โนอาห์ 63 ตอนที่ 3

กระทู้สนทนา
**หมายเหตุ ขอเปลี่ยนชื่อแร่เป็น ทาเอ เนื่องจากคนเขียนวางตัวอักษรในภาษาอังกฤษสลับกัน

            เช้าวันรุ่งขึ้นผนังบ้านที่กั้นระหว่างห้องทำงานของศาสตราจารย์วัลลพก็เลื่อนเปิดส่งเสียงโกรงกร่างดังสนั่นด้วยกลไกที่นอนหลับมาหลายสิบปี สองพี่น้องตระกูลวงศ์แสวงโชคและโรสผู้มาเยือนพร้อมออกเดินทางไปต่างโลก! รถบ้านคนใหญ่เคลื่อนเข้ามาใกล้ทางเข้าห้องทดลองที่ติดตั้งวงแหวนข้ามมิติ นพรัตน์พี่ชายสอบกับน้องชายเป็นครั้งสุดท้ายว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว
 
            “เสื้อผ้าของใช้ส่วนตัว น้ำกับอาหารพอสำหรับหนึ่งอาทิตย์ ยาพื้นฐาน คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เก็บข้อมูลพื้นฐานแทนของเก่าทั้งหมดที่เป็นระดับสูง...ผมไม่รู้ว่าพี่นพไปขโมยมาจากไหนแต่ช่างเถอะ ระบบเครื่องปั่นไฟ น้ำใช้และน้ำมันพร้อม ผมว่าเราไปกันได้เลยนะ” ณัฐกานต์พูดรายการตรวจสอบให้นพรัตน์ฟัง ส่วนโรสขึ้นไปนั่งรอบนรถแล้ว
 
            “ขอให้เดินทางอย่างสวัสดิภาพนะคะคุณนพรัตน์ คุณณัฐกานต์ อย่าลืมถ่ายวิดีโอคลิปกิจกรรมในร่มของพวกคุณมาฝากฉันด้วยนะคะ” หุ่นอารยาโบกมือลาเจ้านายทั้งสอง และสัญญาว่าจะดูแลบ้านอย่างดี
 
            “บอกแล้วว่าอย่าเล่นมุขใต้สะดือ” นพรัตน์ถอนหายใจเฮือก “ฝากด้วยนะอารยา ฉันไม่รู้ว่าพวกเราจะได้กลับเมื่อไร หรืออาจไม่ได้กลับมาเลย” คุณพี่ชายโบกมือลาหุ่นที่ต้องอยู่เฝ้าบ้าน ส่วนตัวของเขาเลื่อนประตูรถบ้านปิดแล้วขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ “อย่าหวังว่าแกจะได้ขับคันนี้เลยนัท คันอื่นจะขับโลดโผนอย่างไรก็ได้ แต่ไม่ใช่คันนี้” 
 
            นพรัตน์ไล่น้องชายให้ไปนั่งเบาะข้างคนขับแล้วคาดเข็มขัดนิรภัย ส่วนโรสไปนั่งบนเบาะกลางตัวรถที่ทำหน้าที่กั้นส่วนอื่นๆกับส่วนท้ายรถซึ่งเป็นส่วนที่นอนและห้องน้ำ ทางขวาของเธอเป็นส่วนทำครัวและที่เก็บเสบียง มีตู้เป็นเอกเทศเอาไว้เก็บอุปกรณ์สำรวจรวมไปถึงคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กอยู่ข้างกัน ตรงกลางรถเป็นโต๊ะเล็กที่สามารถตั้งขึ้นและเก็บกลับเข้าไปได้เพื่อไว้ใช้สำหรับทำงานต่างๆ 
 
            ถึงรถจะถูกจัดพื้นที่อย่างเป็นระบบระเบียบ แต่ด้วยความชุ่ยอย่างไร้แบบแผนของนพรัตน์ก็ทำให้สิ่งของปนกันมั่วอยู่ดี น้ำมันสำรองอยู่ในตู้เก็บอุปกรณ์ทดลองแทนที่จะเก็บในช่องเก็บของหน้ารถ เสบียงจำพวกนม อาหารว่างไร้สาระ และหนังสือต่างๆถูกหมกในส่วนที่นอนกับช่องเก็บของซ่อมบำรุงหน้ารถ ห้องน้ำที่น่าจะเก็บไว้แต่น้ำใช้ก็อุตส่าห์เอาน้ำกินไปไว้ที่นั่นด้วย จนณัฐกานต์เหนื่อยที่จะจัดใหม่ให้เป็นหมวดหมู่ทั้งหมด
 
            กระนั้นคุณน้องชายก็จัดพวกมันจนมากพอให้ไม่ทำเขาคลั่งตายด้วยความยุ่งเหยิงเสียก่อน 
 
            รถบ้านที่มีขนาดใหญ่กว่ามินิบัสเล็กน้อยเคลื่อนตัวเข้าสู่ด้านในของตัวบ้านที่ผนังเปิดโล่งอยู่ วงล้อเปิดมิติของศาสตราจารย์วัลลภเรืองแสงสีดำส่งเสียงคำรามเรียกพวกเขาไปสู่โลกใหม่เพื่อช่วยเหลือ 
 
            “ข้าแต่พระบิดาเจ้า ได้โปรดอำนวยพรให้ข้าพระองค์และน้องชายด้วยเถิด แม้เขาจะอยู่ต่างศาสนาก็ตาม” นพรัตน์ขอพรจากพระเจ้าก่อนเหยียบคันเร่งให้รถพุ่งทะยานเข้าหากลุ่มก้อนอากาศสีดำข้างในวงแหวน ทุกสิ่งรอบตัวเต็มไปด้วยความมืดมิดในบัดดล...
 
 
            ความมืดปกคลุมรถบ้านอยู่ไม่กี่วินาทีก็ถูกกลบฝังด้วยแสงสว่างจ้า รถบ้านแล่นพ้นฐานของวงแหวนเหล็กลงกระแทกพื้นโครมใหญ่ นพรัตน์อยู่ในอาการตกใจอยู่เสี้ยววินาทีก่อนจะหักรถไม่ให้พุ่งเข้าหาต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า! รถจากโลกอื่นหยุดลงโดยตัวรถห่างจากต้นไม้ดังกล่าวไม่ถึงหนึ่งเมตร เมื่อดับเครื่องเรียบร้อยสองพี่น้องและโรสก็ลงมาจากรถเมื่อดูโลกอีกใบที่โรสอยากให้มาช่วย
 
            บ้านเมืองในดาวดวงนี้คล้ายกับภาพโฮโลแกรมที่โรสสร้างให้พวกเขาดู บ้านเรือนมีรูปร่างเป็นทรงหกเหลี่ยมสูงต่ำสลับซับซ้อน อาคารส่วนใหญ่มีสีหมองๆคล้ายผลึกแร่บางอย่างที่ผ่านกาลเวลามานาน บางจุดเป็นเหมือนผลึกสีดำสูงเหมือนหอคอย บางแห่งเป็นเหมือนอาคารใหญ่ที่กว้างกว่าหลังอื่นๆ จุดที่พวกเขาออกมามีลักษณะคล้ายวงเวียนหรืออนุสาวรีย์ที่มีวงแหวนเหล็กอยู่ตรงกลางพื้นหญ้า 
 
            “ขอต้อนรับทุกท่านสู่อทราเอ เมืองที่เจริญที่สุดในมิลค์เวย์ของเรา” โรสพูดกับสองพี่น้อง
 
            ณัฐกานต์ปรี่เข้าหาต้นไม้ที่ใกล้ที่สุดเพราะมันเหมือนของบนโลกมาก ส่วนนพรัตน์ลองเดินไปตรงส่วนขอบสนามหญ้า แล้วกระทืบเท้าเบาๆบนพื้นหินสีคล้ำที่คล้ายกับหินทรายละเอียดอัดก้อน  เขารู้สึกไม่ต่างกับตอนอยู่บนโลกจริงๆ อากาศค่อนข้างร้อนมีกลิ่นแปลกๆคล้ายพริกไทยชวนแสบจมูกลอยอยู่ แล้วอีกสิ่งที่คุณพี่ชายแปลกใจ อยู่ดีๆเขาก็คิดถึงพ่อกับแม่ขึ้นมาเฉยๆ ไม่ใช่การคิดถึงบ้านหรือโลก แต่คล้ายกับมีการเชื่อมโยงสู่ตัวบุคคลโดยตรง ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้เช่นกัน 
 
            เมื่อมีพาหนะลึกลับจากโลกอื่นโผล่ออกมาผู้คนรอบข้างก็เริ่มมองแล้วเข้ามามุงดู หากนพรัตน์ไม่เห็นสิ่งที่แตกต่างจากโลกอย่างตึกรามบ้านช่องและลักษณะพื้นดิน เขาคงคิดว่าคนพวกนั้นเป็นมนุษย์โลกเหมือนเขาสองคน คนพวกนั้นเหมือนมนุษย์โลกทุกประการ คุณพี่ชายแทบไม่มีความรู้ทางด้านมานุษยวิทยาแต่พอบอกได้ว่าคนพวกนี้มีลักษณะเหมือนมนุษย์พวกคอเคซอยด์ ผิวสีอ่อนผมสีซีด ร่างใหญ่แต่ความสูงไม่ต่างกับเขามากนัก เหมือนพวกชาวตะวันตกบนโลกของเขา ส่วนเสื้อผ้านั้นก็มีรูปร่างเหมือนกับของบนโลก ต่างแค่วัสดุที่ไม่น่าเป็นพวกใยสังเคราะห์ คุณพี่ชายพบว่าคนเหล่านั้นส่วนมากเดินเท้า อย่างมากก็มีแค่รถเทียมสัตว์ที่น่าจะเป็นม้าแต่ตัวใหญ่กว่าเกือบเท่าตัว
 
            “นั่นโรสนี่! โรส ทางนี้” 
 
            เสียงเรียกภาษาอังกฤษเรียกความสนใจจากสองพี่น้องและโรส ผู้ส่งเสียงเป็นชายอายุไม่น่าห่างจากณัฐกานต์มากนัก ผมสีน้ำตาลกับเสื้อผ้าที่ทำด้วยหนัง ดูอย่างไรก็เหมือนคนบนโลกไม่มีผิดเพี้ยน ท่าทางสนิทกับหญิงสาวมาก เมื่อพบหน้ากันก็จับไม้จับมือกันด้วยความเป็นห่วง
 
            “ข้าพบสองคนนี้ที่อีกด้านของวงแหวนพอลโลว ข้าเล่าให้ฟังแล้วพวกเขาก็อยากช่วย” โรสพาชายคนนั้นมาแนะนำให้สองพี่น้องรู้จัก “คนนี้นพรัตน์เป็นพี่ อีกคนณัฐกานต์เป็นน้อง” 
 
            หนึ่งในเจ้าบ้านบนดาวดวงนี้จ้องมองนพรัตน์อย่างเสียมารยาท คุณพี่ชายรีบสำรวจตัวเองอย่างฉับไว เสื้อแจ็คเก็ตสีดำไม่มีรอยขาด กางเกงยีนส์สีเข้มเปื้อนเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับทำให้ภาพลักษณ์ดูแย่ หรือเขาอาจโกนหนวดไม่เกลี้ยงทั้งที่เพิ่งโกนมา
 
            โรสเห็นว่าเพื่อนตนกำลังแสดงอาการมากเกินพอดีจึงจับไหล่ของเขาเบาๆเรียกสติกลับมา
 
            “ขอโทษท่านทั้งสอง เป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบคนจากดวงดาวอื่น พวกท่านคล้ายกับพวกเราเหลือเกิน...ชื่อของข้าคือ เอริค เมทาบ์ ยืนดีที่ได้รู้จัก” ชายที่ชื่อว่าเอริคแนะนำตัวโดยการเอามือซ้ายวางทาบหน้าอกแล้วโค้งคำนับ นพรัตน์กับณัฐกานต์ก็ลองทำดูบ้าง
 
            ชายหนุ่มบนดาวดวงนี้หันไปกระซิบกับโรสเล็กน้อยแล้วเชิญพวกเขาไปที่โบสถ์ทางศาสนา สองพี่น้องเรียกทั้งสองคนขึ้นมาบนรถจากนั้นก็แล่นข้ามสนามหญ้าเล็กๆไปยังถนนที่เป็นหินดำเรียบกริบ เอริคดูประหลาดใจมากที่เห็นรถเป็นครั้งแรกในชีวิต เขานั่งจับเข็มขัดนิรภัยแน่นทั้งที่นพรัตน์ขับช้ามากเมื่อมีผู้คนมามุงดูว่าเกินอะไรขึ้น
 
            “นี่คือโบสถ์ใหญ่ของนิกายเรา เซนิ ศาสนาของเรามีเพียงหนึ่งเดียวคือ นาลิล เอริคบอกว่าพวกท่านควรไปพบบาทหลวงของพวกเราเสียก่อน ประมาณว่าทำความรู้จักน่ะ” โรสนำก้าวลงจากรถ 
 
            มีชายหญิงวัยกลางวันสามถึงสี่คนออกมาจากตัวอาคารกว้างแต่ไม่สูงเกินตึกสองเมตร คนที่ดูเป็นหัวหน้าเป็นชายสวมแว่นกรอบไม้ ผมตัดสั้นของเขาเริ่มมีผมหงอกอยู่ประปราย
 
            “ยินดีต้อนรับสู่อทราเอ โรสบอกว่านางจะผ่านวงแหวนไปขอความช่วยเหลือ แล้วก็ได้จริงๆ...”
 
            นักบวชในชุดดำแถบขาวหยุดพูดจ้องหน้านพรัตน์เหมือนเพื่อนของโรสทำ เป็นการมองเหมือนเห็นสิ่งประหลาดชวนเคลือบแคลงสงสัย นักบวชเจ้าบ้านเหมือนรู้ตัวว่าไม่ควรจ้องใครนานๆเอ่ยชวนสองพี่น้องให้เข้าไปในโบสถ์ของศาสนา
 
            “พวกเราที่นับถือนิกายเซนิต่างก็มานมัสการเทพมารดรที่นี่เพื่อให้ท่านจุดประกายความคิดให้ เทพมารดรของพวกเราชาวมิลค์เวย์ อาคิลแลม”
 
            ด้านในอาคารเป็นโถงกว้าง สองฝั่งประดับด้วยรูปปั้นสูงเท่าตัวคนในอิริยาบถต่างๆ บ้างก็ชูมือห้าม บ้างก็แบมือมาข้างหน้าเหมือนให้พร คุณพี่ชายไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ที่หน้าตาของหุ่นบางตัวดูคุ้นหน้าอย่างประหลาด
 
            และสิ่งที่ทำให้หัวใจของนพรัตน์หยุดเต้นอยู่ที่ด้านในสุดผ่านแถวเก้าอี้ไม้ที่เรียงราย รูปปั้นแกะสลักจากไม้เนื้ออ่อนสูงกว่าห้าเมตร หุ่นนั่นแกะสลักเป็นรูปผู้หญิงที่มีความละเอียดอ่อนเหมือนของจริง ทั้งเสื้อผ้าที่ซับซ้อน รวงข้าวที่หุ่นดังกล่าวโอบอุ้มเหมือนเด็กทารก และที่สำคัญกว่านั้นคือใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเมตตา มันคือใบหน้าของแม่ของพวกเขาทั้งสองไม่ผิดแน่! 
 
            “นี่คือเทพมารดรที่พวกเราในมิลค์เวย์สักการะ ท่านทอดกายลงบนดวงดาวที่มีแต่ความยุ่งเหยิงเพื่อให้มนุษย์อย่างเราสามารถดำรงชีพอยู่ได้ด้วยเลือดเนื้อของท่าน น่าแปลกที่พวกท่านหน้าเหมือนกับเทพมารดรของเรา หรืออาจเป็นชะตาที่ท่านจะมาช่วยพวกเราให้พ้นภัย”
 
            “พี่นพ ไม่ใช่ใช่ไหม” ณัฐกานต์ผู้น้องถามพี่ชายที่บัดนี้ยืนนิ่งน้ำตาซึม เขายิ่งมั่นใจว่าใบหน้าของรูปแกะสลักนั่นเป็นแบบเดียวกับแม่ของพวกเขาจริงๆ
 
            ในวินาทีที่เงียบสงบนั้น ระฆังที่หลังคาโบสถ์ก็ดังกังวานไปทั่วเมือง ไม่ใช่แค่ใบเดียวแต่หลายสิบใบทั่วเมืองทั้งใบเล็กใบใหญ่ ใบในร้านตีเหล็กรวมไปถึงของเล่นเด็กด้วย เหมือนกับเป็นสัญญาณบางอย่างที่พวกเขาพี่น้องไม่เข้าใจ ไม่กี่นาทีเสียงนั่นก็หยุดด้วยความงุนงงของทุกคน
 
            นพรัตน์รีบปาดน้ำตาแล้วทำตัวเป็นงานเป็นการทันที เขาหันไปคุยกับผู้นำศาสนาคนเดิมว่ามีพวกบันทึกเกี่ยวกับการสร้างโลกไหม เพื่อจะได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับดาวดวงนี้กันแน่ ผู้นำศาสนาพยักหน้าแล้วจะนำทางไป คุณพี่ชายให้คุณน้องชายตามไปคนเดียวส่วนตนจะเดินสำรวจรอบบริเวณโบสถ์นี้
 
            รอบโบสถ์สีดำด้านขนาดใหญ่เป็นสวนดอกไม้ล้อมรอบเว้นช่องทางเดินเอาไว้ นพรัตน์ลองจับต้นหญ้าและใบไม้เล็กๆดู สัมผัสของมันเหมือนกับใบไม้บนโลกไม่มีผิด และดอกไม้นั่นมันเหมือนดอกไฮเดรเยียสีม่วงสดใสที่พุ่มใหญ่กว่าปกติ ดินก็มีความร่วนแต่แข็งเหมือนทรายที่มีสารอาหารคล้ายดินวิทยาศาสตร์ ทุกอย่างเหมือนของบนโลกแต่มีความเปลี่ยนแปลงจากที่ควรอย่างละเล็กอย่างละน้อย 
 
            อย่างเช่นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ส่วนโคนใบมีสีเขียวแต่ปลายใบมีสีเหลืองคล้ายกับกำลังต่อสู้กับมลพิษหรืออาการเป็นพิษจากแร่ธาตุ ถ้ามีแค่ใบสองใบคงสรุปได้อย่างนั้นแต่นี่เป็นทั้งต้นเลย นพรัตน์มองบนท้องฟ้า ก้อนเมฆของที่นี่เป็นสีเทาเหมือนละอองโลหะหนัก แสงจากดวงอาทิตย์สีฟ้าสะท้อนบนต้นไม้สีเหลืองทำให้รอบตัวดูเป็นสีเขียว สัตว์ที่มีรูปร่างเหมือนนกบินผ่านไปเป็นฝูงยิ่งทำให้เหมือนกับอยู่บนโลกจริงๆ คุณพี่ชายบอกไม่ถูกว่าชอบหรือไม่ชอบบรรยากาศสบายจนผิดธรรมปกติแบบนี้ ราวกับมันไม่มีทางเกิดเรื่องร้ายได้เลย
 
            “ผมได้หนังสือทางศาสนามาแล้ว ไบเบิลของพี่นพชิดซ้ายไปเลย” ณัฐกานต์เดินออกมาสมทบกับพี่ชาย เขาหอบหนังสือเล่มหนาออกมาด้วย “มันมีบทที่ว่าการสร้างมิลค์เวย์ไว้อยู่ ถ้าจะมีอะไรคงอยู่ในนั้น แล้วเขามีห้องพักสำหรับแขกให้เราด้วย จะไปนอนกับเขาไหม”
 
            นพรัตน์รับคัมภีร์เล่มใหญ่มาดู มันเป็นปกหนังสีน้ำตาลขัดหยาบๆเก่าคร่ำคร่าหนาเกือบสองพันหน้า ข้างในพิมพ์ด้วยตัวอักษรคล้ายภาษาอังกฤษสีดำ แม้บางคำจะดูแปลกๆแต่พอจะถอดความหมายได้คร่าวๆ คุณพี่ชายถอนหายใจยาวเหยียด เขาต่างกับน้องชายที่เรียนเสริมทางภาษามาอย่างเข้มข้นระดับชวนคนต่างประเทศทะเลาะได้ ในขณะที่ตัวเขาแค่ระดับบรรยายทางวิชาการเท่านั้น

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่