย่างชัดเจนเหมือนอย่างกับพระโพธิสัตว์ นั่งสมาธิอยู่นอกพระครรภ์ครั้นถึงคราวพระโพธิสัตว์ประสูติ ปรากฏว่า พระพุทธมารดาทรงประทับยืนประสูติโดยเอาพระบาทออกมาก่อน ทันที่พระบาทเหยียบถึงพื้นก็สามารถยืนและเดินได้เลยทันทีนับเป็นอัศจรรย์ที่ บังเกิดขึ้นได้ยาก เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติและยืนได้ถนัดแล้ว ทรงเปล่งอาสภิวาจา ที่ทรงยืนยันถึงวัตถุประสงค์ในการเกิดอย่างชัดเจนว่า เราเป็นผู้เลิศ ผู้เจริญผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ไม่มีแก่เราอีกแล้ว
     ขณะที่พระโพธิสัตว์กำลังประสูตินั้นได้บังเกิดความสว่างไสวในโลกและไกลไปถึงหมื่นโลกธาตุ บุพนิมิต 32 ประการปรากฏขึ้น ในหมื่นจักวาลได้มีแสงสว่างสุดจะประมาณแผ่ซ่านไปนับเป็นความ มหัศจรรย์ที่บังเกิดขึ้นได้ยากในโลกโดยแท้ ครั้งพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น ได้ทอดพระเนตร เทวทูตทั้ง 4 คือ คนแก่ คนเจ็บ คน ตาย และสมณะ ก็คิดได้ว่า ต้องเลือกชีวิตสมณะ เพราะเป็นชีวิตที่ประเสริฐที่สุดที่จะมุ่งไปสู่หนทางพ้นทุกข์ ท่านจึงเสด็จออกผนวชเมื่อ 29 พรรษา และได้ทรงม้ากัณฐกะออกผนวชที่แม่น้ำเนรัญชรา ในวันตรัสรู้ตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6

   
          หลังจากได้บำเพ็ญเพียรมายาวนานถึง 6 ปี ภายใต้ต้นอัสสัตถพฤกษ์ ในวันนั้นพระบรมโพธิสัตว์ได้ทรงนั่งคู้อปราชิตบัลลังก์ ซึ่งแม้สายฟ้า จะผ่าลงตั้ง 100 ครั้งก็ไม่ทำให้หวั่นไหว โดยทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า แม้เลือดและเนื้อในกายจะแห้งเหือดเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูก ก็ตาม ตราบใดที่เราไม่บรรลุพระสัมโพธิญาณได้รู้ได้เห็นธรรมอันยิ่งแล้วจะไม่ย้อมลุกจากบัลลังก์นี้เป็นอันขาด
     จะนั่งอบรมกายว่าจาใจให้ละเอียดถึงที่สุดให้ได้ พญามารรู้เข้าก็สะดุ้งกันทั้งภพเลยที่เดียวได้เข้ามาท้าวปาระนิลนิมิตรสวัดตรีให้เป็นเทวบุตรมาร แล้วก็พากันยกพลทัพมารมาข่มคู่พระบรมโพธิสัตว์ท่านก็ไม่หวั่นไหว ถึงแม้พญามารจะมาข่มขู่ด้วยวิธีใดก็ตามท่านก็นั่งทำใจหยุดใจนิ่งอย่างเดียวในที่สุดพระองค์ก็สามารถเอาชนะได้ ด้วยอานุภาพแห่งบารมีธรรมที่สั่งสมมาอย่างดีแล้วนับภพนับชาติไม่ถ้วน
     หมู่มารทั้งหลายต่างตื่นตะหนกตกใจในบุญญานุภาพของพระมหาบุรุษ มารทั้งหมดต่างกระจัดกระจ่ายไปในทิศใหญ่ ทิศน้อย พระมหาบุรุษทรงพิจารณาปัจจยาการอันประกอบด้วยองค์ 12 โดยอนุโลมและปฏิโลม หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว 12 ครั้ง จนจดน้ำนองแผ่นดินเป็นที่สุด พระมหาบุรุษได้ทรงบรรลุสัพพัญญุตะญาณในเวลาอรุณขึ้น

     เมื่อตรัสรู้แล้วก็ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเปี่ยมล้น อบรมพร่ำสอนชาวโลกให้ได้รู้และเห็นธรรมตามไปด้วย ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน 45 พรรษา พระพุทธองค์ทรงดำเนินด้วยเท้าเปล่า
เสด็จจาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามดินแดนต่างๆ อย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ทำให้มีสรรพสัตว์บรรลุธรรมมาพิสมัยเป็นอริยบุคคลมากมายนับไม่ถ้วน
จากนั้นจึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อทรงมีพระชนมายุได้ 80 พรรษา ในวันปรินิพพานตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 1 ปี ณ ป่าสาลวัน เมืองกุสินารา วันนี้เป็นวันที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน รูปประกายที่ประกอบด้วยเลือดเนื้อแตกดับลง คงเหลือแต่พระธรรมขันธ์ คือกายธรรมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเสด็จเข้าสู่พระนิพพาน
ก่อนจะเสด็จดับขันธ์นั้น ยังทรงมีมหากรุณาประทานปัจฉิมโอวาทแก่พุทธบริษัทว่า สังขารร่างกายของเราไม่เที่ยง มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอยังคงความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่