Rwanda: Children of genocide grapple with horrors of past | DW News
ศพผู้เคราะห์ร้ายทั้งหมดถูกบรรจุในโลงศพจำนวน 81 โลง
Rwanda ได้ฝังศพผู้เคราะห์ร้าย 84,437 ศพ
ที่ตายเพราะการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ภายในประเทศ
เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายพบว่าฝังอยู่ใต้ดินแถวบ้านพัก
เขตชานเมืองหลวง Kigali ของ Rwanda
สมาชิกหลายคนของครอบครัวผู้ตาย
ยังจดจำคนรักของตนได้จาก ร่องรอยฟัน เสื้อผ้า
และข้าวของผู้ตายที่ใช้ในชีวิตประจำวันที่ยังหลงเหลืออยู่
ในพิธีฝังศพที่เมือง Kigali ในวันเสาร์ที่ผ่านมา
ศพจำนวน 84,437 รายที่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
จะมีการทำพิธีฝังใหม่อีกครั้ง
ที่อนุสรณ์สถาน Nyanza Genocide Memorial
Nyanza Genocide Memorial Rwanda
การทำพิธีฝังมีขึ้นหนึ่งเดือนหลังจากครบรอบ 25 ปี
ของโศกนาฎกรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุภายในประเทศ
การค้นพบศพชุดใหม่ครั้งนี้
คือ หนึ่งในจำนวนผู้ตายมากกว่า 800,000 คน
ผู้ตายส่วนใหญ่เป็นชนเผ่ากลุ่มน้อย Tutsi
ที่ถูกชนเผ่า Hutu หัวรุนแรงและกองกำลังติดอาวุธ
ทำการสังหารแบบฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
กินเวลาเกือบ 100 วันกว่าจะสงบศึกลง
" การรำลึกถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ Tutsi นั้น
เป็นความรับผิดชอบของชาวรวันดา
และผู้ตายควรได้รับการฝังศพในสถานที่ดี "
Johnston Busingye รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
กล่าวในพิธีฝังศพ
ซากศพเหล่านี้ถูกค้นพบอยู่ใต้บ้านเรือน
ในเขตชานเมืองด้านตะวันตกของ
เมืองหลวงของประเทศรวันดาในปี 2018
โดยพบถึง 143 หลุมเต็มไปด้วยกองกระดูกและเสื้อผ้านับพัน ๆ ชิ้น
การลำเลียงโลงศพ 81 โลงไปทำพิธีฝังใหม่
จากรายงานของหนังสือพิมพ์ The New Times ของ Rwanda
ระบุว่าชนเผ่า Tutsi ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อส่วนใหญ่
น่าจะถูกสังหารที่ Roadblocks ตามถนนสายหลัก/ใกล้เคียง
ที่มีพวกทหารชนเผ่า Hutu หนุนหลังพวกก่อการร้ายอยู่
หลอกพวกชนเผ่า Tutsi หลบหนีไปทางนั้นออกจากเมืองหลวง
อย่างหวังดีแต่ประสงค์ร้าย แบบต้องการฆ่าให้ตายมากที่สุด
Jean-Pierre Dusingizemungu ประธานกลุ่ม Ibuka
องค์กรคุ้มครองผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ได้ระบุว่า เจ้าของพื้นที่ยอมเปิดเผยจุดที่เป็นหลุมฝังศพ
หลังจากที่ถูกทางการคุกคามว่าจะจับกุมตัวไปลงโทษ
ในรวันดาการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับที่ฝังศพ
ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ถือเป็นความผิดทางอาญาต้องรับโทษตามกฎหมาย
ความลับดังกล่าวที่เปิดเผยครั้งแรก
นำไปสู่การค้นพบหลุมศพมากขึ้น
เมื่อชายคนหนึ่งในปี 1994
ผู้ได้รับมอบหมายให้ฝังศพเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย
ได้ออกมาเปิดเผยตัวตนพร้อมกับให้ข้อมูลเพิ่มเติม
“ ในครั้งแรกที่พบคือ หลุมศพขนาดใหญ่
หลังจากนั้นจากหลุมศพหนึ่งก็นำไปสู่อีกหลุมศพหนึ่ง
จนต่อไปเรื่อย ๆ อีกหลายหลุมศพ
จนกระทั่งเราค้นพบหลุมฝังศพจำนวนมากในบริเวณใกล้เคียง
เจ้าของบ้านหลายหลังต่างรู้ดีว่า
มีหลุมฝังศพจำนวนมากอยู่ภายในบ้าน/บริเวณบ้านของพวกตน
แต่ต่างไม่ยอมแจ้งให้เจ้าหน้าที่ได้รับทราบเรื่องนี้
และในบางครั้ง ซากศพก็ถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากบ้าน
หลังจากสิ้นสุดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
เรื่องที่น่าเศร้าก็คือ
เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายหลายรายไม่สามารถระบุอัตลักษณ์ได้
เพราะผู้กระทำความผิดในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้ทำลายศพโดยเจตนา
เช่น การเทน้ำกรดลงบนศพ หรือ บดกระดูกให้ป่นพร้อมกับก้อนเกลือ "
Egide Nkuranga รองประธานกลุ่ม Ibuka ให้สัมภาษณ์กับ The New Times
หลุมศพขนาดใหญ่ที่ระบุได้ในครั้งนี้มีถึง 143 แห่ง
แต่ที่ขุดขึ้นมาทำพิธีในครั้งนี้ได้เพียง 43 หลุม
ยังเหลือที่รอการขุดค้นอีก 100 หลุม
อย่างไรก็ตามสมาชิกในครอบครัวหลายคน
สามารถระบุคนที่รักได้ด้วยจากหลักฐาน
ชิ้นส่วนฟัน เสื้อผ้า และเครื่องหมายอื่น ๆ
พร้อมกับกระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์
ผู้ร่วมพิธีไว้อาลัยต่างพากันร้องไห้
ขณะที่โลงศพสีขาว 81 โลง
ได้บรรจุเศษซากศพของเหยื่อเกือบ 85,000 ราย
ที่ในที่สุดก็ได้ถูกฝังในที่ใหม่พร้อมกัน
ส่วนญาติพี่น้องผู้รอดตายต่างได้ร่วมกัน
รำลึกถึงความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก
จากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่แสนจะเหี้ยมโหด
สมาชิกในครอบครัวเข้าร่วมในพิธีรำลึกการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ที่ Nyanza Memorial
Emanuel Nduwayezu ได้ให้สัมภาษณ์กับ AFP ว่า
" การค้นพบครั้งนี้มีความหมายสำคัญอย่างยิ่ง
เพราะในที่สุดผมก็จะมีที่วางพวงหรีดสำหรับครอบครัวของผม
ทุก ๆ วันที่ 7 เมษายนซึ่งเป็นวันครบรอบการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ตอนนี้ผมพอจะมีความสุขขึ้นมาบ้าง
เพราะผมได้ฝังพ่อ พี่สาว ลูก ๆ ของเธอ และลูกสะใภ้ของผม
25 ปีผ่านพ้นไปแล้ว และผมไม่เคยรู้เลยว่า
พวกเขาอยู่ที่ไหนกันบ้าง
ทุก ๆ วัน ผมมักครุ่นคิดและสับสน
ว่าพ่อผมอยู่ที่ไหนกันแน่
แต่ตอนนี้ผมพบพ่อแล้ว
และผมก็ได้ฝังศพพ่อ ”
Clementine Ingabire ผู้รอดตายเพียงคนเดียว
จากครอบครัวขยายของเธอที่มีอยู่ถึง 23 คน
ได้พบสมาชิกในครอบครัวของเธอ 7 คนในหลุมดังกล่าว
ในงานพิธีรำลึกถึงผู้ตายจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
Clementine Ingabire วัย 32 ปี
ชนเผ่า Tutsi รู้สึกพอใจในระดับหนึ่ง
เพราะผู้ตายได้รับการฝังศพอย่างสง่างาม
แม้ว่าซากศพของผู้ตายจะอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย
ปะปนอยู่ท่ามกลางโลงศพมากมายในครั้งนี้
" ฉันได้รับการช่วยเหลือจากผู้หญิง Hutu
ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท/เพื่อนที่ดีกับแม่ของฉัน
เธอเห็นฉันวิ่งหนีและคว้าตัวฉันไว้ ...
(พร้อมพาเธอหลบซ่อนตอนที่เธออายุราว 6-7 ขวบ)
นั่นเป็นวิธีที่ฉันรอดตาย " เธอให้สัมภาษณ์กับ AFP
การนองเลือดที่เริ่มต้นในวันที่ 7 เมษายน 1994
สิ้นสุดลงในวันที่ 4 กรกฎาคม 1994
เมื่อกองกำลังติดอาวุธ Tutsi ส่วนใหญ่ที่เคยเป็นฝ่ายกบฎ
นำโดย Paul Kagame ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
ได้นำทัพเข้าสู่ Kigali และทำสงครามขับไล่พวกฆาตกร
จนต้องหนีตายออกนอกประเทศไป
เรียบเรียง/ที่มา
https://bit.ly/2WsqdJE
https://bit.ly/2PPs34M
หมายเหตุ
ความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าในรวันดา
ชนเผ่าส่วนใหญ่ Hutu กับชนเผ่ากลุ่มน้อย Tutsi
สืบทอดกันมายาวนานตั้งแต่ยุคอาณานิคมของเบลเยี่ยม
แม้ว่าชนเผ่าทั้งสองกลุ่มนี้จะดูเหมือนกันมากแทบไม่แตกต่าง
เพราะต่างพูดจาภาษาเดียวกัน อาศัยร่วมกันในชุมชนพื้นที่เดียวกัน
และต่างมีประเพณีวัฒนธรรมเหมือนกัน
แต่ชนเผ่า Tutsi มักจะผอมบางและสูงกว่าชนเผ่า Hutu
บางคนว่าชนเผ่า Tutsi มีรากเง่าเผ่าพันธุ์มาจาก Ethiopia
ในช่วงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา
ศพของชนเผ่า Tutsi มักจะถูกโยนทิ้งลงในแม่น้ำ
เพราะพวกฆาตกรมักจะพูดกันว่า
จะได้ส่งพวกมันกลับไปที่ Ethiopia
ในปี 1916 เบลเยี่ยมได้ยึดครองรวันดา
และจัดทำบัตรประชาชนเพื่อแยกแยะชนเผ่า
พร้อมกำหนดให้ชนเผ่า Tutsi เหนือกว่าชนเผ่า Hutu
มีโอกาสในการทำงานรับใช้อาณานิคมมากกว่า
แน่นอนเรื่องแบบนี้ชนเผ่า Tutsi ย่อมจะชอบอยู่แล้ว
เนิ่นนาน 20 ปีต่อมา ชนเผ่า Tutsi ต่างได้งานที่ดีกว่า
โอกาสการศึกษาที่ดีกว่ามากกว่าเพื่อนบ้านชนเผ่า Hutu
ในปี 1956 ความขัดแย้งที่แหลมคมก็ปะทุขึ้นมา
เกิดการจลาจลโดยฝีมือของชนเผ่า Hutu
ทำให้ชนเผ่า Tutsi มากกว่า 20,000 คนถูกฆ่าตาย
และชนเผ่า Tutsi จำนวนอีกหลายคนต่างอพยพหนีตาย
ไปอยู่ในประเทศ Burundi Tanzania และ Uganda
ในปี 1962
เบลเยี่ยมละทิ้งชาติอาณานิคม
รวันดาได้รับเอกราช
ชนเผ่า Hutu ขึ้นครองอำนาจ
เพราะพวกมากกว่าเลือกตั้งกี่ครั้งก็ชนะทุกครั้ง
หลายทศวรรษที่ผ่านมา
ชนเผ่า Tutsi มักจะเป็นแพะรับบาปในทุกวิกฤติการณ์
ตายหนึ่งคนคือโศกนาฎกรรม ตายล้านคนเริ่มเป็นสถิติ
ความตายแก้ไขปัญหาได้ทุกเรื่อง ไร้คน ไร้ปัญหา
เรื่องเล่าไร้สาระ
แบ่งแยกแล้วปกครอง แบ่งแยกแล้วทำลาย
ยุทธศาสตร์ดังกล่าวมีมาตั้งแต่ยุคโบราณ
แบบความชั่วเรียนรู้ง่าย ความดีต้องฝีกฝน
ตั้งแต่ยุคโรมันรบกับพวกชนเผ่าต่าง ๆ
จีนรบกับพวกกลุ่มอนารยชนตามชายแดน
แม้กระทั่งมองโกลรุกรานชนชาติต่าง ๆ
ในอินเดียเดิมก็ใช้ระบบวรรณะแย่งแยกชนชั้น
วรรณะพราหมณ์ ผู้สั่งสอนผู้คนให้มีความรู้
ทางด้านขนบธรรมเนียม/ประเพณี(แบบงมงาย) สีประจำตัวคือ สีขาว
กษัตริย์ ผู้ปกครองบ้านเมือง วรรณะสูงสุดเพราะตัดหัวคนคัดค้านได้
กษัตริย์ชายแต่งงานกับหญิงต่างวรรณะ ลูกที่เกิดมายังเป็นวรรณะกษัตริย์
มีใน
วิฑูฑภะ ที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ศากยะวงศ์ สีประจำตัวคือ สีแดง
ไวศยะ (แพศย์) ผู้ใช้วาจาค้าขาย สีประจำตัวคือ สีเหลือง
ศูทร ผู้ใช้แรงงาน สีประจำตัวคือ สีดำ
ใครแต่งงานผิดวรรณะคือ พวกจัณฑาล สามานย์
ไม่เข้ากับพวกใครเป็นเสนียดจันไร ไม่เจริญ ไม่ก้าวหน้า
ไร้การศึกษา การทำมาหากินลำบากกว่าพวกวรรณะอื่น ๆ
จึงมีคนอินเดียจำนวนมากหันมานับถือศาสนาพุทธ อิสลาม
เพื่อให้หลุดพ้นบ่วงกรรมจากศาสนาฮินดู
ส่วนพวกนักรบมุสลิมที่เข้ารุกรานชาติต่าง ๆ ในอดีต
ก็ใช้ระบบภาษีกับดาบในการแบ่งแยกชนชั้น
ใครไม่นับถือศาสนาอิสลามจะถูกเก็บภาษีแพงกว่า
ใครที่คัดค้าน/ละเมิดศาสนาอิสลามจะถูกตัดหัว
ในสเปนกับหลายชาติในยุโรปที่เคยตกเป็นเมืองขึ้นนักรบมุสลิม
คนต่างศาสนาจะถูกบังคับให้ทาสีบ้านเป็นสีจำเพาะ
เพื่อสะดวกในการแยกแยะและเก็บภาษี
แต่พอนาน ๆ เข้าก็กลายเป็นสีสันสวยงาม
การแบ่งแยกชนชั้น
ยิ่งเนิ่นนานยิ่งทำให้ชนกลุ่มน้อยมีช่องทางทำมาหากิน
และโอกาสการศึกษาดีกว่าชนกลุ่มใหญ่
ซึ่งมีผลกับการที่มีคนโง่ปกครองง่าย
และจัดการง่ายกว่าคนฉลาด
อังกฤษก็ใช้วิธีการนี้ในมาเลย์ พม่า อินเดีย
ในมาเลย์ให้คนจีนเป็นพวกข้าราชการ/จัดเก็บภาษี
ให้แขกทมิฬจากอินเดียเป็นทหารตำรวจไว้ปราบปรามชนพื้นเมือง
ทำให้มาเลย์พอได้รับเอกราชเลยแก้แค้นคนสองกลุ่มนี้
ด้วยกฎหมายภูมิปุตราที่ให้ประโยชน์กับพวกตนที่เป็นชนกลุ่มใหญ่
ในพม่าให้มอญเป็นพวกข้าราชการ/จัดเก็บภาษี
ให้กระเหรี่ยงเป็นทหารตำรวจไว้ปราบปรามชนพื้นเมือง
ในอินเดียก็ยุให้มหาราชาแต่ละแคว้นรบกันเองก่อน
โดยขายอาวุธให้ทั้งสองฝ่ายเพื่อให้ฆ่าฟันกัน
พอฝ่ายไหนเพลี่ยงพล้ำก็ช่วยถล่มซ้ำให้ยับไปเลย
ก่อนหันหน้ามาแว้งกัดทำลายฝ่ายที่ตนช่วยรุม
ด้วยวาทกรรม/จ้างทหารรับจ้างชนเผ่ากูรข่าลุย
เลยได้ครอบครองอาณานิคมอินเดียสมใจอยาก
ฝรั่งเศสใช้วิธีการให้มีคนโง่มาก ๆ จะปกครองได้ง่าย
ในลาวเขมรเวียตนามไม่ส่งเสริมการเรียนของพลเมือง
ระบบการศึกษาในชาติอาณานิคมฝรั่งเศสจึงล้าหลังมาก
มีชาวบ้านน้อยคนมากที่ได้รับการศึกษาที่ดีกว่าชาวบ้านคนอื่น ๆ
หลังจบการศึกษาแล้วมักจะส่งเสริมให้มารับใช้ชนชั้นปกครองฝรั่งเศส
พร้อมกับทำให้ชาวบ้านไม่ได้รับรู้เรื่องราว
เกี่ยวกับโลกภายนอกและความเจริญต่าง ๆ
กับกอบโกยขูดรีดทรัพยากรธรรมชาติไปที่ชาติตน
ข้อมูลเพิ่มเติม
84,437 ศพในรวันดามีการฝังใหม่อีกครั้ง
ที่ตายเพราะการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ภายในประเทศ
เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายพบว่าฝังอยู่ใต้ดินแถวบ้านพัก
เขตชานเมืองหลวง Kigali ของ Rwanda
สมาชิกหลายคนของครอบครัวผู้ตาย
ยังจดจำคนรักของตนได้จาก ร่องรอยฟัน เสื้อผ้า
และข้าวของผู้ตายที่ใช้ในชีวิตประจำวันที่ยังหลงเหลืออยู่
ในพิธีฝังศพที่เมือง Kigali ในวันเสาร์ที่ผ่านมา
ศพจำนวน 84,437 รายที่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
จะมีการทำพิธีฝังใหม่อีกครั้ง
ที่อนุสรณ์สถาน Nyanza Genocide Memorial
ของโศกนาฎกรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุภายในประเทศ
การค้นพบศพชุดใหม่ครั้งนี้
คือ หนึ่งในจำนวนผู้ตายมากกว่า 800,000 คน
ผู้ตายส่วนใหญ่เป็นชนเผ่ากลุ่มน้อย Tutsi
ที่ถูกชนเผ่า Hutu หัวรุนแรงและกองกำลังติดอาวุธ
ทำการสังหารแบบฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
กินเวลาเกือบ 100 วันกว่าจะสงบศึกลง
" การรำลึกถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ Tutsi นั้น
เป็นความรับผิดชอบของชาวรวันดา
และผู้ตายควรได้รับการฝังศพในสถานที่ดี "
Johnston Busingye รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
กล่าวในพิธีฝังศพ
ซากศพเหล่านี้ถูกค้นพบอยู่ใต้บ้านเรือน
ในเขตชานเมืองด้านตะวันตกของ
เมืองหลวงของประเทศรวันดาในปี 2018
โดยพบถึง 143 หลุมเต็มไปด้วยกองกระดูกและเสื้อผ้านับพัน ๆ ชิ้น
น่าจะถูกสังหารที่ Roadblocks ตามถนนสายหลัก/ใกล้เคียง
ที่มีพวกทหารชนเผ่า Hutu หนุนหลังพวกก่อการร้ายอยู่
หลอกพวกชนเผ่า Tutsi หลบหนีไปทางนั้นออกจากเมืองหลวง
อย่างหวังดีแต่ประสงค์ร้าย แบบต้องการฆ่าให้ตายมากที่สุด
Jean-Pierre Dusingizemungu ประธานกลุ่ม Ibuka
องค์กรคุ้มครองผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ได้ระบุว่า เจ้าของพื้นที่ยอมเปิดเผยจุดที่เป็นหลุมฝังศพ
หลังจากที่ถูกทางการคุกคามว่าจะจับกุมตัวไปลงโทษ
ในรวันดาการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับที่ฝังศพ
ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ถือเป็นความผิดทางอาญาต้องรับโทษตามกฎหมาย
ความลับดังกล่าวที่เปิดเผยครั้งแรก
นำไปสู่การค้นพบหลุมศพมากขึ้น
เมื่อชายคนหนึ่งในปี 1994
ผู้ได้รับมอบหมายให้ฝังศพเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย
ได้ออกมาเปิดเผยตัวตนพร้อมกับให้ข้อมูลเพิ่มเติม
“ ในครั้งแรกที่พบคือ หลุมศพขนาดใหญ่
หลังจากนั้นจากหลุมศพหนึ่งก็นำไปสู่อีกหลุมศพหนึ่ง
จนต่อไปเรื่อย ๆ อีกหลายหลุมศพ
จนกระทั่งเราค้นพบหลุมฝังศพจำนวนมากในบริเวณใกล้เคียง
เจ้าของบ้านหลายหลังต่างรู้ดีว่า
มีหลุมฝังศพจำนวนมากอยู่ภายในบ้าน/บริเวณบ้านของพวกตน
แต่ต่างไม่ยอมแจ้งให้เจ้าหน้าที่ได้รับทราบเรื่องนี้
และในบางครั้ง ซากศพก็ถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากบ้าน
หลังจากสิ้นสุดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
เรื่องที่น่าเศร้าก็คือ
เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายหลายรายไม่สามารถระบุอัตลักษณ์ได้
เพราะผู้กระทำความผิดในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้ทำลายศพโดยเจตนา
เช่น การเทน้ำกรดลงบนศพ หรือ บดกระดูกให้ป่นพร้อมกับก้อนเกลือ "
Egide Nkuranga รองประธานกลุ่ม Ibuka ให้สัมภาษณ์กับ The New Times
หลุมศพขนาดใหญ่ที่ระบุได้ในครั้งนี้มีถึง 143 แห่ง
แต่ที่ขุดขึ้นมาทำพิธีในครั้งนี้ได้เพียง 43 หลุม
ยังเหลือที่รอการขุดค้นอีก 100 หลุม
อย่างไรก็ตามสมาชิกในครอบครัวหลายคน
สามารถระบุคนที่รักได้ด้วยจากหลักฐาน
ชิ้นส่วนฟัน เสื้อผ้า และเครื่องหมายอื่น ๆ
พร้อมกับกระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์
ผู้ร่วมพิธีไว้อาลัยต่างพากันร้องไห้
ขณะที่โลงศพสีขาว 81 โลง
ได้บรรจุเศษซากศพของเหยื่อเกือบ 85,000 ราย
ที่ในที่สุดก็ได้ถูกฝังในที่ใหม่พร้อมกัน
ส่วนญาติพี่น้องผู้รอดตายต่างได้ร่วมกัน
เพราะในที่สุดผมก็จะมีที่วางพวงหรีดสำหรับครอบครัวของผม
ทุก ๆ วันที่ 7 เมษายนซึ่งเป็นวันครบรอบการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ตอนนี้ผมพอจะมีความสุขขึ้นมาบ้าง
เพราะผมได้ฝังพ่อ พี่สาว ลูก ๆ ของเธอ และลูกสะใภ้ของผม
25 ปีผ่านพ้นไปแล้ว และผมไม่เคยรู้เลยว่า
พวกเขาอยู่ที่ไหนกันบ้าง
ทุก ๆ วัน ผมมักครุ่นคิดและสับสน
ว่าพ่อผมอยู่ที่ไหนกันแน่
แต่ตอนนี้ผมพบพ่อแล้ว
และผมก็ได้ฝังศพพ่อ ”
Clementine Ingabire ผู้รอดตายเพียงคนเดียว
จากครอบครัวขยายของเธอที่มีอยู่ถึง 23 คน
ได้พบสมาชิกในครอบครัวของเธอ 7 คนในหลุมดังกล่าว
ในงานพิธีรำลึกถึงผู้ตายจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
Clementine Ingabire วัย 32 ปี
ชนเผ่า Tutsi รู้สึกพอใจในระดับหนึ่ง
เพราะผู้ตายได้รับการฝังศพอย่างสง่างาม
แม้ว่าซากศพของผู้ตายจะอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย
ปะปนอยู่ท่ามกลางโลงศพมากมายในครั้งนี้
" ฉันได้รับการช่วยเหลือจากผู้หญิง Hutu
ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท/เพื่อนที่ดีกับแม่ของฉัน
เธอเห็นฉันวิ่งหนีและคว้าตัวฉันไว้ ...
(พร้อมพาเธอหลบซ่อนตอนที่เธออายุราว 6-7 ขวบ)
นั่นเป็นวิธีที่ฉันรอดตาย " เธอให้สัมภาษณ์กับ AFP
สิ้นสุดลงในวันที่ 4 กรกฎาคม 1994
เมื่อกองกำลังติดอาวุธ Tutsi ส่วนใหญ่ที่เคยเป็นฝ่ายกบฎ
นำโดย Paul Kagame ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
ได้นำทัพเข้าสู่ Kigali และทำสงครามขับไล่พวกฆาตกร
จนต้องหนีตายออกนอกประเทศไป
เรียบเรียง/ที่มา
https://bit.ly/2WsqdJE
https://bit.ly/2PPs34M
หมายเหตุ
ความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าในรวันดา
ชนเผ่าส่วนใหญ่ Hutu กับชนเผ่ากลุ่มน้อย Tutsi
สืบทอดกันมายาวนานตั้งแต่ยุคอาณานิคมของเบลเยี่ยม
แม้ว่าชนเผ่าทั้งสองกลุ่มนี้จะดูเหมือนกันมากแทบไม่แตกต่าง
เพราะต่างพูดจาภาษาเดียวกัน อาศัยร่วมกันในชุมชนพื้นที่เดียวกัน
และต่างมีประเพณีวัฒนธรรมเหมือนกัน
แต่ชนเผ่า Tutsi มักจะผอมบางและสูงกว่าชนเผ่า Hutu
บางคนว่าชนเผ่า Tutsi มีรากเง่าเผ่าพันธุ์มาจาก Ethiopia
ในช่วงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา
ศพของชนเผ่า Tutsi มักจะถูกโยนทิ้งลงในแม่น้ำ
เพราะพวกฆาตกรมักจะพูดกันว่า
จะได้ส่งพวกมันกลับไปที่ Ethiopia
ในปี 1916 เบลเยี่ยมได้ยึดครองรวันดา
และจัดทำบัตรประชาชนเพื่อแยกแยะชนเผ่า
พร้อมกำหนดให้ชนเผ่า Tutsi เหนือกว่าชนเผ่า Hutu
มีโอกาสในการทำงานรับใช้อาณานิคมมากกว่า
แน่นอนเรื่องแบบนี้ชนเผ่า Tutsi ย่อมจะชอบอยู่แล้ว
เนิ่นนาน 20 ปีต่อมา ชนเผ่า Tutsi ต่างได้งานที่ดีกว่า
โอกาสการศึกษาที่ดีกว่ามากกว่าเพื่อนบ้านชนเผ่า Hutu
ในปี 1956 ความขัดแย้งที่แหลมคมก็ปะทุขึ้นมา
เกิดการจลาจลโดยฝีมือของชนเผ่า Hutu
ทำให้ชนเผ่า Tutsi มากกว่า 20,000 คนถูกฆ่าตาย
และชนเผ่า Tutsi จำนวนอีกหลายคนต่างอพยพหนีตาย
ไปอยู่ในประเทศ Burundi Tanzania และ Uganda
ในปี 1962
เบลเยี่ยมละทิ้งชาติอาณานิคม
รวันดาได้รับเอกราช
ชนเผ่า Hutu ขึ้นครองอำนาจ
เพราะพวกมากกว่าเลือกตั้งกี่ครั้งก็ชนะทุกครั้ง
หลายทศวรรษที่ผ่านมา
ชนเผ่า Tutsi มักจะเป็นแพะรับบาปในทุกวิกฤติการณ์
แบ่งแยกแล้วปกครอง แบ่งแยกแล้วทำลาย
ยุทธศาสตร์ดังกล่าวมีมาตั้งแต่ยุคโบราณ
แบบความชั่วเรียนรู้ง่าย ความดีต้องฝีกฝน
ตั้งแต่ยุคโรมันรบกับพวกชนเผ่าต่าง ๆ
จีนรบกับพวกกลุ่มอนารยชนตามชายแดน
แม้กระทั่งมองโกลรุกรานชนชาติต่าง ๆ
ในอินเดียเดิมก็ใช้ระบบวรรณะแย่งแยกชนชั้น
วรรณะพราหมณ์ ผู้สั่งสอนผู้คนให้มีความรู้
ทางด้านขนบธรรมเนียม/ประเพณี(แบบงมงาย) สีประจำตัวคือ สีขาว
กษัตริย์ ผู้ปกครองบ้านเมือง วรรณะสูงสุดเพราะตัดหัวคนคัดค้านได้
กษัตริย์ชายแต่งงานกับหญิงต่างวรรณะ ลูกที่เกิดมายังเป็นวรรณะกษัตริย์
มีใน วิฑูฑภะ ที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ศากยะวงศ์ สีประจำตัวคือ สีแดง
ไวศยะ (แพศย์) ผู้ใช้วาจาค้าขาย สีประจำตัวคือ สีเหลือง
ศูทร ผู้ใช้แรงงาน สีประจำตัวคือ สีดำ
ใครแต่งงานผิดวรรณะคือ พวกจัณฑาล สามานย์
ไม่เข้ากับพวกใครเป็นเสนียดจันไร ไม่เจริญ ไม่ก้าวหน้า
ไร้การศึกษา การทำมาหากินลำบากกว่าพวกวรรณะอื่น ๆ
จึงมีคนอินเดียจำนวนมากหันมานับถือศาสนาพุทธ อิสลาม
เพื่อให้หลุดพ้นบ่วงกรรมจากศาสนาฮินดู
ส่วนพวกนักรบมุสลิมที่เข้ารุกรานชาติต่าง ๆ ในอดีต
ก็ใช้ระบบภาษีกับดาบในการแบ่งแยกชนชั้น
ใครไม่นับถือศาสนาอิสลามจะถูกเก็บภาษีแพงกว่า
ใครที่คัดค้าน/ละเมิดศาสนาอิสลามจะถูกตัดหัว
ในสเปนกับหลายชาติในยุโรปที่เคยตกเป็นเมืองขึ้นนักรบมุสลิม
คนต่างศาสนาจะถูกบังคับให้ทาสีบ้านเป็นสีจำเพาะ
เพื่อสะดวกในการแยกแยะและเก็บภาษี
แต่พอนาน ๆ เข้าก็กลายเป็นสีสันสวยงาม
การแบ่งแยกชนชั้น
ยิ่งเนิ่นนานยิ่งทำให้ชนกลุ่มน้อยมีช่องทางทำมาหากิน
และโอกาสการศึกษาดีกว่าชนกลุ่มใหญ่
ซึ่งมีผลกับการที่มีคนโง่ปกครองง่าย
และจัดการง่ายกว่าคนฉลาด
อังกฤษก็ใช้วิธีการนี้ในมาเลย์ พม่า อินเดีย
ในมาเลย์ให้คนจีนเป็นพวกข้าราชการ/จัดเก็บภาษี
ให้แขกทมิฬจากอินเดียเป็นทหารตำรวจไว้ปราบปรามชนพื้นเมือง
ทำให้มาเลย์พอได้รับเอกราชเลยแก้แค้นคนสองกลุ่มนี้
ด้วยกฎหมายภูมิปุตราที่ให้ประโยชน์กับพวกตนที่เป็นชนกลุ่มใหญ่
ในพม่าให้มอญเป็นพวกข้าราชการ/จัดเก็บภาษี
ให้กระเหรี่ยงเป็นทหารตำรวจไว้ปราบปรามชนพื้นเมือง
ในอินเดียก็ยุให้มหาราชาแต่ละแคว้นรบกันเองก่อน
โดยขายอาวุธให้ทั้งสองฝ่ายเพื่อให้ฆ่าฟันกัน
พอฝ่ายไหนเพลี่ยงพล้ำก็ช่วยถล่มซ้ำให้ยับไปเลย
ก่อนหันหน้ามาแว้งกัดทำลายฝ่ายที่ตนช่วยรุม
ด้วยวาทกรรม/จ้างทหารรับจ้างชนเผ่ากูรข่าลุย
เลยได้ครอบครองอาณานิคมอินเดียสมใจอยาก
ฝรั่งเศสใช้วิธีการให้มีคนโง่มาก ๆ จะปกครองได้ง่าย
ในลาวเขมรเวียตนามไม่ส่งเสริมการเรียนของพลเมือง
ระบบการศึกษาในชาติอาณานิคมฝรั่งเศสจึงล้าหลังมาก
มีชาวบ้านน้อยคนมากที่ได้รับการศึกษาที่ดีกว่าชาวบ้านคนอื่น ๆ
หลังจบการศึกษาแล้วมักจะส่งเสริมให้มารับใช้ชนชั้นปกครองฝรั่งเศส
พร้อมกับทำให้ชาวบ้านไม่ได้รับรู้เรื่องราว
เกี่ยวกับโลกภายนอกและความเจริญต่าง ๆ
กับกอบโกยขูดรีดทรัพยากรธรรมชาติไปที่ชาติตน