รูปาทิวรรคที่ ๑ ว่าด้วยรูปเป็นต้นที่ครอบงำจิตบุรุษและสตรี
กลุ่มไตรปิฎกสิกขา
[๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณพระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี.
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย.
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระดำรัสนั้นว่า
[๒] ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรูปอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนรูปสตรีเลย
ภิกษุทั้งหลาย รูปสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่.
[๓] ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นเสียงอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนเสียงสตรีเลย
ภิกษุทั้งหลาย เสียงสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่.
[๔] ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นกลิ่นอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนกลิ่นสตรีเลย
ภิกษุทั้งหลาย กลิ่นสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่.
[๕] ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรสอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนรสสตรีเลย
ภิกษุทั้งหลาย รสสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่.
[๖] ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นโผฎฐัพพะอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนโผฎฐัพพะสตรีเลย
ภิกษุทั้งหลาย โผฎฐัพพะสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่.
[๗] ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรูปอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนรูปบุรุษเลย
ภิกษุทั้งหลาย รูปบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่.
[๘] ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นเสียงอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนเสียงบุรุษเลย
ภิกษุทั้งหลาย เสียงบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่.
[๙] ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นกลิ่นอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนกลิ่นบุรุษเลย
ภิกษุทั้งหลาย กลิ่นบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่.
[๑๐] ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรสอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนรสบุรุษเลย
ภิกษุทั้งหลาย รสบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่.
[๑๑] ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นโผฎฐัพพะอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนโผฎฐัพพะบุรุษเลย
ภิกษุทั้งหลาย โผฎฐัพพะของบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่.
รูปปาทิวรรคที่ ๑ จบ
(รูปปาทิวรรคที่ ๑ เอกธัมมาทิบาลี
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๓๒)
ที่มา
http://www.dlitemag.com/index.php?option=com_content&view=article&catid=67:-dhamma-from-sutta-&id=771:2012-04-19-03-17-24
แล้วก็พระสูตรเกี่ยวกับเพศค่ะ
บัณเฑาะก์ที่ห้ามบวชตามพระวินัย หมายถึงอะไร?
(* ที่มาของการเขียนบทความนี้ ดูที่หมายเหตุด้านล่าง)
-----------------------------------------------------------
พระพุทธองค์ได้บัญญัติพระวินัย [1] ไว้ว่า
ปณฺฑโก ภิกฺขเว อนุปสมฺปนโน น อุปสมฺปาเทตพฺโพ
อุปสมฺปนฺโน นาเสตพฺโพติ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ บัณเฑาะก์
ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย
-----------------------------------------------------------
พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบาย [2] ไว้ว่า บัณเฑาะก์ ที่พระพุทธองค์
ห้ามบวชนี้ มุ่งหมายถึง ผู้ที่ไม่มีอวัยเพศปรากฏ (นปุงสกปณฺฑก)
และผู้ที่ถูกตอนแล้ว (โอปกฺกมิยปณฺฑก)
โดย บัณเฑาะก์อาจแบ่งออกได้ ๕ จำพวก คือ
๑ อาสิตฺตปณฺฑก ๒ อุสุยฺยปณฺฑก ๓ โอปกฺกมิยปณฺฑก
๔ ปกฺขปณฺฑก ๕ นปุงสกปณฺฑก
ผมจะสรุปความหมายให้สั้นกระทัดลง ดังนี้นะครับ
๑ อาสิตตบัณเฑาะก์ ได้แก่ ชายที่มีกิจกรรมทางเพศกับชาย
๒ อุสุยยบัณเฑาะก์ ได้แก่ ชายที่ไม่ถึงกับมีกิจกรรมแต่พอใจที่จะดู
กิจกรรมทางเพศ โดยตัวเป็นชายแต่ก็ไปชอบใจในชายที่ดูอยู่นั้น
๓ โอปักกมิยบัณเฑาะก์ ได้แก่ บุคคลผู้ที่ถูกตอนไปแล้ว เช่นขันที
๔ ปักขบัณเฑาะก์ ได้แก่ บุคคลบางคนข้างแรมเกิดความกำหนัด
ยินดีกระวนกระวายด้วยอำนาจแห่งอกุศลกรรม เมื่อถึงข้างขึ้น
ความกระวนกระวายนั้นก็หายไป
๕ นปุงสกับบัณเฑาะก์ ได้แก่ ผู้ที่ไม่มีเพศหญิงเพศชายไม่ปรากฏทั้ง ๒ เพศ
มีแต่ช่องที่สำหรับถ่ายปัสสาวะเท่านั้น
ในบัณเฑาะก์ ๕ ชนิดนั้น
อาสิตตบัณเฑาะก์ และอุสุยยบัณเฑาะก์ ไม่ห้ามบรรพชา,
โอปักกมิยบัณเฑาะก์ นปุงสกับบัณเฑาะก์ ห้ามบรรพชา
ส่วน ปักขบัณเฑาะก์ ห้ามบรรพชาแก่เขาเฉพาะปักข์ที่เป็นบัณเฑาะก์เท่านั้น.
ในกรณีของ บัณเฑาะก์ สองประเภทที่ว่าบวชได้นั้น หมายถึง
เป็นบัณเฑาะก์ก็แต่เมื่อก่อนบวช แต่เมื่อมาบวชแล้วต้องรักษาวินัย
และสละความประพฤติเบี่ยงเบนนั้นออกให้หมด
-----------------------------------------------------------
หลายๆท่าน มักจะเข้าใจว่า บัณเฑาะก์ แปลว่า กระเทย, เกย์ หรือ ตุ๋ด
ความเข้าใจเช่นนี้อาจจะยังไม่ตรงซะทีเดียว
อันที่จริง คำว่า บัณเฑาะก์ มาจาก ภาษาบาลีว่า ปณฺฑก ดังวจนัตถะ [3] ว่า
ปฑติ ลิงฺคเวกลฺลภาวํ คจฺฉตีติ ปณฺฑโก
ผู้ที่มีเครื่องหมายแห่งบุรุษและสตรีขาดตกบกพร่องไป
ผู้นั้นชื่อว่า บัณเฑาะก์ ได้แก่บัณเฑาะก์ ๕ จำพวก
สำหรับวจนัตถะนี้ หมายเอาพวก
นปุงสกบัณเฑาะก์ เป็นการแสดงโดยตรง (มุขยัตถนัย)
บัณเฑาะก์ที่เหลือ ๔ พวก เป็นการแสดงโดยอ้อม (สทิสูปจารัตถนัย)
-----------------------------------------------------------
มีคำถามว่า คำว่า "หญิงบัณเฑาะก์" ที่พบในพระไตรปิฎก [4]
ในที่นี้มีหมายความว่าอย่างไร
อาศัยวจนัตถะที่แสดงไว้ในบทก่อน
ว่าโดยนัยยะโดยตรง (มุขยัตถนัย) โดยทั่วไปจะหมายถึง
"หญิงที่ไม่ปรากฏอวัยวเพศ"
ส่วนกรณีหญิงชอบหญิง ก็จัดเข้าเป็นบัณเฑาะก์ได้โดยอ้อม (สทิสูปจารัตถนัย)
-----------------------------------------------------------
ต่อมา จะเป็นการอธิบายเรื่อง อุภโตพยัญชนกะ
-----------------------------------------------------------
ในกรณีของ อุภโตพยัญชนกะ มีแค่ ๒ จำพวก
และทั้ง ๒ จำพวกนั้นไม่สามารถบวชได้เลย
พระพุทธองค์ได้บัญญัติพระวินัย [6] ไว้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ อุภโตพยัญชนก
ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
จากอรรถกถา [7]และฎีกา [3] สรุปใจความได้ดังนี้
วจนัตถะของ อุภโตพฺยญฺชนโก ได้แก่
อุภโต ปวตฺตํ พฺยญฺชนํ ยสฺส อตฺถีติ = อุภโตพฺยญฺชนโก
องคชาตทั้ง ๒ ชนิดที่เกิดขึ้น เพราะอาศัยกรรมทั้ง ๒ มีแก่บุคคลใด
ฉะนั้นบุคคลนั้นชื่อว่า อุภโตพยัญชนก
บุคคลที่เป็นพวกอิตถีอุภโตพยัญชนกนั้น คือมีรูปร่างสัณฐานลักษณะ
อาการเป็นหญิงตลอดจนอวัยวะเพศอย่างธรรมดา ต่อเมื่อเวลาพอใจ
ในหญิงอื่นๆเกิดขึ้นแล้ว จิตใจที่เป็นอยู่ก่อนนั้นก็หายไป เปลี่ยนสภาพ
เป็นจิตใจของผู้ชายขึ้นมาแทน ในเวลาเดียวกันนั้นอวัยวเพศชายก็เกิดขึ้น
อวัยวเพศหญิงก็หายไปสามารถสมสู่ร่วมกับหญิงนั้นได้
บุคคลที่เป็นพวกปุริสอุภโตพยัญชนก นั้น คือมีรูปสัณฐานลักษณะ
อาการเป็นชายอวัยวะเพศก็เป็นชายอย่างธรรมดา ต่อเมื่อเวลาที่แล
เห็นผู้ชายมีความพอใจรักใคร่เกิดขึ้น แล้วจิตใจที่เป็นชายอยู่ก่อน
ก็หายไป เปลี่ยนสภาพเป็นจิตใจของหญิงขึ้นแทน และในเวลาเดียวกัน
นั้นอวัยวเพศหญิงก็ปรากฏขึ้น อวัยวเพศชายก็หายไปสามารถสมสู่
ร่วมกับชายนั้นได้
ความแตกต่างกันระหว่างอิตถีอุภโตพยัญชนกบุคคลนั้นมีดังนี้ คือ
อิตถีอุภโตพยัญชนกบุคคลนั้น ตัวเองก็มีครรภ์กับบุรุษทั้งหลายได้
ทำหญิงอื่นทั้งหลายให้มีครรภ์กับตัวก็ได้
สำหรับปุริสอุภโตพยัญชนกบุคคลนั้น ตัวเองไม่สามารถบังเกิดครรภ์ได้
-----------------------------------------------------------------------
อธิบาย เรื่อง ปฏิสนธิจิตของ บัณเฑาะก์ และ อุภโตพยัญชนกะ ตามนัยพระอภิธรรม
-----------------------------------------------------------------------
การจัดแบ่งบุคคลตามประเภทของ
ปฏิสนธิจิต-ภวังคจิต-จุติจิต แบ่งออกได้เป็นสาม
สุคติอเหตุกบุคคล จะมาปฏิสนธิด้วย "อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก" (ไม่มีกุศลเหตุเลย)
ทวิเหตุกบุคคล จะมาปฏิสนธิด้วย "มหาวิบากญาณวิปปยุต" (มี อโลภเหตุ อโทสเหตุ)
ติเหตุกบุคคล จะมาปฏิสนธิด้วย "มหาวิบากญาณสัมปยุต" (มี ทั้ง อโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ)
นปุงสกบัณเฑาะก์ และ อุภโตพยัญชนกะ จะเป็นผู้ที่เกิดด้วย "อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก"
และจัดเป็น สุคติอเหตุกบุคคล [3]
ส่วน บัณเฑาะก์ที่เหลือนั้นไม่แน่นอน อาจจะเป็นทวิเหตุกบุคคล หรือ ติเหตุกบุคคลก็ได้
-----------------------------------------------------------------------
อธิบาย เรื่อง ปุริสินทรีย์ อิตถินทรีย์ ของ อุภโตพยัญชนกะ ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกัน
-----------------------------------------------------------------------
ท่านพระสัทธัมมโชติกะได้ อธิบายไว้ [3] ว่า
อุภโตพยัญชนกะ เป็นบุคคลที่มีด้วยกันทั้ง ๒ เพศ
แต่เพศทั้ง ๒ นี้หาใช่ปรากฏทีเดียวพร้อมกันไม่
เวลาใดปุริสภาวรูปปรากฎขึ้น เวลานั้นอิตถีภาวรูปก็ไม่ปรากฏ
และเมื่อเวลาใดอิตถีภาวรูปกำลังปรากฏขึ้น เวลานั้นปุริสภาวรูปก็ไม่ปรากฏ
ดังมีพุทธภาษิตแสดงไว้ในอินทริยยมกพระบาลี [8] ว่า
“ยสฺส อิตฺถินฺทริยํ อุปฺปชฺชติ, ตสฺส ปุริสินฺทฺริยํ อุปฺปชฺชตีติ?”
”โน”
ซึ่งแปลความว่าอิตถินทรีย์กำลังเกิดขึ้นแก่บุคคลใด
ปุริสินทรีย์กำลังเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นใช่ไหม? ตอบว่าไม่ใช่! ดังนี้
-----------------------------------------------------
อธิบาย ความหมายของ ปุริสินทรีย์ อิตถินทรีย์
จาก อรรถกถา[9] และ อภิธัมมัตถสังคหะ[10] ได้แสดงไว้ว่า
ในรูปปรมัตถ์ ๒๘ นั้น ประกอบไปด้วย ภาวรูป ๒
ภาวรูปมี ๒ คือ
๑. อิตถีภาวรูป รูปที่เป็นเหตุแห่งความเป็นหญิง (เป็นรูปที่เกิดจากกรรม)
๒. ปุริสภาวรูป รูปที่เป็นเหตุแห่งความเป็นชาย (เป็นรูปที่เกิดจากกรรม)
อ้างอิง
[1] พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ข้อ [๑๒๕] (link)
[2] อรรถกถาปัณฑกวัตถุ (อธิบาย มหาวรรค ภาค ๑ ข้อ [๑๒๕])
[3] มหาอภิธัมมัตถสังคหฎีกา วิถีมุตตสังคหะ เล่ม ๑
[4] พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒ ข้อ [๕๗๓] (link)
[5] พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 333 (จากฉบับมหามกุฏฯ)
[6] พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ข้อ [๑๓๒] (link)
[7] อรรถกถาอุภโตพยัญชนกวัตถุ (อธิบาย มหาวรรค ภาค ๑ ข้อ [๑๓๒])
[8] พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๖ ยมกปกรณ์ ภาค ๒ (link)
[9] อรรถกถาอิตถินทริยนิทเทส, อรรถกถาปุริสินทริยนิทเทส
ในอัฏฐสาลินีอรรถกถา (คู่กับพระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๑)
[10] คู่มืออภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉท ๖
*หมายเหตุ:
บทความนี้ ได้เขียนขึ้น เนื่องจากต้องการสรุปเนื้อหาที่สำคัญ
ที่เกิดจากการสนทนาธรรมกันระหว่างเพื่อนสมาชิกหลายๆท่าน
//topicstock.ppantip.com/religious/topicstock/2011/04/Y10435225/Y10435225.html
ซึ่งได้แก่ คุณปล่อย คุณฮิมาวาริซซัง คุณชาล้นถ้วย คุณระนาด
คุณเอิงเอย คุณฐานะฐานะ โดยในส่วนของข้อ [4],[5],[7],[9] เป็นข้อมูลที่
คุณปล่อยได้ช่วยยกมาให้ได้วิเคราะห์กัน
ที่มา
https://www.bloggang.com/m/mainblog.php?id=thepathofpurity&month=16-04-2011&group=3&gblog=3
แล้วก็ความหมายของกาลามสูตร
มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่[2]
มา อนุสฺสวเนน - อย่าปลงใจเชื่อด้วยการฟังตามกันมา
มา ปรมฺปราย - อย่าปลงใจเชื่อด้วยการถือสืบ ๆ กันมา
มา อิติกิราย - อย่าปลงใจเชื่อด้วยการเล่าลือ
มา ปิฏกสมฺปทาเนน - อย่าปลงใจเชื่อด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
มา ตกฺกเหตุ - อย่าปลงใจเชื่อเพราะตรรกะ (การคิดเอาเอง)
มา นยเหตุ - อย่าปลงใจเชื่อเพราะการอนุมาน (คาดคะเน)
มา อาการปริวิตกฺเกน - อย่าปลงใจเชื่อด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา - อย่าปลงใจเชื่อเพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
มา ภพฺพรูปตา - อย่าปลงใจเชื่อมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
มา สมโณ โน ครูติ - อย่าปลงใจเชื่อเพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา
รบกวนผู้รู้ช่วยอธิบายความหมายของพระสูตรข้างล่างนี้(รูปาทิวรรค พระธรรม คำสอน)ให้ดิฉันเข้าใจด้วยค่ะดิฉันปัญญาน้อยขอบคุณค่ะ
กลุ่มไตรปิฎกสิกขา
[๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณพระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี.
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย.
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระดำรัสนั้นว่า
[๒] ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรูปอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนรูปสตรีเลย
ภิกษุทั้งหลาย รูปสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่.
[๓] ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นเสียงอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนเสียงสตรีเลย
ภิกษุทั้งหลาย เสียงสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่.
[๔] ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นกลิ่นอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนกลิ่นสตรีเลย
ภิกษุทั้งหลาย กลิ่นสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่.
[๕] ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรสอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนรสสตรีเลย
ภิกษุทั้งหลาย รสสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่.
[๖] ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นโผฎฐัพพะอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนโผฎฐัพพะสตรีเลย
ภิกษุทั้งหลาย โผฎฐัพพะสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่.
[๗] ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรูปอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนรูปบุรุษเลย
ภิกษุทั้งหลาย รูปบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่.
[๘] ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นเสียงอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนเสียงบุรุษเลย
ภิกษุทั้งหลาย เสียงบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่.
[๙] ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นกลิ่นอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนกลิ่นบุรุษเลย
ภิกษุทั้งหลาย กลิ่นบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่.
[๑๐] ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นรสอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนรสบุรุษเลย
ภิกษุทั้งหลาย รสบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่.
[๑๑] ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นโผฎฐัพพะอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนโผฎฐัพพะบุรุษเลย
ภิกษุทั้งหลาย โผฎฐัพพะของบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่.
รูปปาทิวรรคที่ ๑ จบ
(รูปปาทิวรรคที่ ๑ เอกธัมมาทิบาลี
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๓๒)
ที่มา
http://www.dlitemag.com/index.php?option=com_content&view=article&catid=67:-dhamma-from-sutta-&id=771:2012-04-19-03-17-24
แล้วก็พระสูตรเกี่ยวกับเพศค่ะ
บัณเฑาะก์ที่ห้ามบวชตามพระวินัย หมายถึงอะไร?
(* ที่มาของการเขียนบทความนี้ ดูที่หมายเหตุด้านล่าง)
-----------------------------------------------------------
พระพุทธองค์ได้บัญญัติพระวินัย [1] ไว้ว่า
ปณฺฑโก ภิกฺขเว อนุปสมฺปนโน น อุปสมฺปาเทตพฺโพ
อุปสมฺปนฺโน นาเสตพฺโพติ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ บัณเฑาะก์
ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย
-----------------------------------------------------------
พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบาย [2] ไว้ว่า บัณเฑาะก์ ที่พระพุทธองค์
ห้ามบวชนี้ มุ่งหมายถึง ผู้ที่ไม่มีอวัยเพศปรากฏ (นปุงสกปณฺฑก)
และผู้ที่ถูกตอนแล้ว (โอปกฺกมิยปณฺฑก)
โดย บัณเฑาะก์อาจแบ่งออกได้ ๕ จำพวก คือ
๑ อาสิตฺตปณฺฑก ๒ อุสุยฺยปณฺฑก ๓ โอปกฺกมิยปณฺฑก
๔ ปกฺขปณฺฑก ๕ นปุงสกปณฺฑก
ผมจะสรุปความหมายให้สั้นกระทัดลง ดังนี้นะครับ
๑ อาสิตตบัณเฑาะก์ ได้แก่ ชายที่มีกิจกรรมทางเพศกับชาย
๒ อุสุยยบัณเฑาะก์ ได้แก่ ชายที่ไม่ถึงกับมีกิจกรรมแต่พอใจที่จะดู
กิจกรรมทางเพศ โดยตัวเป็นชายแต่ก็ไปชอบใจในชายที่ดูอยู่นั้น
๓ โอปักกมิยบัณเฑาะก์ ได้แก่ บุคคลผู้ที่ถูกตอนไปแล้ว เช่นขันที
๔ ปักขบัณเฑาะก์ ได้แก่ บุคคลบางคนข้างแรมเกิดความกำหนัด
ยินดีกระวนกระวายด้วยอำนาจแห่งอกุศลกรรม เมื่อถึงข้างขึ้น
ความกระวนกระวายนั้นก็หายไป
๕ นปุงสกับบัณเฑาะก์ ได้แก่ ผู้ที่ไม่มีเพศหญิงเพศชายไม่ปรากฏทั้ง ๒ เพศ
มีแต่ช่องที่สำหรับถ่ายปัสสาวะเท่านั้น
ในบัณเฑาะก์ ๕ ชนิดนั้น
อาสิตตบัณเฑาะก์ และอุสุยยบัณเฑาะก์ ไม่ห้ามบรรพชา,
โอปักกมิยบัณเฑาะก์ นปุงสกับบัณเฑาะก์ ห้ามบรรพชา
ส่วน ปักขบัณเฑาะก์ ห้ามบรรพชาแก่เขาเฉพาะปักข์ที่เป็นบัณเฑาะก์เท่านั้น.
ในกรณีของ บัณเฑาะก์ สองประเภทที่ว่าบวชได้นั้น หมายถึง
เป็นบัณเฑาะก์ก็แต่เมื่อก่อนบวช แต่เมื่อมาบวชแล้วต้องรักษาวินัย
และสละความประพฤติเบี่ยงเบนนั้นออกให้หมด
-----------------------------------------------------------
หลายๆท่าน มักจะเข้าใจว่า บัณเฑาะก์ แปลว่า กระเทย, เกย์ หรือ ตุ๋ด
ความเข้าใจเช่นนี้อาจจะยังไม่ตรงซะทีเดียว
อันที่จริง คำว่า บัณเฑาะก์ มาจาก ภาษาบาลีว่า ปณฺฑก ดังวจนัตถะ [3] ว่า
ปฑติ ลิงฺคเวกลฺลภาวํ คจฺฉตีติ ปณฺฑโก
ผู้ที่มีเครื่องหมายแห่งบุรุษและสตรีขาดตกบกพร่องไป
ผู้นั้นชื่อว่า บัณเฑาะก์ ได้แก่บัณเฑาะก์ ๕ จำพวก
สำหรับวจนัตถะนี้ หมายเอาพวก
นปุงสกบัณเฑาะก์ เป็นการแสดงโดยตรง (มุขยัตถนัย)
บัณเฑาะก์ที่เหลือ ๔ พวก เป็นการแสดงโดยอ้อม (สทิสูปจารัตถนัย)
-----------------------------------------------------------
มีคำถามว่า คำว่า "หญิงบัณเฑาะก์" ที่พบในพระไตรปิฎก [4]
ในที่นี้มีหมายความว่าอย่างไร
อาศัยวจนัตถะที่แสดงไว้ในบทก่อน
ว่าโดยนัยยะโดยตรง (มุขยัตถนัย) โดยทั่วไปจะหมายถึง
"หญิงที่ไม่ปรากฏอวัยวเพศ"
ส่วนกรณีหญิงชอบหญิง ก็จัดเข้าเป็นบัณเฑาะก์ได้โดยอ้อม (สทิสูปจารัตถนัย)
-----------------------------------------------------------
ต่อมา จะเป็นการอธิบายเรื่อง อุภโตพยัญชนกะ
-----------------------------------------------------------
ในกรณีของ อุภโตพยัญชนกะ มีแค่ ๒ จำพวก
และทั้ง ๒ จำพวกนั้นไม่สามารถบวชได้เลย
พระพุทธองค์ได้บัญญัติพระวินัย [6] ไว้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ อุภโตพยัญชนก
ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
จากอรรถกถา [7]และฎีกา [3] สรุปใจความได้ดังนี้
วจนัตถะของ อุภโตพฺยญฺชนโก ได้แก่
อุภโต ปวตฺตํ พฺยญฺชนํ ยสฺส อตฺถีติ = อุภโตพฺยญฺชนโก
องคชาตทั้ง ๒ ชนิดที่เกิดขึ้น เพราะอาศัยกรรมทั้ง ๒ มีแก่บุคคลใด
ฉะนั้นบุคคลนั้นชื่อว่า อุภโตพยัญชนก
บุคคลที่เป็นพวกอิตถีอุภโตพยัญชนกนั้น คือมีรูปร่างสัณฐานลักษณะ
อาการเป็นหญิงตลอดจนอวัยวะเพศอย่างธรรมดา ต่อเมื่อเวลาพอใจ
ในหญิงอื่นๆเกิดขึ้นแล้ว จิตใจที่เป็นอยู่ก่อนนั้นก็หายไป เปลี่ยนสภาพ
เป็นจิตใจของผู้ชายขึ้นมาแทน ในเวลาเดียวกันนั้นอวัยวเพศชายก็เกิดขึ้น
อวัยวเพศหญิงก็หายไปสามารถสมสู่ร่วมกับหญิงนั้นได้
บุคคลที่เป็นพวกปุริสอุภโตพยัญชนก นั้น คือมีรูปสัณฐานลักษณะ
อาการเป็นชายอวัยวะเพศก็เป็นชายอย่างธรรมดา ต่อเมื่อเวลาที่แล
เห็นผู้ชายมีความพอใจรักใคร่เกิดขึ้น แล้วจิตใจที่เป็นชายอยู่ก่อน
ก็หายไป เปลี่ยนสภาพเป็นจิตใจของหญิงขึ้นแทน และในเวลาเดียวกัน
นั้นอวัยวเพศหญิงก็ปรากฏขึ้น อวัยวเพศชายก็หายไปสามารถสมสู่
ร่วมกับชายนั้นได้
ความแตกต่างกันระหว่างอิตถีอุภโตพยัญชนกบุคคลนั้นมีดังนี้ คือ
อิตถีอุภโตพยัญชนกบุคคลนั้น ตัวเองก็มีครรภ์กับบุรุษทั้งหลายได้
ทำหญิงอื่นทั้งหลายให้มีครรภ์กับตัวก็ได้
สำหรับปุริสอุภโตพยัญชนกบุคคลนั้น ตัวเองไม่สามารถบังเกิดครรภ์ได้
-----------------------------------------------------------------------
อธิบาย เรื่อง ปฏิสนธิจิตของ บัณเฑาะก์ และ อุภโตพยัญชนกะ ตามนัยพระอภิธรรม
-----------------------------------------------------------------------
การจัดแบ่งบุคคลตามประเภทของ
ปฏิสนธิจิต-ภวังคจิต-จุติจิต แบ่งออกได้เป็นสาม
สุคติอเหตุกบุคคล จะมาปฏิสนธิด้วย "อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก" (ไม่มีกุศลเหตุเลย)
ทวิเหตุกบุคคล จะมาปฏิสนธิด้วย "มหาวิบากญาณวิปปยุต" (มี อโลภเหตุ อโทสเหตุ)
ติเหตุกบุคคล จะมาปฏิสนธิด้วย "มหาวิบากญาณสัมปยุต" (มี ทั้ง อโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ)
นปุงสกบัณเฑาะก์ และ อุภโตพยัญชนกะ จะเป็นผู้ที่เกิดด้วย "อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก"
และจัดเป็น สุคติอเหตุกบุคคล [3]
ส่วน บัณเฑาะก์ที่เหลือนั้นไม่แน่นอน อาจจะเป็นทวิเหตุกบุคคล หรือ ติเหตุกบุคคลก็ได้
-----------------------------------------------------------------------
อธิบาย เรื่อง ปุริสินทรีย์ อิตถินทรีย์ ของ อุภโตพยัญชนกะ ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกัน
-----------------------------------------------------------------------
ท่านพระสัทธัมมโชติกะได้ อธิบายไว้ [3] ว่า
อุภโตพยัญชนกะ เป็นบุคคลที่มีด้วยกันทั้ง ๒ เพศ
แต่เพศทั้ง ๒ นี้หาใช่ปรากฏทีเดียวพร้อมกันไม่
เวลาใดปุริสภาวรูปปรากฎขึ้น เวลานั้นอิตถีภาวรูปก็ไม่ปรากฏ
และเมื่อเวลาใดอิตถีภาวรูปกำลังปรากฏขึ้น เวลานั้นปุริสภาวรูปก็ไม่ปรากฏ
ดังมีพุทธภาษิตแสดงไว้ในอินทริยยมกพระบาลี [8] ว่า
“ยสฺส อิตฺถินฺทริยํ อุปฺปชฺชติ, ตสฺส ปุริสินฺทฺริยํ อุปฺปชฺชตีติ?”
”โน”
ซึ่งแปลความว่าอิตถินทรีย์กำลังเกิดขึ้นแก่บุคคลใด
ปุริสินทรีย์กำลังเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นใช่ไหม? ตอบว่าไม่ใช่! ดังนี้
-----------------------------------------------------
อธิบาย ความหมายของ ปุริสินทรีย์ อิตถินทรีย์
จาก อรรถกถา[9] และ อภิธัมมัตถสังคหะ[10] ได้แสดงไว้ว่า
ในรูปปรมัตถ์ ๒๘ นั้น ประกอบไปด้วย ภาวรูป ๒
ภาวรูปมี ๒ คือ
๑. อิตถีภาวรูป รูปที่เป็นเหตุแห่งความเป็นหญิง (เป็นรูปที่เกิดจากกรรม)
๒. ปุริสภาวรูป รูปที่เป็นเหตุแห่งความเป็นชาย (เป็นรูปที่เกิดจากกรรม)
อ้างอิง
[1] พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ข้อ [๑๒๕] (link)
[2] อรรถกถาปัณฑกวัตถุ (อธิบาย มหาวรรค ภาค ๑ ข้อ [๑๒๕])
[3] มหาอภิธัมมัตถสังคหฎีกา วิถีมุตตสังคหะ เล่ม ๑
[4] พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒ ข้อ [๕๗๓] (link)
[5] พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 333 (จากฉบับมหามกุฏฯ)
[6] พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ข้อ [๑๓๒] (link)
[7] อรรถกถาอุภโตพยัญชนกวัตถุ (อธิบาย มหาวรรค ภาค ๑ ข้อ [๑๓๒])
[8] พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๖ ยมกปกรณ์ ภาค ๒ (link)
[9] อรรถกถาอิตถินทริยนิทเทส, อรรถกถาปุริสินทริยนิทเทส
ในอัฏฐสาลินีอรรถกถา (คู่กับพระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๑)
[10] คู่มืออภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉท ๖
*หมายเหตุ:
บทความนี้ ได้เขียนขึ้น เนื่องจากต้องการสรุปเนื้อหาที่สำคัญ
ที่เกิดจากการสนทนาธรรมกันระหว่างเพื่อนสมาชิกหลายๆท่าน
//topicstock.ppantip.com/religious/topicstock/2011/04/Y10435225/Y10435225.html
ซึ่งได้แก่ คุณปล่อย คุณฮิมาวาริซซัง คุณชาล้นถ้วย คุณระนาด
คุณเอิงเอย คุณฐานะฐานะ โดยในส่วนของข้อ [4],[5],[7],[9] เป็นข้อมูลที่
คุณปล่อยได้ช่วยยกมาให้ได้วิเคราะห์กัน
ที่มา
https://www.bloggang.com/m/mainblog.php?id=thepathofpurity&month=16-04-2011&group=3&gblog=3
แล้วก็ความหมายของกาลามสูตร
มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่[2]
มา อนุสฺสวเนน - อย่าปลงใจเชื่อด้วยการฟังตามกันมา
มา ปรมฺปราย - อย่าปลงใจเชื่อด้วยการถือสืบ ๆ กันมา
มา อิติกิราย - อย่าปลงใจเชื่อด้วยการเล่าลือ
มา ปิฏกสมฺปทาเนน - อย่าปลงใจเชื่อด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
มา ตกฺกเหตุ - อย่าปลงใจเชื่อเพราะตรรกะ (การคิดเอาเอง)
มา นยเหตุ - อย่าปลงใจเชื่อเพราะการอนุมาน (คาดคะเน)
มา อาการปริวิตกฺเกน - อย่าปลงใจเชื่อด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา - อย่าปลงใจเชื่อเพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
มา ภพฺพรูปตา - อย่าปลงใจเชื่อมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
มา สมโณ โน ครูติ - อย่าปลงใจเชื่อเพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา