โนอาห์ 63 ตอนที่ 4

กระทู้สนทนา
            นพรัตน์กลับมาที่รถบ้านเพื่อจะเอากล้องดิจิตอลไปถ่ายรูปคำที่สลักอยู่ที่ฐานของวงแหวนและแผ่นเหล็กที่น่าจะเป็นทางลงไปใต้ดินด้วย เขาพบว่าณัฐกานต์กำลังทำงานอย่างบ้าคลั่งที่ส่วนกลางรถ แผ่นโต๊ะถูกตั้งขึ้นให้วางเอกสารซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือตำราทางศาสนาและแผ่นจดโน้ตของคุณน้องชาย 
 
            คุณพี่ชายค่อยๆย่องผ่านประตูรถที่เปิดรับลมไม่อยากรบกวนน้องชาย แต่มีหรือที่คนละเอียดอ่อนอย่างณัฐกานต์จะไม่รู้
 
            “เจออะไรบ้างครับพี่นพ” คุณน้องชายเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ
 
            “ตัวอักษรประหลาดที่ส่วนฐานของวงแหวน และแผ่นเหล็กแปลกๆที่เหมือนกับเพิ่งงอกขึ้นไม่นานมานี้ พี่จะเอากล้องไปถ่าย” ในเมื่อคนที่คร่ำเคร่งกับงานรู้ตัวแล้วนพรัตน์ก็ไม่ต้องหลบอีกต่อไป “ประเดี๋ยวจะไปขอบริจาคเลือดจากโรสหรือไม่ก็เอริคสักหยดสองหยด จะได้ตรวจกรุ๊ปเลือด และลองส่องกล้องดูว่าเหมือนกับของพวกเราไหม”
 
            “ขอตัวอย่างใบไม้กับกิ่งไม้ด้วย...เอามาทั้งกิ่งเลยล่ะดี ขอบคุณครับ” แล้วคุณน้องชายก็ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ
 
            นพรัตน์ไม่แค่เอากล้องดิจิตอลห้อยไว้กับคอยังหยิบชุดตรวจเลือดกับเครื่องชั่งน้ำหนักออกมาด้วย เพื่อจะขอเลือดส่วนหนึ่งมาจากเอริคหรือไม่ก็โรส พอเจอเอริคเจ้าบ้านบนดาวดวงนี้เขาก็โยนเครื่องชั่งน้ำหนักแล้วบอกให้เอริคขึ้นไปยืนทรงตัวข้างบน ส่วนตัวเองเดินไปเปิดท้ายรถหยิบเก้าอี้สนามเก่าๆออกมากางให้เจ้าบ้านผู้กำลังสับสนนั่งลง
 
            “เคยเข้ารับการรักษาพวกผ่าตัด หรือให้เลือดไหม” นพรัตน์ต้องทำความเข้าใจกับเป้าหมายที่จะขอเลือดก่อน
 
            “เคยขอรับ พวกเรามีหมอ เขาจะให้เลือดและทำการผ่าตัดโดยใช้เวทมนตร์ช่วย ข้าเคยโดนเกวียนทับกระดูกแข้งหักครึ่งเลย”
 
            “เดินปกติเหมือนไม่เคยเกิดอุบัติเหตุเลยนะ” นพรัตน์หยุด พวกเขามีหมอนี่ แล้วทำไมต้องให้มันยุ่งยากด้วย “พวกคุณมีหมอ พวกเขามีพวกคลังเก็บเลือดบ้างไหม”
 
            เอริคผู้เกือบถูกดูดเลือดพยักหน้า
 
            “ไปติดต่อขอตัวอย่างเลือดให้ผมได้ไหม เพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับพวกคุณ...เชิญหมอสักคนมาด้วยก็ดี จะได้คุยเรื่องกายวิภาค ไม่เกี่ยวกับการช่วยดาวดวงนี้สักเท่าไหร่ แค่อยากพิสูจน์ทฤษฎีมากกว่า” 
 
            เอริคพยักหน้าอย่างว่าง่าย
 
            “อย่างนั้นผมจะไปถ่ายรูปตรงวงแหวนเหล็กนั่น บอกหมอให้รอผมที่นี่นะ ขอบคุณมาก” นพรัตน์บอกแกมขอร้องเอริคก่อนเดินกลับไปวงแหวนเหล็กเพื่อนถ่ายรูป...
 
 
            “ทำไมชื่อพ่อมาอยู่บนนี้ได้ล่ะ” ณัฐกานต์ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพตัวอักษรที่ฐานของวงแหวน นพรัตน์ถามว่าตรงไหนเพราะตนมองไม่เหมือนกับน้องชาย “พอลโล อ่านย้อนหลังจะเป็นวัลลภ...พี่จำน้าไอเนสได้ไหม เพื่อนแม่ที่มาบ้านเราบ่อยๆน่ะ”
 
            “ที่เป็นคนเยอรมันใช่ไหม รุ่นพี่ของแม่เรา อ้วนแต่มีเสน่ห์มาก ขนาดคนไทยยังตามจีบกันเกรียวเลย เขาขึ้นยานกับพวกพ่อแม่เราไปด้วยพี่จำได้”
 
            “เขาชอบเล่นเกมเรียงอักษรกับผมมาก โดยเฉพาะเรียงใหม่จากหลังมาหน้า...ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า” คุณน้องชายลุกไปค้นหาพจนานุกรมภาษาเยอรมันในก้นตู้เก็บของ แล้วเรียงตัวอักษรปริศนาบนฐานของวงแหวนบนดาวดวงนี้ใหม่ “หมายความว่าการที่มีรูปปั้นของแม่พวกเราอยู่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”
 
            Geschenke von wallop แปลว่า ของขวัญจากวัลลภ
 
            “ดูจากบริบทของประโยคด้านหลังแล้ว พวกเขาคงคิดใช้วงแหวนนี่กลับโลกโดยมีวงแหวนของเราเป็นตัวรับสัญญาณ แต่ทำไมมันไม่ได้ผลล่ะ ในเมื่อเราเพิ่งเดินออกมาจากวงแหวนนั่นหมาดๆ” 
 
            “อยากลองฟังทฤษฎีของพี่ไหม” นพรัตน์กอดอกอยากพูดสิ่งที่คิดใจแทบขาด มือข้างหนึ่งยังถือกิ่งไม้ที่มีใบสีเหลืองและเขียวอยู่ด้วย “ยานโนอาห์ลำที่ 63 ที่พวกพ่อแม่เรานั่งมันลงจอดที่ดาวดวงนี้เมื่อพันปีก่อน พวกเขาพยายามติดต่อโลกแต่ก็ทำไม่ได้ คงมีเหตุผลบางอย่างที่พวกเขาขึ้นเครื่องกลับไม่ได้ด้วย ทางรอดสุดท้ายของพวกเขาคือสร้างวงแหวนเหล็กของพ่อขึ้นมาแล้วภาวนาให้มันเชื่อมต่อกับวงแหวนบนโลกแต่พลาดเพราะเวลามันห่างกันถึงหนึ่งพันปี ตรงนี้พี่คิดว่าคงหลุดเข้าหลุมขาวหรืออะไรสักอย่างนั่นแหละ”
 
            ณัฐกานต์ยกมือขึ้นเพื่อถามราวกับอยู่ในห้องบรรยายทางวิชาการ คุณพี่ชายพยักหน้า
 
            “เรื่องที่พวกเขาใช้เซลล์ไข่ของมนุษย์ สัตว์ และพืช ที่บรรทุกมาในยานเพื่อสร้างโลกใหม่ยอมรับได้ครับ แต่ทำไมพวกเขาไม่ซ่อมหรือสร้างยานอวกาศจากแร่มหัศจรรย์บนดาวดวงนี้แล้วกลับโลกล่ะ แล้วฝาปิดที่ใส่รหัสผ่านที่พี่นพถ่ายรูปมาด้วย และสิ่งที่ดาวดวงนี้กำลังเผชิญอีก สภาพอากาศแปรปรวนนี้มันคืออะไรกันแน่”
 
            คุณพี่ชายส่ายหัวอย่างจนปัญหาแล้วโยนกิ่งไม้ให้น้องชาย
 
            “แล้วบันทึกทางศาสนานั่นได้อะไรบ้าง” นพรัตน์นั่งลงข้างน้องชายที่พิจารณาใบไม้สีแปลกอย่างถ้วนถี่ มันเหมือนต้นไม้บนโลกจริงๆ
 
            “ในบทปฐมกาลเขียนไว้ประมาณว่า...ผู้สร้างมีกันทั้งหมด 7 คน อาคิลแลมยอมนอนลงเพื่อเปลี่ยนดาวดวงนี้เป็นสวรรค์ที่อาศัยอยู่ได้ จากนั้นที่เหลือก็หว่านโปรยเมล็ดแห่งการก่อกำเนิด ทั้งมนุษย์ พืช และสัตว์ แล้วผู้สร้างที่เหลืออีก 5 คนก็ให้กำเนิดทาสนับพันล้านแล้วเปลี่ยนมันเป็นเวทมนตร์ให้ชาวมิลค์เวย์ พวกเขาให้ชื่อสิ่งต่างๆเหมือนกับดินแดนที่เขาจากมา จากนั่นก็สั่งสอนมนุษย์ทายาทรุ่นแรกที่เกิดขึ้นจากเมล็ดพันธุ์ให้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ภาษา วัฒนธรรม และความสามารถทางเวทมนตร์ที่ก่อให้เกิดสิ่งต่างๆมากมาย”
 
            นพรัตน์เงียบอยู่พักหนึ่งเพื่อตรึกตรองสิ่งที่น้องชายเล่า
 
            “ตอนแรกมีกัน 7 อาคิลแลม ไม่รู้เหมือนกันว่าใคร ตายไปหนึ่งคนน่าจะเหลือ 6 สิ ทำไมเป็น 5 ล่ะ” คุณพี่ชายตั้งคำถามบ้าง “แล้วทาสนับพันล้านนั่นอีก ถ้ามันเยอะขนาดนั้นทำไมเรามองไม่เห็น แล้วคำว่านอนมันแปลความหมายอย่างอื่นได้อีกไหม”
 
            “แม่ยังไม่ตายหรอกนะนพ นัท พ่อของลูกๆก็ด้วย!” เสียงหญิงสาววัยกลางคนเรียกสองพี่น้องจากนอกรถบ้าน สองพี่น้องลุกขึ้นในชั่วเสี้ยววินาทีแล้วไปออกันอยู่ที่ประตูทางออก
 
            ข้างนอกนั่นโรสยืนอยู่อย่างเหม่อลอย บางสิ่งครอบคลุมร่างของเธอเอาไว้แล้วก่อรูปให้เห็นลางๆเหมือนแมลงสีเงินนับพันห่อหุ้มร่างของเธอไว้หลวมๆ จากโครงหน้าและรูปร่าง นั่นคือแม่ของพวกเขา หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์บนยานโนอาห์ที่ 63!
 
            “โรส เกิดอะไรขึ้น” นพรัตน์ถาม
 
            “แม่แค่ขอยืมร่างเด็กคนนี้เท่านั้น แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน แม่รอมาพันปีเพื่อได้พบพวกลูกอีกครั้งในวันนี้” ดร.มัลลิกาที่ยึดครองร่างของโรสพูด
 
            “วิญญาณของแม่จริงๆหรอ แม่เป็นผีใช่ไหม!” ณัฐกานต์ที่เชื่อเรื่องวิญญาณร้อง แต่นพรัตน์ยังยืนนิ่งสงวนท่าทีเอาไว้เผื่อเป็นกลลวง
 
            โรสที่ถูกควบคุมส่ายหน้า
 
            “แม่ยังไม่ตาย แต่มรณะกาลของแม่ใกล้มาเยือนแล้ว พร้อมกับดาวดวงนี้” โรสชี้นิ้วไปยังรถบ้านคันใหญ่ “พวกลูกจงขับมายาไปยังนัส แม่นอนอยู่ที่นั่น แม่ต้องการหนึ่งชีวิตกับหนึ่งวิญญาณเพื่อช่วยดาวดวงนี้...ได้โปรด...”
 
            แล้วเหล่าสะเก็ดสีเงินที่เหมือนแมลงเล็กๆก็สลายไปราวกับหมดแรงดึงดูดเป็นรูปร่าง โรสที่ไร้สติทรุดลงกับพื้นหญ้าสีเหลือง สองพี่น้องรีบไปช่วยเธอขึ้นมานอนบนรถก่อน
 
            “การเข้าทรง! ต้องเป็นการเข้าทรงแน่นอน” ณัฐกานต์ที่มีความเชื่อเรื่องวิญญาณพูดไม่หยุดขณะช่วยค้นหายาดมในกล่องยา จนพี่ชายต้องปรามมาว่าผีไม่มีในโลก
 
            “รอก่อนว่าเธอบอกเราได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พี่ว่าไม่น่าใช่ผีหรอก”
 
            ไม่กี่นาทีหลังจากคุณน้องชายจ่อยาดมที่จมูกของโรสเธอก็ตื่นขึ้นเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน ไม่มีอาการปวดหัวใดๆเลย
 
            “ข้าเอาเสบียงกับหนังสือเพิ่มเติมมาให้ พอเดินมาถึงรถพวกท่านทุกอย่างก็ดับวูบ จนมีสิ่งของแปลกๆมาจ่อที่จมูกนี่ล่ะ” โรสปัดมือของณัฐกานต์ที่ถือหลอดยาดมออกอย่างไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร 
 
            “เราต้องไปที่นัส” นพรัตน์สรุปให้น้องชายกับโรสฟังอย่างรวบรัด “เหมือนทุกอย่างจะพุ่งเป้าไปที่นั่น ในตำรานั่นผู้สร้างก็ทอดตัวลงที่นัสเพื่อเปลี่ยนดาวดวงนี้ให้เป็นสวรรค์ แล้วยังเรื่องเมื่อกี้อีก อาคิลแลม...บางอย่างควบคุมโรสให้บอกกับเรา ว่าให้ไปที่นัส”
 
            “นัสเป็นเมืองแบบไหนหรือโรส เหมือนกับเมืองนี้หรือเปล่า” ณัฐกานต์ยังเชื่อว่าวิญญาณของแม่พวกเขามาสิงโรสเพื่อบอกอะไรบางอย่าง
 
            “เป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง กลางใจเมืองเป็นป่าขนาดใหญ่ที่ห้ามใครเข้าไป ข้างในเต็มไปด้วยสัตว์ที่คอยพิทักษ์บางสิ่ง คนที่บุกรุกเข้าไปจะถูกพวกมันจับตัวกลับออกมา แม้แต่อาวุธหรือเวทมนตร์ก็ทำอะไรมันไม่ได้ น่าแปลกที่ไม่เคยมีใครบาดเจ็บหรือตายเลยไม่ว่าจะล้ำเขตเข้าไปลึกแค่ไหน แค่ถูกจับตัวกลับออกมาแบบไร้รอยขีดข่วนเท่านั้น สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับป่านั่นคือความอุดมสมบูรณ์แบบที่ป่าอื่นเทียบไม่ติด”
 
            “แล้วซากยานบินที่เคยเล่าล่ะ” นพรัตน์ถามอย่างครุ่นคิดเกี่ยวกับนสิ่งที่โรสเล่า        
 
            “อยู่ในป่านั่นแหละ ไม่มีใครเคยเข้าไปข้างในตัวยานได้เหมือนกัน”
 
            “เหมือนทุกอย่างพุ่งตรงไปที่นัส ในคัมภีร์ทางศาสนาเมืองแรกที่ถูกสร้างก็คือนัสเหมือนกัน ถ้าเราอยากรู้เรื่องทุกอย่างคงต้องไปที่นัส” ณัฐกานต์สรุปแทนพี่ชาย
 
            “เหมือนได้ยินเสียงเอริค...คงไปตามหมอมาแล้ว พี่ต้องไปขอตรวจเทียบเลือดของคนบนดาวดวงนี้หน่อย นัทเตรียมเดินทางไปนัสได้เลยนะ ส่วนโรส จะไปกับเราหรือไม่ก็แล้วแต่คุณ” นพรัตน์เดินลงจากรถเมื่อเห็นเอริคมาพร้อมกับหมอในชุดเสื้อคลุมยาวเหมือนเสื้อกาวน์ของโลก...           
 
 
            “เหมือนกับเลือดของคนบนโลก ธาตุเหล็กสูงมาก สีแดงเพราะฮีโมโกลบิน ที่ส่งมาให้เป็นกรุ๊ปเอ แสดงว่ามีแอนติบอดี้เหมือนกับเลือดของคนบนโลก คนบนดาวดวงนี้เป็นพวกเดียวกับคนบนโลกของเราไม่มีผิด” ณัฐกานต์รายงานผลตรวจเลือดให้พี่ชายที่กำลังขับรถไปตามทางที่โรสบอก หญิงสาวตกลงไปด้วยจึงนั่งข้างคนขับและบอกเส้นทางที่ใหญ่พอให้รถบ้านของสองพี่น้องแล่นไปได้
 
            “อย่างนั้นทฤษฎีของพี่ก็มีสิทธิ์ถูกสิเนี่ย” นพรัตน์พูดขณะเร่งเครื่องเพื่อขับรถเข้าทางเนินสูงเนินหนึ่ง
 
            “เล่าให้ข้าฟังบ้างสิ” โรสพูดขึ้น คุณน้องชายเลยตอบคำถามให้
 
            “ผู้สร้างของพวกคุณคือคนกลุ่มหนึ่งของเราที่ขึ้นยานบินมาเพื่อค้นหาดาวดวงใหม่ที่มนุษย์อาศัยอยู่ได้ เพราะอะไรไม่รู้ทำให้กลับโลกไม่ได้ พวกเขาจึงใช้สิ่งที่ขนมากับยานสร้างชีวิตขึ้นบนดาวดวงนี้ กลายมาเป็นพวกคุณไงล่ะ ดังนั้นพวกคุณคือมนุษย์โลกที่เติบโตและอาศัยอยู่บนดาวดวงนี้ มีเลือดเนื้อเชื้อไขแบบเดียวกับพวกเรา” 
 
            “แล้วเรื่องเวทมนตร์ล่ะ แล้วยังภัยพิบัตินี่อีก” หญิงสาวถาม สองพี่น้องส่ายหน้า
 
            “เราคิดว่าจะรู้เรื่องนี้มากขึ้นตอนไปที่ป่านั่น” ณัฐกานต์เก็บหนังสือและกระดาษที่ใช้จดบันทึกให้เรียบร้อย จากนั่นก็ไปนั่งบนเบาะกลางรถแล้วคาดเข็มขัดนิรภัย
 
            “ฟังแล้วปวดหัว” โรสถอนหายใจ “ในรถมีเครื่องทำน้ำปั่นหรือเปล่า ข้าอยากกินน้ำปั่นแบบที่อารยาทำให้กิน”
 
            “เครื่องปั่นอยู่ในลังนั่นแหละ แต่ต้องปั่นมือเอานะเมื่อยหน่อย” คุณน้องชายเสนอตัวลงไปช่วยหา พอดีกับโรสเจอเครื่องปั่นแบบมือหมุน “มีมะนาวนั่นแหละที่พอจะปั่นกินได้ ไม่อย่างนั้นก็กินผักปั่นเอา น้ำแข็งอยู่ในตู้ทำความเย็นข้างๆ ตรงนั้น”
 
            “ขอบคุณมาก” 
 
            แล้วรถบ้านจากต่างดาวก็แล่นไปบนถนนสีดำเพื่อแก้ปัญหาให้ดาวดวงนี้ หากสำหรับสองพี่น้องแล้ว มันเหมือนกับเดินตามหาพ่อกับแม่บนดาวดวงนี้ฉะนั้น...
 
 (มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่