อีกหนึ่งปสก.ที่เกิดขึ้นในขณะที่ไปปฏิบัติธรรมที่ต้องการนำมาแบ่งปัน ขอออกตัวก่อนนะคะเป็นความเชื่อส่วนบุคคลและไม่ใช่ทุกครั้งของการนั่งสมาธิจะเจอเรื่องราวต่างๆเหล่านี้ เพียงแต่มีบางครั้งที่เจอก็จะบันทึกไว้พอมีโอกาสจึงอยากนำมาแบ่งปัน ซึ่งกระทู้
ปสก.ในสมาธิอื่นๆจขกท.ได้นำมาเล่าแบ่งปันบ้างแล้วก่อนหน้านี้
ตลอดเวลาของการศึกษาและปฏิบัติธรรมจนถึงปัจจุบัน 15ปี มีทั้งย่อหย่อนบ้าง ท้อแท้บ้าง แต่ไม่เคยท้อถอย คิดเสมอว่าการปฏิบัติคือหน้าที่ ทุกครั้งของการสวดมนต์นั่งสมาธิจะอธิฐานจิตขอให้พบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านผู้รู้ให้ช่วยชี้แนะแนวทางแห่งการปฏิบัติให้เป็นไปอย่างที่ถูกต้องไม่ให้หลงทางทุกครั้ง
จขกท.เริ่มต้นจากการอ่านหนังสือธรรมะ มีความสนใจเรื่องการปฏิบัติธรรม หัดนั่งสมาธิตั้งแต่เด็ก แต่ไม่มีผู้ชี้แนะ ศึกษาจากตำราล้วนๆทำให้การปฏิบัติไม่ก้าวหน้า ทำไม่ถูกวิธีไม่ได้รับผลจากการปฏิบัติเท่าที่ควร
จนกระทั่งเจอมรสุมชีวิตอย่างหนักช่วงอายุ 26ปี ได้รับคำแนะนำจากน้องคนนึงให้ไปปฏิบัติธรรมที่เวฬุวัน ขอนแก่น นั่นคือเส้นทางที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของจขกท.ให้หันมามุ่งปฏิบัติธรรมอย่างเอาจริงเอาจัง ที่นี้ทำให้จขกท.เข้าใจวิธีการทำกรรมฐาน เดินจงกรม-นั่งสมาธิ เบื้องต้นได้อย่างถูกต้อง ได้พบพระอาจารย์ที่คอยสอบอารมณ์แนะนำการปฏิบัติทำให้ได้รับความสงบและสามารถนำมาปฏิบัติต่อยอดได้จนถึงทุกวันนี้
การไปปฏิบัติธรรมครั้งนั้นตั้งใจไป 7วัน และปิดวาจาทั้ง 7 วัน เพราะต้องการอยู่กับตัวเองและให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างต่อเนื่อง การปิดวาจานี้ดีเพราะผู้ปฏิบัติด้วยกันถ้าเห็นป้ายที่ติดที่อกว่าปิดวาจาแล้ว จะไม่มีใครมาคุยหรือสุงสิงด้วยนัก จะมีต้องพูดคือช่วงเวลาที่ไปขอคำแนะนำจากพระอาจารย์เรื่องการปฏิบัติหรือพูดเท่าที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น
เนื่องจากจขกท.คุ้นชินกับสถานที่และรู้กฎกติกาที่นี้พอสมควรเพราะไปมาถึง 5 ครั้ง การปิดวาจาจึงไม่ใช่ปัญหาและอุปสรรค แต่กลับเป็นประโยชน์ให้จขกท.ปฏิบัติได้อย่างเต็มที่และต่อเนื่อง
สำหรับผู้มาปฏิบัติใหม่จะปฏิบัติกรรมฐานรวมกันที่ห้องโถงใหญ่ชั้น2 ซึ่งใช้สำหรับทำวัตรเช้าเย็น มีพระอาจารย์สอนทำกรรมฐาน มีการจับเวลา
แต่จขกท.เลือกลงมาปฏิบัติที่ห้องชั้นล่าง ซึ่งจะเป็นผู้ที่เคยปฏิบัติมาแล้วมีพื้นฐานบ้างแล้วจะกำหนดเวลาเดินจงกรมและนั่งสมาธิเอง พระอาจารย์จะไม่คุมแต่จะเดินลงมาดูบ้างเป็นระยะ เพื่อตรวจว่ามีใครมาหลบนอนหรือเล่นโทรศัพท์ เมื่อเจอท่านก็จะบอกให้ออกจากห้องทันที
ดังนั้นที่ห้องนี้ค่อนข้างจะเงียบและผู้ปฏิบัติจะตั้งใจปฏิบัติกันมาก ทุกวันจขกท.จะลงมาปฏิบัติที่ห้องนี้ ในวันที่ 5 ของการปฏิบัติ จขกท.เดินจงกรมและนั่งสมาธิในช่วงเวลาหลังทำวัตรเย็น การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องทำให้การนั่งสมาธิจิตรวมเร็ว ได้รับความสงบดีมาก จิตผ่องใส โดดเด่น เฝ้ารู้อยู่อย่างเดียว ผ่านเวทนา เกิดดับ-เกิดดับ จนรู้สึก กายหาย ลมหายใจหาย เห็นจิต นิ่งเด่น สงบอยู่กลางอก ดวงแก้วใสปรากฏกึ่งกลางระหว่างอก สวยงามมาก กำหนดรู้เฉยๆ แล้วดวงแก้วก็หายไป
ในขณะนั้นอะไรเกิดขึ้นมาจะใช้สติคุมจิตรู้อยู่ที่จิตอย่างดียว คำว่าเห็นจิตเป็นหนึ่งเดียวนี่คือมันไม่วอกแวกไปไหนเลยมันขยับออกจากจิต เผลอนิดเดียวก็รู้ทัน กายเบาจิตเบาได้รับความสบายมาก แล้วทุกอย่างมันเหมือนดับมืดลง เห็นเหมือน สายฟ้าฟาด 3 ครั้งในสมาธิแล้วก็สว่างจร้า อธิบายไม่ถูกเหมือนนั่งอยู่ในโรงภาพยนต์ที่รอบข้างมืดสนิทแล้วมีจอหนังอยู่ตรงหน้า มันฉายออกมา ตอนนั้นกำหนดรู้อยู่อย่างเดียว ไม่หวาดกลัว คิดแค่ว่าเรามีหน้าที่ใช้สติคุมจิต รู้แล้ววาง รู้แล้ววาง จะทำอย่างนี้ตลอด จะไม่อยากรู้ ไม่คิดนึกใดๆ แล้วเมื่อมีอะไรผุดหรือเกิดขึ้นในจิตในสมาธิ เราจะใช้สติตามรู้เท่านั้น รู้ตามที่มันเกิดขึ้น รู้ลงในจิต
แล้วภาพที่ปรากฎคือถนนทางเข้าหมู่บ้านในชนบทที่เป็นดินสีขาวขุ่นๆ มีสองข้างทางเป็นไร่อ้อยและนาข้าว เห็นผู้หญิงใส่ชุดสีกรมท่าผมยาวมัดผมคนนึงกำลังเดินอยู่โดยเห็นจากด้านหลังท่าเดินผู้หญิงคนนั้นดูเหนื่อยล้าและอ่อนแรงมาก
แล้วก็เห็นผู้หญิงอีกคนปั่นจักรยานใส่ชุดเหมือนคนตัดอ้อยใส่รองเท้าบูทดำสวมหมวกแบบชาวสวนมีผ้าดำปิดใบหน้าเหลือแต่ช่วงลูกตา ปั่นจักรยานกำลังจะแซงผู้หญิงที่กำลังเดิน แล้วผู้หญิงคนที่เดินก็โบกรถให้จอด จขกท.มองเห็นหน้าผู้หญิงที่โบกรถได้อย่างชัดเจน
นั่นแม่ของจขกท.เหมือนในรูปตอนสาวๆแต่เหงื่อแม่ท่วมตัวแล้วแม่ดูเหนื่อยและอ่อนล้ามาก ได้ยินแม่พูดกับผู้หญิงที่ปั่นจักรยานว่า
"ขอน้ำกินหน่อยได้ไหม หิวน้ำมากเลยไม่ไหวแล้วจริงๆ" ในขณะที่แม่พูดแม่ก็ยกมือไหว้ผู้หญิงคนที่ปั่นจักรยาน ผู้หญิงที่ปั่นจักรยานหยิบเอากระบอกไม้ไผ่ที่ปลายกระบอกร้อยด้วยเชือกแขวนไว้ที่หน้ารถมีผ้าปิดที่ปากกระบอกส่งให้แม่ จขกท. เห็นแม่ดึงผ้าออกแล้วยกน้ำดื่มไปจนเกือบหมดแล้วแม่ก็พูดว่า "น้ำจะหมดแล้วนะ " ผู้หญิงที่ปั่นจักรยานพูดว่า"ไม่เป็นไรยกให้" พร้อมกับยื่นกระติบข้าวเหนียวกล่องเล็กให้แม่ด้วย
จขกท.เห็นแม่ยกมือไหว้แล้วบอกว่า "ชาตินี้ไม่รู้จะมีโอกาสได้ตอบแทนไหมนะ ถ้าชาติหน้ามีจริงจะตอบแทนบุญคุณที่ได้ช่วยเหลือในครั้งนี้"
ผู้หญิงที่ปั่นจักรยานถอดหมวกและเปิดผ้าบังหน้า หันมายิ้มให้แม่และบอกแม่ว่า"ไม่เป็นไรช่วยได้เท่านี้นะ" แต่ที่ทำให้จขกท.ตกใจคือผู้หญิงคนนั้นหน้าเหมือนจขกท.แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ปั่นจักรยานจากไป
เกิดความสงสัยขึ้นทันทีจิตๆค่อยๆถอนออกจากสมาธิ เพราะสติเผลอคุมจิตไม่ทัน ความคิดปรุงแต่งเข้าแทรก ทำให้รู้ว่าจิตนี่มันไวมาก หากเผลอเมื่อไหร่ กำหนดไม่ทันมันส่งออกอย่างเดียวจริงๆ ซึ่งหากโดยปกติถ้าสติกำหนดทันมันจะเห็นความเกิด-ดับ เกิด-ดับ มันจะไม่ปรุง ไม่ฟุ้งซ่าน แต่ครั้งนั้นจิตมันถอนเพราะความสงสัย
เมื่อกลับถึงห้องพักก็มาพิจารณาว่าเป็นเรื่องแปลกน่าจะเป็นเหตุทำให้เกิดมาเป็นแม่ลูกกันในชาตินี้หรือเปล่า ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดสงสัยในเรื่องนี้มาก่อนว่าทำไมจึงเกิดมาเป็นแม่ลูกกัน
จนได้ฟังเทศน์จากพระอาจารย์หลังทำวัตรเย็นในวันถัดมา เรื่องไม่มีความบังเอิญที่เกิดมาพบเจอกัน ทุกอย่างล้วนเกิดจากกรรมและจิตที่ผูกพันธ์กันนำมาเกิด พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสไว้
เมื่อฟังแล้วทำให้จขกท.เชื่อยิ่งขึ้นว่าน่าจะเพราะเหตุนี้ทำให้เราได้มาเกิดเป็นแม่ลูกกัน
และจขกท.ว่าจิตนี่มันเหมือน Hard disk ที่บันทึกเรื่องราวต่างๆไว้ เมื่อจิตมันถูกฝึกให้สงบพอได้จังหวะเวลาหรือจะด้วยความบังเอิญก็ตามแต่สิ่งที่ถูกบันทึกไว้มันจะแสดงออกมา ซึ่งจขกท.มักจะได้รับปสก.เห็นอยู่หลายๆครั้ง(คห.ส่วนตัวนะคะ)
การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องจึงจะเห็นผล ทำไปเรื่อยๆเราปฏิบัติเสมือนเป็นหน้าที่ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
จขกท.ยังเชื่อว่าการปฏิบัติธรรมนั้นจำเป็นต้องมีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะแนวทาง หากเรามีความตั้งใจ พากเพียร ไม่ย่อท้อ เราจะพบแนวทางที่มันเหมาะกับเรา คือปฏิบัติแล้วเห็นผล จิตสงบ มีความก้าวหน้าซึ่งผลที่ได้นี้ขึ้นอยู่กับระดับการปฏิบัติของแต่ละบุคคล
แนวทางการปฏิบัติ จขกท.คิดว่าเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล เส้นทางเดินอาจจะมาจากคนละสายแต่สุดท้ายมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน มีพระบรมศาสดาองค์เดียวกันเรื่องของการที่จะมาถกเถียงกันว่าสายนั้นดีสายนี้ไม่ดีอันนี้ตามคห.ของจขกท.คิดว่า ผู้ปฏิบัติอย่างแท้จริงจะรู้ได้เองว่าเราควรจะเดินเส้นทางไหน วิธีปฏิบัติแนวไหนเหมาะกับเรา จขกท.เป็นเพียงบุคคลนึงที่กำลังเดินทาง ตามเส้นทางที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ชี้ทางไว้และได้กล่าวไว้ว่า
" นิพพานก็มีอยู่
ทางไปนิพพานก็มีอยู่
เราตถาคตผู้ชี้ทางก็มีอยู่
ถ้าเธอไม่เดิน...แล้วเธอจะถึงได้อย่างไร"
สาธุ🙏🙏🙏
ยังมีเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างทางของการปฏิบัติธรรมตลอดเวลา 15ปีของจขกท.ที่ถูกบันทึกไว้ หากมีโอกาสจะนำมาแบ่งปันอีก ใครมีเรื่องราวแบบนี้มาแชร์กันได้นะคะ จขกท.เชื่อว่ามีหลายท่านที่มีปสก.เหล่านี้แต่เลือกที่จะไม่พูด ไม่เล่า
แต่วันนี้จขกท.เล่าซะยาวเลย นานๆได้เข้ามาเขียนกระทู้😊😊พิมพ์พลาดประการใดต้องขออภัยด้วยนะคะ
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านเรื่องของเรานะคะ ขอบคุณค่ะ
#อีกหนึ่งปสก.ในสมาธิที่อยากแบ่งปันเมื่อเห็นเหตุนำมาเกิดให้เป็นแม่ลูกกันในชาตินี้#
ปสก.ในสมาธิอื่นๆจขกท.ได้นำมาเล่าแบ่งปันบ้างแล้วก่อนหน้านี้
ตลอดเวลาของการศึกษาและปฏิบัติธรรมจนถึงปัจจุบัน 15ปี มีทั้งย่อหย่อนบ้าง ท้อแท้บ้าง แต่ไม่เคยท้อถอย คิดเสมอว่าการปฏิบัติคือหน้าที่ ทุกครั้งของการสวดมนต์นั่งสมาธิจะอธิฐานจิตขอให้พบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านผู้รู้ให้ช่วยชี้แนะแนวทางแห่งการปฏิบัติให้เป็นไปอย่างที่ถูกต้องไม่ให้หลงทางทุกครั้ง
จขกท.เริ่มต้นจากการอ่านหนังสือธรรมะ มีความสนใจเรื่องการปฏิบัติธรรม หัดนั่งสมาธิตั้งแต่เด็ก แต่ไม่มีผู้ชี้แนะ ศึกษาจากตำราล้วนๆทำให้การปฏิบัติไม่ก้าวหน้า ทำไม่ถูกวิธีไม่ได้รับผลจากการปฏิบัติเท่าที่ควร
จนกระทั่งเจอมรสุมชีวิตอย่างหนักช่วงอายุ 26ปี ได้รับคำแนะนำจากน้องคนนึงให้ไปปฏิบัติธรรมที่เวฬุวัน ขอนแก่น นั่นคือเส้นทางที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของจขกท.ให้หันมามุ่งปฏิบัติธรรมอย่างเอาจริงเอาจัง ที่นี้ทำให้จขกท.เข้าใจวิธีการทำกรรมฐาน เดินจงกรม-นั่งสมาธิ เบื้องต้นได้อย่างถูกต้อง ได้พบพระอาจารย์ที่คอยสอบอารมณ์แนะนำการปฏิบัติทำให้ได้รับความสงบและสามารถนำมาปฏิบัติต่อยอดได้จนถึงทุกวันนี้
การไปปฏิบัติธรรมครั้งนั้นตั้งใจไป 7วัน และปิดวาจาทั้ง 7 วัน เพราะต้องการอยู่กับตัวเองและให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างต่อเนื่อง การปิดวาจานี้ดีเพราะผู้ปฏิบัติด้วยกันถ้าเห็นป้ายที่ติดที่อกว่าปิดวาจาแล้ว จะไม่มีใครมาคุยหรือสุงสิงด้วยนัก จะมีต้องพูดคือช่วงเวลาที่ไปขอคำแนะนำจากพระอาจารย์เรื่องการปฏิบัติหรือพูดเท่าที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น
เนื่องจากจขกท.คุ้นชินกับสถานที่และรู้กฎกติกาที่นี้พอสมควรเพราะไปมาถึง 5 ครั้ง การปิดวาจาจึงไม่ใช่ปัญหาและอุปสรรค แต่กลับเป็นประโยชน์ให้จขกท.ปฏิบัติได้อย่างเต็มที่และต่อเนื่อง
สำหรับผู้มาปฏิบัติใหม่จะปฏิบัติกรรมฐานรวมกันที่ห้องโถงใหญ่ชั้น2 ซึ่งใช้สำหรับทำวัตรเช้าเย็น มีพระอาจารย์สอนทำกรรมฐาน มีการจับเวลา
แต่จขกท.เลือกลงมาปฏิบัติที่ห้องชั้นล่าง ซึ่งจะเป็นผู้ที่เคยปฏิบัติมาแล้วมีพื้นฐานบ้างแล้วจะกำหนดเวลาเดินจงกรมและนั่งสมาธิเอง พระอาจารย์จะไม่คุมแต่จะเดินลงมาดูบ้างเป็นระยะ เพื่อตรวจว่ามีใครมาหลบนอนหรือเล่นโทรศัพท์ เมื่อเจอท่านก็จะบอกให้ออกจากห้องทันที
ดังนั้นที่ห้องนี้ค่อนข้างจะเงียบและผู้ปฏิบัติจะตั้งใจปฏิบัติกันมาก ทุกวันจขกท.จะลงมาปฏิบัติที่ห้องนี้ ในวันที่ 5 ของการปฏิบัติ จขกท.เดินจงกรมและนั่งสมาธิในช่วงเวลาหลังทำวัตรเย็น การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องทำให้การนั่งสมาธิจิตรวมเร็ว ได้รับความสงบดีมาก จิตผ่องใส โดดเด่น เฝ้ารู้อยู่อย่างเดียว ผ่านเวทนา เกิดดับ-เกิดดับ จนรู้สึก กายหาย ลมหายใจหาย เห็นจิต นิ่งเด่น สงบอยู่กลางอก ดวงแก้วใสปรากฏกึ่งกลางระหว่างอก สวยงามมาก กำหนดรู้เฉยๆ แล้วดวงแก้วก็หายไป
ในขณะนั้นอะไรเกิดขึ้นมาจะใช้สติคุมจิตรู้อยู่ที่จิตอย่างดียว คำว่าเห็นจิตเป็นหนึ่งเดียวนี่คือมันไม่วอกแวกไปไหนเลยมันขยับออกจากจิต เผลอนิดเดียวก็รู้ทัน กายเบาจิตเบาได้รับความสบายมาก แล้วทุกอย่างมันเหมือนดับมืดลง เห็นเหมือน สายฟ้าฟาด 3 ครั้งในสมาธิแล้วก็สว่างจร้า อธิบายไม่ถูกเหมือนนั่งอยู่ในโรงภาพยนต์ที่รอบข้างมืดสนิทแล้วมีจอหนังอยู่ตรงหน้า มันฉายออกมา ตอนนั้นกำหนดรู้อยู่อย่างเดียว ไม่หวาดกลัว คิดแค่ว่าเรามีหน้าที่ใช้สติคุมจิต รู้แล้ววาง รู้แล้ววาง จะทำอย่างนี้ตลอด จะไม่อยากรู้ ไม่คิดนึกใดๆ แล้วเมื่อมีอะไรผุดหรือเกิดขึ้นในจิตในสมาธิ เราจะใช้สติตามรู้เท่านั้น รู้ตามที่มันเกิดขึ้น รู้ลงในจิต
แล้วภาพที่ปรากฎคือถนนทางเข้าหมู่บ้านในชนบทที่เป็นดินสีขาวขุ่นๆ มีสองข้างทางเป็นไร่อ้อยและนาข้าว เห็นผู้หญิงใส่ชุดสีกรมท่าผมยาวมัดผมคนนึงกำลังเดินอยู่โดยเห็นจากด้านหลังท่าเดินผู้หญิงคนนั้นดูเหนื่อยล้าและอ่อนแรงมาก
แล้วก็เห็นผู้หญิงอีกคนปั่นจักรยานใส่ชุดเหมือนคนตัดอ้อยใส่รองเท้าบูทดำสวมหมวกแบบชาวสวนมีผ้าดำปิดใบหน้าเหลือแต่ช่วงลูกตา ปั่นจักรยานกำลังจะแซงผู้หญิงที่กำลังเดิน แล้วผู้หญิงคนที่เดินก็โบกรถให้จอด จขกท.มองเห็นหน้าผู้หญิงที่โบกรถได้อย่างชัดเจน
นั่นแม่ของจขกท.เหมือนในรูปตอนสาวๆแต่เหงื่อแม่ท่วมตัวแล้วแม่ดูเหนื่อยและอ่อนล้ามาก ได้ยินแม่พูดกับผู้หญิงที่ปั่นจักรยานว่า
"ขอน้ำกินหน่อยได้ไหม หิวน้ำมากเลยไม่ไหวแล้วจริงๆ" ในขณะที่แม่พูดแม่ก็ยกมือไหว้ผู้หญิงคนที่ปั่นจักรยาน ผู้หญิงที่ปั่นจักรยานหยิบเอากระบอกไม้ไผ่ที่ปลายกระบอกร้อยด้วยเชือกแขวนไว้ที่หน้ารถมีผ้าปิดที่ปากกระบอกส่งให้แม่ จขกท. เห็นแม่ดึงผ้าออกแล้วยกน้ำดื่มไปจนเกือบหมดแล้วแม่ก็พูดว่า "น้ำจะหมดแล้วนะ " ผู้หญิงที่ปั่นจักรยานพูดว่า"ไม่เป็นไรยกให้" พร้อมกับยื่นกระติบข้าวเหนียวกล่องเล็กให้แม่ด้วย
จขกท.เห็นแม่ยกมือไหว้แล้วบอกว่า "ชาตินี้ไม่รู้จะมีโอกาสได้ตอบแทนไหมนะ ถ้าชาติหน้ามีจริงจะตอบแทนบุญคุณที่ได้ช่วยเหลือในครั้งนี้"
ผู้หญิงที่ปั่นจักรยานถอดหมวกและเปิดผ้าบังหน้า หันมายิ้มให้แม่และบอกแม่ว่า"ไม่เป็นไรช่วยได้เท่านี้นะ" แต่ที่ทำให้จขกท.ตกใจคือผู้หญิงคนนั้นหน้าเหมือนจขกท.แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ปั่นจักรยานจากไป
เกิดความสงสัยขึ้นทันทีจิตๆค่อยๆถอนออกจากสมาธิ เพราะสติเผลอคุมจิตไม่ทัน ความคิดปรุงแต่งเข้าแทรก ทำให้รู้ว่าจิตนี่มันไวมาก หากเผลอเมื่อไหร่ กำหนดไม่ทันมันส่งออกอย่างเดียวจริงๆ ซึ่งหากโดยปกติถ้าสติกำหนดทันมันจะเห็นความเกิด-ดับ เกิด-ดับ มันจะไม่ปรุง ไม่ฟุ้งซ่าน แต่ครั้งนั้นจิตมันถอนเพราะความสงสัย
เมื่อกลับถึงห้องพักก็มาพิจารณาว่าเป็นเรื่องแปลกน่าจะเป็นเหตุทำให้เกิดมาเป็นแม่ลูกกันในชาตินี้หรือเปล่า ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดสงสัยในเรื่องนี้มาก่อนว่าทำไมจึงเกิดมาเป็นแม่ลูกกัน
จนได้ฟังเทศน์จากพระอาจารย์หลังทำวัตรเย็นในวันถัดมา เรื่องไม่มีความบังเอิญที่เกิดมาพบเจอกัน ทุกอย่างล้วนเกิดจากกรรมและจิตที่ผูกพันธ์กันนำมาเกิด พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสไว้
เมื่อฟังแล้วทำให้จขกท.เชื่อยิ่งขึ้นว่าน่าจะเพราะเหตุนี้ทำให้เราได้มาเกิดเป็นแม่ลูกกัน
และจขกท.ว่าจิตนี่มันเหมือน Hard disk ที่บันทึกเรื่องราวต่างๆไว้ เมื่อจิตมันถูกฝึกให้สงบพอได้จังหวะเวลาหรือจะด้วยความบังเอิญก็ตามแต่สิ่งที่ถูกบันทึกไว้มันจะแสดงออกมา ซึ่งจขกท.มักจะได้รับปสก.เห็นอยู่หลายๆครั้ง(คห.ส่วนตัวนะคะ)
การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องจึงจะเห็นผล ทำไปเรื่อยๆเราปฏิบัติเสมือนเป็นหน้าที่ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
จขกท.ยังเชื่อว่าการปฏิบัติธรรมนั้นจำเป็นต้องมีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะแนวทาง หากเรามีความตั้งใจ พากเพียร ไม่ย่อท้อ เราจะพบแนวทางที่มันเหมาะกับเรา คือปฏิบัติแล้วเห็นผล จิตสงบ มีความก้าวหน้าซึ่งผลที่ได้นี้ขึ้นอยู่กับระดับการปฏิบัติของแต่ละบุคคล
แนวทางการปฏิบัติ จขกท.คิดว่าเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล เส้นทางเดินอาจจะมาจากคนละสายแต่สุดท้ายมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน มีพระบรมศาสดาองค์เดียวกันเรื่องของการที่จะมาถกเถียงกันว่าสายนั้นดีสายนี้ไม่ดีอันนี้ตามคห.ของจขกท.คิดว่า ผู้ปฏิบัติอย่างแท้จริงจะรู้ได้เองว่าเราควรจะเดินเส้นทางไหน วิธีปฏิบัติแนวไหนเหมาะกับเรา จขกท.เป็นเพียงบุคคลนึงที่กำลังเดินทาง ตามเส้นทางที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ชี้ทางไว้และได้กล่าวไว้ว่า
" นิพพานก็มีอยู่
ทางไปนิพพานก็มีอยู่
เราตถาคตผู้ชี้ทางก็มีอยู่
ถ้าเธอไม่เดิน...แล้วเธอจะถึงได้อย่างไร"
สาธุ🙏🙏🙏
ยังมีเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างทางของการปฏิบัติธรรมตลอดเวลา 15ปีของจขกท.ที่ถูกบันทึกไว้ หากมีโอกาสจะนำมาแบ่งปันอีก ใครมีเรื่องราวแบบนี้มาแชร์กันได้นะคะ จขกท.เชื่อว่ามีหลายท่านที่มีปสก.เหล่านี้แต่เลือกที่จะไม่พูด ไม่เล่า
แต่วันนี้จขกท.เล่าซะยาวเลย นานๆได้เข้ามาเขียนกระทู้😊😊พิมพ์พลาดประการใดต้องขออภัยด้วยนะคะ
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านเรื่องของเรานะคะ ขอบคุณค่ะ