โนอาห์ 63 ตอนที่ 1

กระทู้สนทนา
            เป็นเวลานานมากแล้วสำหรับบ้านวงศ์แสวงโชคที่ไม่มีมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ นพรัตน์กลับมาร่าเริงอีกครั้งเพราะก้อนแร่จากฟากฟ้า
ณัฐกานต์ผู้เป็นน้องชายพลอยอารมณ์ดีไปด้วยที่หน้าที่ดูแลบ้างได้รับการแบ่งเบา เรื่องเก่าๆที่เคยทำให้พี่น้องระหองระแหงเริ่มเลือนหายไป
กระทั่งวิทยานิพนธ์ของน้องชายเสร็จเรียบร้อย 
เจ้าตัวจึงได้โอกาสศึกษาก้อนอุกกาบาตร่วมกับพี่ชายด้วยในแง่ของชีววิทยา ในเวลานั้นเองกาลเวลาก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง

 

            เสียงกริ่งหน้าบ้านวงศ์แสวงโชคดังขึ้นยามเช้าตรู่
นพรัตน์ที่กำลังเคลิ้มไปกับการอ่านผลการทดลองข้ามคืนสะดุ้งโหยง เขาเหลียวมองซ้ายขวาแล้วเรียกหาสมองกลของบ้าน

 

            “คารม่า
ฉายภายให้ดูหน่อยสิว่าใครมาเยี่ยมแต่ แต่เช้า”
นพรัตน์มองนาฬิกาข้อมือพลางคิดไปว่าตัวเองเพลิดเพลินกับการทดลองจนสว่างคาตาเลยหรือ

 

            สมองกลของบ้านตอบรับแล้วฉายภาพสามมิติขึ้นมาเบื้องหน้าเขา
แขกยามเช้าเป็นหญิงสาวผมสั้นที่นพรัตน์รู้จักดีที่สุดและไม่อยากเจอมากที่สุด
ผู้หญิงที่เกือบทำให้เขากับน้องชายฆ่ากัน!

 

            “มีธุระอะไรหรือเจน”
นพรัตน์สะกดอาการโกรธอย่างเต็มที่

 

            “เจนอยากพูดอะไรกับนพหน่อย”
นางสาวเจนจิราที่เคยปั่นหัวพวกเขาสองพี่น้องอย่างสนุกสนานพูดขึ้น “อยากขอโทษเรื่องที่ผ่านๆมา”

 

            “มันสายไปแล้วเจน
นพตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่คิดเรื่องเกี่ยวกับเจนอีก ตั้งแต่เจนทิ้งนพไป
รู้ไหมว่ามันเจ็บปวดขนาดไหน”

 

            “แต่เจนสำนึกแล้ว
อยากเริ่มต้นใหม่” หญิงสาวทู่ซี้เจ้าของบ้านว่าอยากกลับไปรักกันอีกครั้ง
แต่นพรัตน์เชิดใส่แล้วสั่งให้สมองกลปิดการสื่อสารเดี๋ยวนี้

 

            “มีอะไรหรือครับพี่นพ
โวยวายแต่เช้าเลย” ณัฐกานต์น้องชายเข้ามาในห้องพร้อมกาแฟของตัวเอง
ท่าทางง่วงถึงขีดสุดเหมือนพี่ชาย

 

            “ยัยคนสองใจกลับมาขอคืนดี
ไม่มีอะไรหรอก” พี่ชายถอนหายใจเฮือกใหญ่

 

            “พี่ก็น่าจะให้โอกาสหล่อนบ้างนะครับ
คนเรามันเปลี่ยนกันได้...เอากาแฟไหม”

 

            “ขอสูตรเดิมนะ
ไม่มีวัน ให้ตายยังไงพี่ก็ไม่ขอกลับไปคืนดีกับเจนจิราอีก พี่เข็ดเรื่องผู้หญิงตั้งแต่ยายนุชแล้ว
ถ้าเป็นไปได้ขอแต่งกับหินแร่ดีกว่า อย่างน้อยมันก็ทรยศใครไม่เป็น”

 

            “พี่นพก็พูดเกินไป
อย่างนั้นผมก็แต่งกับต้นไม้ไม่ได้น่ะสิ” ณัฐกานต์หัวเราะแล้วบอกว่าจะไปชงกาแฟให้

 

            ระหว่างรอกาแฟจากน้องชายนพรัตน์ก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหน้าจอประมวลผลอย่างง่วงๆ
เขาสะดุดตากับผลการเผาไหม้เศษชิ้นส่วนของอุกกาบาต รู้สึกคุ้นตาแต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอสมการเคมีแบบนี้ที่ไหนมาก่อน
เป็นปฏิกิริยาเคมีขั้นพื้นฐานมากๆ แต่เป็นตรงข้ามกับผลที่ได้ตรงหน้า มันเป็นไปไม่ได้ที่มันจะย้อนกลับแบบนี้

 

            “ดูนี่สินัท
มันคือสมการเผาไหม้แบบย้อนกลับชัดๆ แต่มันเป็นปฏิกิริยาแบบทางเดียว ไม่มีทางเป็นแบบนี้ได้”
พี่ชายชี้ให้น้องที่เข้าห้องมาพร้อมกาแฟดูจอแสดงผล

 

            “เติมความร้อนกับน้ำเข้าไป
จะได้ออกซิเจนกับคาร์บอน...เป็นไปไม่ได้หรอกพี่
นอกจากจะมีเวทมนตร์หรืออะไรทำนองนั้น”
ณัฐกานต์หัวเราะราวกับเรื่องตรงหน้าเป็นเรื่องตลกที่พี่ชายสร้างขึ้น นพรัตน์รับกาแฟมาดื่ม

 

            “ฟังเรื่องตลกของผมบ้างดีกว่า
ผมตรวจเจอฝูงสิ่งมีชีวิตระดับนาโน มันกินน้ำแข็งที่เกาะอยู่บนอุกกาบาตก้อนนี้แล้วสร้างออกซิเจน
ผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลย เหมือนสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว
พอเอาออกมาจากเจ้าก้อนอุกกาบาตมันก็ตายทันที” น้องชายหัวเราะแห้งๆ

 

            “นัท
แกคิดเหมือนพี่หรือเปล่า”พี่ชายเหมือนกับนึกอะไรออกจาการสนทนาเมื่อครู่ น้องชายที่หัวไวเริ่มเห็นสิ่งที่สอดคล้องกันได้ทันที
“เจ้าตัวนี้ล่ะที่สร้างออกซิเจนกับคาร์บอนออกมาโดยใช้พื้นฐานของสิ่งมีชีวิตนั่นคือน้ำและความร้อน”

 

            “ออกซิเจนเปลี่ยนเป็นโอโซน
ใช้ทฤษฎีเชื่อมบรรยากาศปิดรอยโหว่ที่ชั่นบรรยากาศได้” น้องชายสวนขึ้นมา

 

            “มันยังไม่ได้รับการยอมรับเลยว่าใช้ได้
แค่แนวคิดเอง” พี่ชายค้าน

 

            “ส่วนคาร์บอนเราจะใช้เตาหลอมแรงดันของพ่อเปลี่ยนมันเป็นเพชรบริสุทธิ์แล้วขาย
เราจะรวยๆๆ” ณัฐกานต์แทบจะตะโกนออกมา

 

            “แกผสมอะไรลงไปในกาแฟหรือเปล่านัท
กัญชา หรือโคเคน ทำไมคึกจังเลย” นพรัตน์ขยี้หัวน้องชายหนึ่งครั้ง
“เรามีแค่นี้เองและไม่รู้เลยสักนิดว่ามันคือดาวตกธรรมดาหรือเปล่า ตกมาที่โลกได้ยังไง
เอาไปทำแบบที่แกว่าไม่ได้หรอก”

 

            “จริงด้วยพี่”
น้องชายเริ่มได้สติและหลุดจากอาการตื่นเต้น “เราค้นพบดาวนับร้อยๆดวง
เจอสิ่งมีชีวิตเป็นร้อยแบบที่ต่างกับเราแต่ยังไม่เจอดาวที่มีอะไรแบบนี้เลย
หรือถ้ามีดาวที่สิ่งมีชีวิตคาร์บอนอย่างเราอาศัยได้โปรเจคนั้นก็ต้องแจ้งมาบ้าง
ส่งไปตั้งร้อยกว่าลำแบบนั้น” แล้วสองพี่น้องก็สลดไปครู่หนึ่งเพราะเผลอคิดถึงเรื่องพ่อกับแม่ของพวกเขาขึ้นมา

 

            “ไปกินข้าวกันดีกว่านัท
เราคนไทยต้องกินข้าว พี่เบื่อกินกาแฟเป็นอาหารเช้าแล้ว” นพรัตน์เดินไปที่อ่างล้างเครื่องมือแล้วเทกาแฟที่น้องชายทำมาให้ทิ้งอย่างไม่ใยดี
ทั้งนี้เขาหวังแค่เปลี่ยนบรรยากาศของบ้านให้กลับมาดีขึ้นอย่างสมบูรณ์
หลังจากการติดเหล้าของเขา

 

            ไม่ทันให้นพรัตน์เล่นมุกตลกเก่าแก่เกี่ยวกับข้าวและเครื่องดื่มชูกำลังสัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้นอีกครั้ง
แสงสีเหลืองแดงสาดส่องทั่วผนังห้องให้เจ้าของบ้านรู้ตัวว่ามีสิ่งผิดปกติ

 

            “หยุดก่อนคารม่า! รายงานมาสิไม่ใช่ส่งเสียงท่าเดียวแบบนี้”
พี่ชายที่ได้รับสิทธิในการควบคุมบ้านอีกครั้งเอ็ดสมองกล เสียงและแสงสีหยุดลง
สมองกลของบ้านพูดขึ้นอย่างเรียบๆราวกับไม่ใช่เรื่องผิดแปลก

 

            “มีผู้บุกรุกที่ห้องทดลองของศาสตราจารย์วัลลพครับคุณนพรัตน์”
สมองกลรายงาน “หล่อนกำลังพยายามทำลายกระจกนิรภัยผมจึงเปิดสัญญาณเตือนขึ้น”

 

            “พยายามทำลายหรือ
ไม่ได้ตั้งใจขโมยหรือ” ณัฐกานต์ขมวดคิ้ว
สองพี่น้องสบตากันแล้วพากันเดินไปยังมุมที่ถูกปิดตายของบ้าน
ห้องทดลองของพ่อของพวกเขาเอง

 

            “ผมขอใช้คำว่าพยายามทำลายครับคุณณัฐกานต์
ที่กระจกห้องทดลองมีหุ่นนาโนที่สลายสสารต่างๆที่มากระทบด้วยแรงระดับหนึ่งได้อยู่...”
เสียงสมองกลยังคงไล่ตามทั้งสองไปเหมือนเงาที่มองไม่เห็น

 

            “แต่มันหลับมานานแล้ว
ตั้งแต่พ่อจากไป นั่นทำให้ไม่มีอะไรมาทำลายกระจกนิรภัยนั่นได้จนกว่าจะได้รับคำสั่ง
ฉันเป็นคนขอให้คุณอาทิ้งไว้เองแหละ” น้องเล็กของบ้านสลดเล็กน้อย

 

            “ไม่เอาน่าน้องชาย
จะมาสลดกันทั้งวี่ทั้งวันไม่ได้หรอกนะ” นพรัตน์ตบบ่าขณะเดินลงบันไดบ้าน

 

            “คนที่เมาเหล้าไม่ออกจากห้องเป็นเดือนอย่ามาพูดเลย”
น้องชายย้อน
ร่างที่เล็กกว่าของเขาหอบเล็กน้อยเมื่อต้องเดินตามพี่ชายที่บึกบึนเพราะออกงานสนามมากกว่า
“ไปดูกันดีกว่าว่าขโมยรายนี้ไปยังไงมายังไงถึงไปอยู่ที่นั่นได้
เราปิดตายมันเอาไว้แล้วนี่นา”

 

            “เดี๋ยวก็รู้
ลายนิ้วมือเลยนัท”
นพรัตน์หยุดกดรหัสผ่านหน้าห้องหนึ่งแล้วเขยิบให้น้องชายสแกนลายนิ้วมือเพื่อเปิดประตู

 

            แค่ประตูเลื่อนเปิดก็ได้ยินเสียงกึงกังเหมือนเหล็กกระทบกัน
ผู้บุกรุกคงพยายามพังกระจกนิรภัยออกมา แต่มีบางอย่างผิดปกติ
เสียงดังต่อเนื่องเกินไป พี่ชายเกาคาง
หุ่นนาโนจะค่อยๆกัดกินสิ่งต่างๆที่มาสัมผัสด้วยความแรงเพื่อป้องกันกระจกและห้องทดลองเสียหาย
ต่อให้เป็นกระสุนปืนกลกระสุนน่าจะหมดได้แล้ว ไม่น่าดังต่อเนื่องได้นานขนาดนี้
จะว่าใช้ร่างกายอย่างนักมวยปล้ำยิ่งเป็นไปไม่ได้ ร่างกายจะได้รับบาดเจ็บ

 

            “คารม่าเปิดไฟที”
นพรัตน์หวังว่าจะเห็นขโมยในรูปแบบอื่นๆบ้าง บ้านของเขาเคยมีขโมยขึ้นสองครั้ง
มีอาวุธสงครามติดไว้เผื่อเจ้าบ้านพบตัวเลยทีเดียว
คราวนี้เขาก็ไม่หวังอะไรนอกจากนั้น นอกเสียจาก

 

            ผู้บุกรุกนั่นมามือเปล่า!

 

            เมื่อไฟบนเพดานสว่างขึ้นที่ในสุดของห้องสี่เหลี่ยมซึ่งกั้นห้องด้านในอีกชั้นด้วยกระจกเป็นห้องทดลองภายในนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่
ร่างเล็กจนน่าใจหาย
ผมสีน้ำตาลดูธรรมดาจนไม่อยากเชื่อว่าจะบุกเข้ามาในพื้นที่ปิดตายได้ อายุของเธออ่อนกว่าณัฐกานต์เล็กน้อย
หล่อนชูมือมาเบื้องหน้าเหมือนเพ่งสมาธิกับบางสิ่ง
ส่วนกระจกที่ขวางระหว่างพวกเขากับผู้บุกรุกนั้นถูกกระแทกอย่างต่อเนื่องเหมือนถูกยิงด้วยปืนกลหลายสิบนัดใส่
กระจกกันกระสุนส่งเสียงประท้วงราวกับจะระเบิดได้ทุกเวลา สองพี่น้องยืนนิ่งเพราะประหลาดใจว่างเธอทำได้อย่างไร

 

            กระทั่งความอับชื้นและฝุ่นในห้องเข้าเล่นงานพี่ชายที่ยืนหน้าสุดจนจามออกมาจึงได้สติ

 

            “ดูดอากาศด่วนเลยคารม่า”
นพรัตน์ร้องเรียกสมองกล เครื่องดูดควันและปรับอากาศในห้องก็ทำงานทันที
“ต่อไมโครโฟนกับข้างในนั้นด้วย แสกนหาอาวุธอีกครั้ง...ไม่มีอาวุธเลยนิ นัท”

 

            “แล้วหล่อนทำอย่างนั้นได้ยังไง
เหมือนกับเวทมนตร์” น้องชายครางเบาๆ ถอดแว่นตาออกมาเช็ดถู

 

            “ไม่มีเวทมนตร์ในโลกนี้”
พี่ชายสรุป เสียงวี้ดังขึ้นจากไมโครโฟนบนโต๊ะทำงานตัวหนึ่งด้านหน้าห้อง
แสดงว่ามันเชื่อมต่อกับด้านในห้องกระจกแล้ว
เสียงทุบกระจกหยุดลงเพราะหญิงสาวหันไปสนใจเสียงของเจ้าบ้านที่ลอดผ่านลำโพงเข้าไป

 

            “สวัสดี
พูดไทยได้ไหม คุณดูเหมือนคนต่างประเทศมากกว่า”
นพรัตน์ทักทายด้วยภาษาอังกฤษที่เป็นภาษาสากลตลอดกาล

 (มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่