โนอาห์ 63 ตอนที่ 5

กระทู้สนทนา
รถต่างจากดาววิ่งไปยังจุดหมายที่วางแผนไว้ เมืองนัส ศูนย์กลางของทุกสิ่ง พี่ชายเป็นคนขับจึงทะเลาะกับสมองกลของรถเป็นส่วนใหญ่ ณัฐกานต์น้องชายเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับตำราที่เอาออกมาวางไว้จนแทบไม่เหลือทางเดิน ส่วนโรสก็เอาแต่ทำน้ำผลไม้ปั่น เธอบอกว่าชอบเจ้าเครื่องปั่นน้ำผลไม้มาก และทำให้สองพี่น้องกินทุกวันวันละสามเวลา
 
            วันหนึ่งพวกเขาเจอทะเลขวางหน้าอยู่ นพรัตน์พี่ชายบอกว่าได้เวลาทดสอบแล้วว่าก้อนพลังงานบนดาวดวงนี้สามารถใช้แทนพลังงานฟิวชั่นในรถได้หรือไม่
 
            “ถ้าแร่ทาเอนี่สามารถให้พลังงานความร้อนสูงพอเปิดเครื่องข้ามมิติได้ มันก็ต้องสร้างพลังงานสูงพอเร่งปฏิกิริยาฟิวชั่นได้เหมือนกัน”
 
            นพรัตน์เปิดช่องเครื่องยนต์ที่ใต้คอนโซลหน้ารถ ขยับเอาแท่งพลังงานกระตุ้นการเกิดปฏิกิริยาฟิวชั่นออกมา แล้วเอาก้อนแร่ทาเอยัดใส่ไปแทน
 
            “แท่งนี้พลังงานหมดพอดีถือว่าทดลองไปในตัว”
 
            “เราจะข้ามทะเลไปด้วยโหมดลอยน้ำของรถหรือครับพี่นพ...แล้วถ้าเราร่วงกลางทางล่ะ” ณัฐกานต์ถามความเห็นพี่ชาย
 
            “เราจะไปด้วยโหมดปกติ เพราะพี่มีตัวช่วย” นพรัตน์ใช้ไขควงหมุนปิดฝาครอบให้แน่นอีกครั้ง
 
            ข้างนอกเป็นชายทะเลสีเขียวอมเหลือง โรส วาโนเลส กำลังร้องเพลงอยู่ ท่วงทำนองที่สงบราบเรียบได้ยินเข้าไปถึงรถบ้าน นพรัตน์ลากน้องชายออกมาดูหล่อน สิ่งที่เขาขอจากโรสเพื่อการทดลองคือการสังเกตเวทมนตร์ของคนบนดาวอย่างใกล้ชิด
 
            ราวกับทะเลแยกเพื่อให้โมเสสหนีกองทัพอียิปต์ได้ คลื่นน้ำเกิดปฏิกิริยากับบางสิ่ง ราวกับมีมือยักษ์แยกทะเลเปิดทางให้รถแล่นได้ราวกับเป็นถนนชั่วคราวฉะนั้น เสียแค่ไม่ใช่ทางตรง แต่คดโค้งตามแนวหินปะการัง สองพี่น้องขนลุกซู่จนบอกไม่ถูกเมื่อเห็นภาพนั้น
 
            “พี่อยากเห็นความสามารถโดยรวมของเวทมนตร์ ขอบเขตการใช้งานและระยะเวลาคงสภาพของเวทมนตร์เอาไว้” นพรัตน์คิดว่าเหมือนกับเรื่องเล่าในศาสนาของเขาไม่มีผิด
 
            “แล้วถ้ากำแพงน้ำสองฝั่งมันโค่นตอนเราอยู่กลางทางล่ะพี่” ณัฐกานต์เกร็งเล็กน้อยที่ได้เห็นปรากฏการณ์ทางเวทมนตร์ใกล้ๆแบบนี้
 
            “เราถึงต้องเป็นคนขับไงนัท” พี่ชายยื่นกุญแจรถบ้านให้น้องชาย “อยากขับมายาซิ่งตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ แล้วถ้าไม่ใช้งานให้เต็มประสิทธิภาพบ้างประเดี๋ยวเครื่องกลฝืดหมด”
 
            คุณน้องชายรับกุญแจรถมาอย่างยินดี พร้อมทั้งแยกเขี้ยวหัวเราะหึๆในลำคอ
 
            “พร้อมแล้ว ขึ้นรถได้เลย เดี๋ยวข้าไปร้องต่อบนรถก็ได้” โรสหันกลับมาทางสองพี่น้อง “แล้วณัฐกานต์เป็นคนขับหรือ” หล่อนเห็นณัฐกานต์ถือกุญแจรถพลางหัวเราะอย่างชั่วร้าย
 
            “คอยดูก็แล้วกัน รัดเข็มขัดนิรภัยแล้วหาที่เกาะให้ดี” นพรัตน์ชิงหาที่นั่งที่น่าจะปลอดภัยที่สุดก่อนเป็นคนแรก “หมอนั่นเคยได้ฉายา ซิ่งนรกรถเกาะโค้ง ต้องไปทันเวทมนตร์หยุดแน่นอน”
 
            ณัฐกานต์สตาร์ทเครื่องรถ แม้จะได้ยินเสียงสำลักของพลังงานบ้างแต่การใช้ก้อนแร่แทนแท่งพลังงานสำเร็จแล้ว รถจากต่างดาวทดสอบเดินหน้าถอยหลังแล้วเลี้ยวเข้าไปในทางน้ำแยกเพื่อทำสิ่งที่ตั้งใจ ขับรถข้ามทะเล
 
            แล้วน้องชายของบ้านก็สำแดงฤทธิ์! รถบ้านที่ไม่น่าวิ่งเร็วได้บัดนี้มันออกตัวด้วยความเร็วสูงพุ่งไปตามทางที่โรสสร้างขึ้น แม้พี่ชายจะกลัวตายแต่ยังไม่วายสังเกตกำแพงน้ำ มันเหมือนกับมีตาข่ายสีเงินกันไว้ราวกับกระจกฉะนั้น
 
            พี่ชายสังเกตเวทมนตร์ที่ใช้แยกน้ำทะเลอย่างใกล้ชิดชนิดเปิดหน้าต่างดู ปากก็พร่ำภาวนาอธิษฐานถึงพระเจ้าในศาสนาตนเองด้วย ส่วนโรสที่หยุดร้องเพลงไปแล้วรู้สึกสนุกสุดขีดราวกับกำลังนั่งรถไฟในสวนสนุกอยู่
 
            “ข้าเพิ่งรู้ ว่าเจ้าสิ่งขับเคลื่อนนี้บินได้!” โรสอุทานเมื่อณัฐกานต์ขับปีนหินขนาดใหญ่ทำให้รถลอยขึ้นไม่กี่วินาที
 
            “ผมกินความเร็วเป็นอาหาร ขับช้าไม่ได้!” ณัฐกานต์ตอบ
 
            เพราะการขับรถแบบท้านรกของณัฐกานต์ หรือการกะสัดส่วนระยะทางผิดพลาดก็ไม่อาจรู้ได้ รถบ้านคันใหญ่ก็ขึ้นเกยฝั่งก่อนกำแพงน้ำถล่มเพียงไม่ถึงนาที ณัฐกานต์กดเปิดฝาครอบเครื่องยนต์ทั้งหมดเพื่อระบายความร้อนพลางสบถสาบานในฝีมือการขับรถของตน
 
            “รู้ไหมว่าเครื่องในฉันมันเกือบทะลักออกทางปาก ยิ่งกว่ารถไฟเหาะในสวนสนุกอีก” นพรัตน์คราง แอบส่งสายตาพิฆาตไปให้น้องชายที่มีประวัติขับรถแหกโค้งมานับไม่ถ้วนจนถูกเขายึดใบขับขี่ “ฉันสงสัยจริงๆว่าแกรอดจากการขับแบบมุทะลุนี่ได้ยังไง”
 
            “ถ้าขับช้าๆแบบพี่นพไม่แน่เราอาจตายกันหมดนะพี่ ไม่เห็นหรือว่ากำแพงน้ำเริ่มถล่มลงมาเมื่อห้านาทีก่อน” ณัฐกานต์ที่เริงร่าอยู่คนเดียวแถ
 
            “เออ ฉันยอมแพ้ ไม่มีแรงเถียงด้วยแล้ว...ขอบคุณโรสนะ ช่วยให้ผมสังเกตเวทมนตร์ได้เยอะเลย” นพรัตน์พยายามถอดเข็มขัดนิรภัยเป็นครั้งที่ห้า มือของเขาไม่ยอมหยุดสั่นสักทีตั้งแต่น้องชายค่อยๆเอารถขึ้นไปจอดบนฝั่งเพื่อความปลอดภัย
 
            “แล้วสังเกตได้ความว่าอย่างไรบ้างล่ะพี่” คุณน้องชายดึงกุญแจออก ความรู้สึกที่ได้พบเจอความเร็วอีกครั้งยังอาบอิ่มอยู่ในกระแสเลือด
 
            “พวกมันเหมือนแมลงสีเงิน เล็กยิ่งกว่าเม็ดทราย...เหมือนจะนึกบางอย่างได้แต่คิดไม่ออก” ในที่สุดนพรัตน์ก็แกะเข็มขัดนิรภัยได้สักที แต่ขายังสั่นเกินกว่าจะลุกยืนได้ทันที
 
            “ใช่แล้ว พวกมันคือทาสแสนล้านในคัมภีร์ ต้องอยู่เยอะๆจึงจะเห็นได้ด้วยตาเปล่า” โรสพยายามยืนโดยเกาะผนังรถไปด้วย “เรารู้แต่มันเป็นมิตร และจะได้รับการกระตุ้นด้วยเสียงเพลง”
 
            “เอาน้ำไหมพี่ ผมก็ยังลุกไม่ค่อยไหวเหมือนกัน เร่งความเร็วไปสัก 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้” ณัฐกานต์หัวเราะกับพี่ชาย
 
            “เอาน้ำมาลอนไหม ตอนแวะหมู่บ้านที่แล้วข้าซื้อมาตุนไว้” คนที่ร่างกายปรับเป็นปกติก่อนชวนกินน้ำปั่นอีกแล้ว “ตอนนี้ให้น้ำปั่นทำข้าทำไหว แต่ให้วิ่งไปโน่นมานี่คงต้องขอพักก่อนล่ะ” โรสค่อยๆก้าวไปทางครัวที่ข้าวของถูกจัดวางไม่ให้กระจัดกระจายเพราะความเร็วของรถ...
 
 
            “ตอนนี้เราอยู่เขตเมืองนัสแล้วใช่ไหม เล่าให้ฟังหน่อยสิ” สองพี่น้องย้ายร่างลงมานั่นกินน้ำมาลอนปั่นกับพื้น มันมีรสชาติเหมือนน้ำเมล่อนแต่เข้มข้นกว่า นพรัตน์ขอเวลาระลึกชาติว่าเคยเห็นเจ้าสิ่งสีเงินๆที่เป็นเวทมนตร์ของที่นี่ที่ไหน ส่วนณัฐกานต์หาเรื่องคุยกับโรสแทน
 
            “ที่นี่เป็นเกาะขนาดใหญ่ ภูเขาตรงใกล้ๆกลางเกาะเป็นส่วนห้ามเข้า ความเจริญเลยล้อมรอบส่วนห้ามเข้าแทน มีทั้งท่าเรือ อู่ต่อเรือ ส่งออกผลไม้และเครื่องเทศด้วย”
 
            “และเป็นที่พบเจอภัยพิบัติน้อยสุดด้วยใช่ไหม” คุณน้องชายถามเพื่อย้ำทฤษฎีที่ตนคิดขึ้น โรสพยักหน้า
 
            “ข้าจะนำทางไปที่โบสถ์ใหญ่ของศาสนจักรเพื่อหาทางเข้าไปในป่านั่น” โรสพูดอย่างเคร่งขรึม “แต่เรื่องสัตว์ที่พิทักษ์ป่านั่นข้าช่วยไม่ได้”
 
            ไม่ต้องห่วง ถ้าทฤษฎีของผมถูกต้อง มันต้องเป็นหุ่นยนต์ช่วยเหลือที่รับคำสั่งมาจากพวกแม่เรานั่นละ”
 
            “เอาไว้เดี๋ยวคงคิดออกเอง” นพรัตน์บ่นกับตัวเอง “เอาเป็นว่าเราจะใช้มายาคันนี้ส่งคลื่นความถี่ในแบรนด์ของอาจารย์ของพ่อเราออกไป ถ้ามีสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้ชิ้นส่วนสมองกลที่รับความถี่นี้ได้มันจะมาหาเรา...หรือเปล่า” คุณพี่ชายพูดอย่างไม่แน่ใจเพราะไม่เคยทำมาก่อน
 
            “มันคือคลื่นสะท้อนกลับครับพี่ ถ้าไม่มีอะไรที่รับคลื่นได้ก็จะเลยผ่านไป แต่ถ้ามีสิ่งที่รับคลื่นได้มันจะสะท้อนตัวเองออกมาเหมือนเจอสิ่งของขวางหน้า” 
 
            “แล้วบางสิ่งจะรู้ไหมว่าเราปล่อยคลื่นความถี่ไป”
 
            “ถ้าเป็นหุ่นยนต์ที่อาจารย์ของพ่อออกแบบสมองกลมันต้องรู้แน่นอน และจะมาหาเราด้วย” นพรัตน์พูดเสียงเครียด
 
            “อย่างนั้นเรามาพักที่นี่สักคืนดีกว่า อยากตรวจสภาพรถหลังเร่งเครื่องแรงๆด้วย” ณัฐกานต์เสนอให้พักการเดินทางเอาไว้สักวันหรือสองวันเพื่อตรวจดูเครื่องยนต์ของรถบ้าน
 
            คืนนั้นสว่างไสวด้วยดวงจันทร์สามดวง สองพี่น้องอยากเอาเบียร์ที่ซุกไว้มากินแต่โรสบังคับให้ดื่มน้ำปั่นของเธอเท่านั้น
 
            “ดวงสีเหลืองคือทรอท สีเขียวที่เห็นครึ่งดวงคือซัลท์ ส่วนสีแดงน่ากลัวคือสเตรีย คืนที่เราเห็นดวงจันทร์ครบสามดวงเป็นคืนดี สินแร่จะผุดขึ้นมาจากดินโดยเฉพาะเขตเหมืองแร่สคาทิล” โรสแนะนำดวงจันทร์ทั้งสามให้สองพี่น้องรู้จัก
 
            “แร่นั่นไงล่ะ!” อยู่ดีๆนพรัตน์ก็โผล่งขึ้นมา “แกจำตอนที่เราสำรวจก้อนอุกกาบาตที่ตกหลังบ้านเราได้ไหม แกเจอสิ่งมีชีวิตระดับนาโนเกาะอยู่บนก้อนนั่นด้วย เป็นไปได้ไหมที่จะเป็นตัวเดียวกัน”
 
            “น่าคิดนะพี่ แต่ถ้าจับมาส่องดูไม่ได้ก็ยังสรุปไม่ได้หรอก” น้องชายตอบอย่างครุ่นคิด “แล้วแร่นั่นไปตกที่โลกเราได้ยังไงล่ะ ถ้าเป็นอย่างพี่ว่ามันไม่ใช่ก้อนอุกกาบาตปกติด้วยซ้ำ”
 
            “มีเรื่องให้คิดอีกเรื่องแล้วสิ” นพรัตน์ดูดน้ำปั่นอย่าสงบทั้งที่ปริศนาทั้งหลายถาโถมเข้ามาเหมือนคลื่นทะเล...
            
            สองวันต่อมา หลังจากสองพี่น้องได้พบกับคนจากศาสนจักรแล้วก็เดินทางไปยังป่าที่อยู่กลางเมือง ทั้งสองตัดสินใจไม่ขับรถเข้าไปแต่ใช้วิธีปล่อยคลื่นเข้าไปในป่าแทน เครื่องส่งความถี่เป็นกระเป๋าขนาดกะทัดรัดที่ศาสตราจารย์วัลลพวิจัยต่อจากอาจารย์ของเขาอีกทีหนึ่ง
 
            “จะเปิดแล้วนะ ไม่ต้องเตรียมสู้หรอกโรส ไม่ว่าอะไรอยู่ในนั้นมันไม่เคยทำร้ายใครนี่นา” นพรัตน์ปรามโรสที่คว้าท่อนไม้ใหญ่มาป้องกันตัว
 
            คลื่นความถี่เสียงเหมือนเสียงของโลมาถูกปล่อยออกไปจากเครื่องส่ง หูของมนุษย์แทบไม่ได้ยินแต่รับรู้ได้จากมวลของอากาศที่อัดแน่นเป็นเกลียวผ่านร่างพวกเขาไปเป็นระลอกๆ นพรัตน์ที่จดต่ออยู่กับเครื่องส่งสัญญาณทำหน้าแปลกใจ
 
            “มีคลื่นสัญญาณตอบกลับมาด้วย มันเข้ามาหาพวกเรา เร็วขึ้นๆ”
 
            ในขณะเดียวกัน ป่าตรงหน้าทุกคนก็ส่งเสียงสะเทือนเลือนลั่นราวกับมีบางสิ่งกำลังวิ่งมาหาด้วยความเร็วสูงสุด ทุกคนเงียบกริบเฝ้ารออย่างใจจดจ่อ
 
            “ซีล!”
 
            สิ่งที่วิ่งทะลุแนวป่าออกมาคือหุ่นยนต์เก่าคร่าอายุมากกว่าพันปี มันมีรูปร่างคล้ายแมวน้ำ ซิลิโคนแกร่งที่สร้างเป็นผิวหนังถลอกหลุดร่อนไปหลายส่วนแต่ยังพอมองออกว่าเป็นตัวอะไร มันวิ่งมาคลอเคลียสองพี่น้องอย่างสุนัขที่ไม่ได้เจอเจ้าของมานาน
 
            “นพ! นัท! ผมไม่ได้เจอคุณสองคนนานมากเลยนะ” เจ้าแมวน้ำซิลิโคนพูดเสียงตะกุกตะกักด้วยเสียงเทียมที่ตกยุคไปนาน
 
            หุ่นแมวน้ำตัวนี้คือผู้ช่วยของแม่ของสองพี่น้อง มันมีมือเทียมเท้าเทียมและสารพัดสิ่งที่ช่วยในการวิจัยทดลอง
 
            “คุณแม่มัลลิกาฝากผมกันคนออกจากป่าและยานสำรวจครับ แต่ท่านบอกว่าให้พวกคุณเข้าไปได้” 
 
            “พ่อกับแม่ของเราอยู่ข้างในนั้นจริงๆสินะซีล” ณัฐกานต์ขนลุกซู่
 
            “มันคือตัวอะไร ตัวเล็กแค่นี้พาคนออกจากป่าได้จริงหรอ” โรสผู้ไม่เคยเห็นแมวน้ำมาก่อนเอ่ยขึ้น
 
            “ใช่แล้วครับ ผมคือหุ่นแมวน้ำอุ๋งๆแสนน่ารักครับคุณผู้หญิง” หุ่นแมวน้ำตอบ “พร้อมจะไปเจอคุณแม่มัลลิกาหรือยังครับสองคน”
 
            “ขอตรวจส่วนสมองกลก่อนได้ไหม” ณัฐกานต์ยังจำวันคืนที่ได้เล่นกับหุ่นแมวน้ำตัวนี้ได้ “อยากรู้ว่าวงจรในหัวแกเป็นอย่างไรบ้าง ผ่านไปตั้งหลายร้อยปีนี่นา” หุ่นแมวน้ำตอบตกลงแล้วเดินกระดืบๆไปหาคุณน้องชายให้ตรวจสอบวงจรสมองที่ส่วนหัว
 
            “มันเคยเป็นหุ่นผู้ช่วยของแม่เรา” นพรัตน์อธิบายกับโรส “ถ้าอารยาเป็นผู้ช่วยของพ่อ เจ้าหุ่นนี่ก็เป็นผู้ช่วยของแม่ล่ะ รูปร่างของมันเหมือนสัตว์ชนิดหนึ่งบนโลกของเรา เขาคงไม่ได้เอายีนของมันมาด้วยกระมังคุณเลยไม่เคยเห็น”
 
            “ยังใช้ได้กว่า 80% แค่เอากลับไปซ่อมบนโลกจะกลับเป็นเหมือนเดิมได้อีก” ณัฐกานต์ใช้ไขควงพกพาหมุนปิดส่วนวงจรเอาไว้เหมือนเดิม
 
          
 
(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่