Resolve 02 แนะนำติชมได้เลยคับ
01 https://ppantip.com/topic/38816410
ตัดสินใจโดยไม่ยั้งคิด
ความมืดมิดรายล้อมไปทั่ว โดยมีเงาเหมือนเด็กน้อยนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น รอบข้างมีเงาผู้คนมากมายยืนอยู่เป็นกลุ่มๆ ประปรายไปทั่ว บ้างพูดคุยฟังไม่ได้ศัพท์ บ้างเหล่มองเงาเด็กน้อยเป็นระยะ
มือสีดำผุดจากพื้นดำสนิทที่เงาเด็กน้อยนั่งอยู่ จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่และทวีคูณอย่างช้าๆ มือเหล่านั้นเอื้อมจับ ปีนป่าย ฉุดดึงเงาเด็กน้อยจากทุกทิศ จนเงานั้นเริ่มอ้าปากอย่างหวาดผวา ไม่มีเสียงใดเอ่ยออกมา แต่ท่าทางราวกับกรีดร้องอย่างหวาดกลัว จนมีมือหนึ่งกระชากผมของเงานั้นจากด้านหลัง ให้หันเอียงมองข้ามไหล่ไป ทั้งๆที่เงานั้นไม่มีดวงตา ใบหน้าดำมืดดวงตากลวงโบ๋สบเข้าหากัน พร้อมเสียงครวญอย่างน่าสยดสยองจากใบหน้าดำมืดที่อยู่ด้านหลัง
“--ช่วย...ด้วย…..”
----------
รุ่งเช้าวันใหม่ภายในตึกร้าง เนอิน่าสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมอาการงัวเงียเล็กน้อยกับภาพสถานที่อันไม่คุ้นตาสักเท่าไหร่ ห้องรกๆที่มืดแทบสนิท มีเพียงแสงที่ลอดผ่านรูโหว่ผุพังเล็กๆของผนังห้องเข้ามา หันซ้ายมองขวาก็ไม่พบพี่ชายคนเมื่อวานอยู่ภายในห้องนี้
“ฝันน่ากลัวอีกแล้ว”
เนอิน่าคิดในใจขณะที่ขยี้ตาเบาๆน้ำตาซึมออกมา ด้วยยังรู้สึกถึงฝันร้ายที่เจอบ่อยในช่วงหลายเดือนมานี้ ช่วงแรกๆก็ร้องไห้ตกใจและหวาดกลัวจนโดนลุงและป้าตวาดใส่ด้วยความรำคาญ แต่ด้วยไม่มีใครให้อ้อนหรือเป็นที่พึ่ง หรือแม้แต่จะกล้าเล่าให้ฟัง เนอิน่าจึงได้แต่เพียงเก็บมันเอาไว้ในใจ
“อ่ะ..! ต้องรีบไปจัดร้านแล้ว...”
เนอิน่าสะดุ้งเหมือนเพิ่งนึกถึงหน้าที่ๆทำประจำวัน เด็กน้อยถีบตัวเองให้ลุกขึ้น พลางวิ่งไปเปิดผ้าเก่าๆที่ปิดบานหน้าต่างไว้ แสงอาทิตย์สาดแสง ไอความร้อนอันอบอุ่นสัมผัสเข้าที่ใบหน้าและทั่วร่าง เมื่อแหงนหน้ามองที่ตำแหน่งของดวงอาทิตย์ก็ทำให้เนอิน่าแน่ใจ
“เกือบจะเที่ยงแล้ว…? จริงสิ…. ไม่ได้อยู่ที่บ้านแล้วนี่นา...”
แม้จะเศร้าสร้อย แต่เนอิน่าก็ตระหนักได้ว่า เธอไม่สามารถกลับไปที่บ้านหลังนั้นได้อีกแล้ว
ไม่รู้จะเรียกว่าทำใจหรือปล่อยวาง ว่าแล้วก็รีบเปลี่ยนใส่ชุดเดิมทันที เพราะตอนนี้มีแค่ชั้นในเก่าๆกับผ้าห่มผืนใหญ่ที่ใช้ห่มนอนเท่านั้น พลางคิดถึงฝันอันน่าสยดสยองเมื่อคืน ก็พลันจะขนลุกซู่ตัวสั่นขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากหยิบชุดที่ตากจนแห้งมาใส่และนั่งลงทบทวนเรื่องราวต่างๆ แม้จะประหลาดใจที่ไม่มีใครมาเรียกให้ตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงาน แต่ก็อดใจหายไม่ได้เมื่อไม่มีครอบครัวเหลืออยู่แล้ว มันค่อนข้างจะรู้สึกโหวงเหวงแปลกๆเมื่อไม่มีใครอยู่รอบกาย
แค่อึดใจเดียวเท่านั้น ที่เนอิน่านั่งคิดทบทวนเรื่องต่าง เพราะจู่ๆพี่ชายก็กลับเข้ามาในห้องโดยที่ไม่ให้ซุ่มให้เสียง พร้อมกับสีหน้าเรียบๆอย่างที่เห็นในครั้งแรกที่เจอกัน เพิ่งจะได้สังเกตุอย่างจริงจังว่า พี่ชายเองก็ดูจะอายุไม่มากกว่าเนอิน่าเท่าไหร่ ส่วนสูงก็ห่างกันไม่มาก แต่ดูเหมือนพี่ชายจะดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเธอมากนัก
เนอิน่าคิดอยู่ในใจก่อนพี่ชายเอ่ยปากพูดประโยคหนึ่งออกมาว่า
“ฉันกำลังจะไปจากเมืองนี้แล้ว จะเอายังไง...?”
จู่ๆก็ถามมาแบบนี้แน่นอนว่าหนูคิดอะไรไม่ออกเลยซักนิด ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไป หนูจึงได้แต่ก้มหน้าอย่างไร้หนทาง
“เมืองที่ชั้นกำลังจะไปมีโบสถ์อยู่แห่งหนึ่ง ที่นั้นต้อนรับเด็กๆและให้ความช่วยเหลือในหลายๆทาง ว่าไง...?”
หนูได้แต่พยักหน้าตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าดีไหมหรืออะไรยังไง ตอนนี้คิดออกแต่ให้ตัวติดกับพี่ชายเอาไว้ก่อน
ช่วงเช้าเป็นการนั่งทานอาหารและพูดคุยกันเล็กน้อย เราทั้งสองต่างก็แนะนำตัวเองกันใหม่อีกครั้ง แต่ควรจะเรียกว่าหนูพูดอยู่ฝ่ายเดียวจะดีกว่า อาหารก็เป็นขนมปังก้อนแข็งๆซึ่งไม่อร่อยซักเท่าไหร่นัก แต่ปกติหนูก็ทานแบบนี้เป็นประจำตอนอยู่กับลุงและป้า หนูพูดคุยถึงเรื่องราวส่วนตัวอย่างน้ำไหลไฟดับ เกี่ยวกั[ที่ลุงและป้าชอบใช้งานหนัก ทุบตีไม่เว้นแต่ละวัน รวมถึงเพราะอะไรก็ไม่รู้พวกเขาถึงไล่ส่งหนูออกมา
“หนูถูกตีประจำเลย ดูสิๆ”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรหนูถึงเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง พลางชี้นิ้วไปที่แผลหลายๆจุดบนร่างกาย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะในห้องมันเงียบหรืออาจจะแค่อยากระบายความในใจให้ฟัง ต่างกับพี่ชายที่ไม่ค่อยพูดซักเท่าไหร่ หรือจะเรียกว่าไม่พูดเลยก็ได้ เพราะแม้แต่ชื่อของเขาเองหนูก็ยังไม่รู้เลย ซึ่งพอหนูถามออกไปเขาก็ไม่ได้ตอบอะไรเกี่ยวกับชื่อของตัวเอง แต่หนูชอบที่จะเรียกเขาว่า ‘พี่ชาย’ มากกว่าชื่อจริงๆของเขาละนะ แล้วดูเขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการเรียกแบบนี้ด้วย
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว พี่ชายก็จัดเก็บของใช้ส่วนตัวลงในกระเป๋าสะพายข้าง โดยสวมเสื้อโค้ทสีดำตัวใหญ่คลุมทับไว้ ส่วนหนูเองไม่มีอะไรติดตัวมานอกจากชุดเดรสแขนกุดสีขาวที่รักมากตัวนี้ ซึ่งมันสกปรกและเก่าจนกลายเป็นสีเทาไปแล้ว
ชุดนี้เป็นของขวัญชิ้นเดียวที่หนูเคยได้รับในชีวิตเลยละ ผู้ที่ให้ของขวัญล้ำค่าชิ้นนี้คือเพื่อนบ้านคนหนึ่งที่เอ็นดูหนูชื่อ นิมส์ เขามักจะพูดคุยหยอกล้อและให้กำลังใจเสมอเมื่อหนูเหงา ทั้งยังให้กำลังใจมาตลอด จนเมื่อไม่กี่เดือนก่อนเข้าก็ปิดร้านย้ายออกไป ไม่มีแม้แต่คำลา
“ดูแลตัวของตัวเอง อย่าให้มีปัญหาล่ะ”
พี่ชายพูดเมื่อเราเตรียมตัวพร้อมแล้ว หนูเดินตามจนออกมานอกตึกร้าง และยืนมองทางที่เราฝ่าฝนมาวันนั้น เป็นช่องทางเล็กๆที่กว้างพอสำหรับเด็กจะผ่านมาได้ หนูเดินตามพี่ชายที่ออกนำหน้าไป โดยทิ้งระยะห่างไม่เกินสองสามก้าว พี่ชายเดินนำหน้าอย่างรวดเร็วและไม่ชะลอฝีเท้าเลย หนูทำได้แค่ก้าวเท้าตามอย่างเร่งรีบเพื่อไม่ให้ถูกทิ้งไว้จนพลัดหลงกัน
แต่ถึงกระนั้นก็มีบ่อยครั้งที่พี่ชายเดินนำไปไกลและหยุดรอหนู เราทั้งสองคนเดินผ่านตึกสูงและบ้านพักทั้งหลาย ออกมาสู่ย่านขายของซึ่งเป็นตลาดขนาดกลาง มีร้านรวงมากมายกว่ายี่สิบร้าน ทั้งขายอาหาร ขนมปัง เสื้อผ้า ของใช้และอื่นๆ การมาเดินที่ทางแถบนี้ทำให้หนูค่อนข้างจะกลัวว่า อาจจะได้พบเจอกับลุงและป้าที่มักจะมาเดินลอยชายกันบ่อยๆ
แต่เมื่อพี่ชายไม่นึกอยากดูของต่างๆทั้งสองข้างทาง จึงทำให้การเดินทางผ่านย่านนี้เป็นไปอย่างรวดเร็วและเราก็ใกล้ถึงจุดหมายปลายทางของวันนี้แล้ว ท่ารถโดยสาร
การเดินทางข้ามเมืองจำเป็นต้องใช้บริการรถบัสแบบนี้ ซึ่งหนูรู้มาตอนช่วยงานลุงและป้า ลูกค้าชอบบ่นเรื่องการเดินทางข้ามเมืองบ่อยๆ บ้างก็ว่าเมืองนี้ช่างกันดารซะจนรถไฟก็ยังมาไม่ถึง การนั่งรถบัสนานๆ ทั้งน่าเบื่อและไม่สบายเอาซะเลย
**********
ต่อโพสสอง
Resolve 02 แนะนำติชมได้เลยคับ
ตัดสินใจโดยไม่ยั้งคิด
ความมืดมิดรายล้อมไปทั่ว โดยมีเงาเหมือนเด็กน้อยนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น รอบข้างมีเงาผู้คนมากมายยืนอยู่เป็นกลุ่มๆ ประปรายไปทั่ว บ้างพูดคุยฟังไม่ได้ศัพท์ บ้างเหล่มองเงาเด็กน้อยเป็นระยะ
มือสีดำผุดจากพื้นดำสนิทที่เงาเด็กน้อยนั่งอยู่ จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่และทวีคูณอย่างช้าๆ มือเหล่านั้นเอื้อมจับ ปีนป่าย ฉุดดึงเงาเด็กน้อยจากทุกทิศ จนเงานั้นเริ่มอ้าปากอย่างหวาดผวา ไม่มีเสียงใดเอ่ยออกมา แต่ท่าทางราวกับกรีดร้องอย่างหวาดกลัว จนมีมือหนึ่งกระชากผมของเงานั้นจากด้านหลัง ให้หันเอียงมองข้ามไหล่ไป ทั้งๆที่เงานั้นไม่มีดวงตา ใบหน้าดำมืดดวงตากลวงโบ๋สบเข้าหากัน พร้อมเสียงครวญอย่างน่าสยดสยองจากใบหน้าดำมืดที่อยู่ด้านหลัง
“--ช่วย...ด้วย…..”
----------
รุ่งเช้าวันใหม่ภายในตึกร้าง เนอิน่าสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมอาการงัวเงียเล็กน้อยกับภาพสถานที่อันไม่คุ้นตาสักเท่าไหร่ ห้องรกๆที่มืดแทบสนิท มีเพียงแสงที่ลอดผ่านรูโหว่ผุพังเล็กๆของผนังห้องเข้ามา หันซ้ายมองขวาก็ไม่พบพี่ชายคนเมื่อวานอยู่ภายในห้องนี้
“ฝันน่ากลัวอีกแล้ว”
เนอิน่าคิดในใจขณะที่ขยี้ตาเบาๆน้ำตาซึมออกมา ด้วยยังรู้สึกถึงฝันร้ายที่เจอบ่อยในช่วงหลายเดือนมานี้ ช่วงแรกๆก็ร้องไห้ตกใจและหวาดกลัวจนโดนลุงและป้าตวาดใส่ด้วยความรำคาญ แต่ด้วยไม่มีใครให้อ้อนหรือเป็นที่พึ่ง หรือแม้แต่จะกล้าเล่าให้ฟัง เนอิน่าจึงได้แต่เพียงเก็บมันเอาไว้ในใจ
“อ่ะ..! ต้องรีบไปจัดร้านแล้ว...”
เนอิน่าสะดุ้งเหมือนเพิ่งนึกถึงหน้าที่ๆทำประจำวัน เด็กน้อยถีบตัวเองให้ลุกขึ้น พลางวิ่งไปเปิดผ้าเก่าๆที่ปิดบานหน้าต่างไว้ แสงอาทิตย์สาดแสง ไอความร้อนอันอบอุ่นสัมผัสเข้าที่ใบหน้าและทั่วร่าง เมื่อแหงนหน้ามองที่ตำแหน่งของดวงอาทิตย์ก็ทำให้เนอิน่าแน่ใจ
“เกือบจะเที่ยงแล้ว…? จริงสิ…. ไม่ได้อยู่ที่บ้านแล้วนี่นา...”
แม้จะเศร้าสร้อย แต่เนอิน่าก็ตระหนักได้ว่า เธอไม่สามารถกลับไปที่บ้านหลังนั้นได้อีกแล้ว
ไม่รู้จะเรียกว่าทำใจหรือปล่อยวาง ว่าแล้วก็รีบเปลี่ยนใส่ชุดเดิมทันที เพราะตอนนี้มีแค่ชั้นในเก่าๆกับผ้าห่มผืนใหญ่ที่ใช้ห่มนอนเท่านั้น พลางคิดถึงฝันอันน่าสยดสยองเมื่อคืน ก็พลันจะขนลุกซู่ตัวสั่นขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากหยิบชุดที่ตากจนแห้งมาใส่และนั่งลงทบทวนเรื่องราวต่างๆ แม้จะประหลาดใจที่ไม่มีใครมาเรียกให้ตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงาน แต่ก็อดใจหายไม่ได้เมื่อไม่มีครอบครัวเหลืออยู่แล้ว มันค่อนข้างจะรู้สึกโหวงเหวงแปลกๆเมื่อไม่มีใครอยู่รอบกาย
แค่อึดใจเดียวเท่านั้น ที่เนอิน่านั่งคิดทบทวนเรื่องต่าง เพราะจู่ๆพี่ชายก็กลับเข้ามาในห้องโดยที่ไม่ให้ซุ่มให้เสียง พร้อมกับสีหน้าเรียบๆอย่างที่เห็นในครั้งแรกที่เจอกัน เพิ่งจะได้สังเกตุอย่างจริงจังว่า พี่ชายเองก็ดูจะอายุไม่มากกว่าเนอิน่าเท่าไหร่ ส่วนสูงก็ห่างกันไม่มาก แต่ดูเหมือนพี่ชายจะดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเธอมากนัก
เนอิน่าคิดอยู่ในใจก่อนพี่ชายเอ่ยปากพูดประโยคหนึ่งออกมาว่า
“ฉันกำลังจะไปจากเมืองนี้แล้ว จะเอายังไง...?”
จู่ๆก็ถามมาแบบนี้แน่นอนว่าหนูคิดอะไรไม่ออกเลยซักนิด ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไป หนูจึงได้แต่ก้มหน้าอย่างไร้หนทาง
“เมืองที่ชั้นกำลังจะไปมีโบสถ์อยู่แห่งหนึ่ง ที่นั้นต้อนรับเด็กๆและให้ความช่วยเหลือในหลายๆทาง ว่าไง...?”
หนูได้แต่พยักหน้าตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าดีไหมหรืออะไรยังไง ตอนนี้คิดออกแต่ให้ตัวติดกับพี่ชายเอาไว้ก่อน
ช่วงเช้าเป็นการนั่งทานอาหารและพูดคุยกันเล็กน้อย เราทั้งสองต่างก็แนะนำตัวเองกันใหม่อีกครั้ง แต่ควรจะเรียกว่าหนูพูดอยู่ฝ่ายเดียวจะดีกว่า อาหารก็เป็นขนมปังก้อนแข็งๆซึ่งไม่อร่อยซักเท่าไหร่นัก แต่ปกติหนูก็ทานแบบนี้เป็นประจำตอนอยู่กับลุงและป้า หนูพูดคุยถึงเรื่องราวส่วนตัวอย่างน้ำไหลไฟดับ เกี่ยวกั[ที่ลุงและป้าชอบใช้งานหนัก ทุบตีไม่เว้นแต่ละวัน รวมถึงเพราะอะไรก็ไม่รู้พวกเขาถึงไล่ส่งหนูออกมา
“หนูถูกตีประจำเลย ดูสิๆ”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรหนูถึงเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง พลางชี้นิ้วไปที่แผลหลายๆจุดบนร่างกาย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะในห้องมันเงียบหรืออาจจะแค่อยากระบายความในใจให้ฟัง ต่างกับพี่ชายที่ไม่ค่อยพูดซักเท่าไหร่ หรือจะเรียกว่าไม่พูดเลยก็ได้ เพราะแม้แต่ชื่อของเขาเองหนูก็ยังไม่รู้เลย ซึ่งพอหนูถามออกไปเขาก็ไม่ได้ตอบอะไรเกี่ยวกับชื่อของตัวเอง แต่หนูชอบที่จะเรียกเขาว่า ‘พี่ชาย’ มากกว่าชื่อจริงๆของเขาละนะ แล้วดูเขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการเรียกแบบนี้ด้วย
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว พี่ชายก็จัดเก็บของใช้ส่วนตัวลงในกระเป๋าสะพายข้าง โดยสวมเสื้อโค้ทสีดำตัวใหญ่คลุมทับไว้ ส่วนหนูเองไม่มีอะไรติดตัวมานอกจากชุดเดรสแขนกุดสีขาวที่รักมากตัวนี้ ซึ่งมันสกปรกและเก่าจนกลายเป็นสีเทาไปแล้ว
ชุดนี้เป็นของขวัญชิ้นเดียวที่หนูเคยได้รับในชีวิตเลยละ ผู้ที่ให้ของขวัญล้ำค่าชิ้นนี้คือเพื่อนบ้านคนหนึ่งที่เอ็นดูหนูชื่อ นิมส์ เขามักจะพูดคุยหยอกล้อและให้กำลังใจเสมอเมื่อหนูเหงา ทั้งยังให้กำลังใจมาตลอด จนเมื่อไม่กี่เดือนก่อนเข้าก็ปิดร้านย้ายออกไป ไม่มีแม้แต่คำลา
“ดูแลตัวของตัวเอง อย่าให้มีปัญหาล่ะ”
พี่ชายพูดเมื่อเราเตรียมตัวพร้อมแล้ว หนูเดินตามจนออกมานอกตึกร้าง และยืนมองทางที่เราฝ่าฝนมาวันนั้น เป็นช่องทางเล็กๆที่กว้างพอสำหรับเด็กจะผ่านมาได้ หนูเดินตามพี่ชายที่ออกนำหน้าไป โดยทิ้งระยะห่างไม่เกินสองสามก้าว พี่ชายเดินนำหน้าอย่างรวดเร็วและไม่ชะลอฝีเท้าเลย หนูทำได้แค่ก้าวเท้าตามอย่างเร่งรีบเพื่อไม่ให้ถูกทิ้งไว้จนพลัดหลงกัน
แต่ถึงกระนั้นก็มีบ่อยครั้งที่พี่ชายเดินนำไปไกลและหยุดรอหนู เราทั้งสองคนเดินผ่านตึกสูงและบ้านพักทั้งหลาย ออกมาสู่ย่านขายของซึ่งเป็นตลาดขนาดกลาง มีร้านรวงมากมายกว่ายี่สิบร้าน ทั้งขายอาหาร ขนมปัง เสื้อผ้า ของใช้และอื่นๆ การมาเดินที่ทางแถบนี้ทำให้หนูค่อนข้างจะกลัวว่า อาจจะได้พบเจอกับลุงและป้าที่มักจะมาเดินลอยชายกันบ่อยๆ
แต่เมื่อพี่ชายไม่นึกอยากดูของต่างๆทั้งสองข้างทาง จึงทำให้การเดินทางผ่านย่านนี้เป็นไปอย่างรวดเร็วและเราก็ใกล้ถึงจุดหมายปลายทางของวันนี้แล้ว ท่ารถโดยสาร
การเดินทางข้ามเมืองจำเป็นต้องใช้บริการรถบัสแบบนี้ ซึ่งหนูรู้มาตอนช่วยงานลุงและป้า ลูกค้าชอบบ่นเรื่องการเดินทางข้ามเมืองบ่อยๆ บ้างก็ว่าเมืองนี้ช่างกันดารซะจนรถไฟก็ยังมาไม่ถึง การนั่งรถบัสนานๆ ทั้งน่าเบื่อและไม่สบายเอาซะเลย
**********
ต่อโพสสอง