หลวง​ปู่​ดูลย์​พูดถึง​ธรรม​ในโสดาบัน​สู่​ธรรมถึงอรหันต์​มรรค

การรู้ธรรมในขั้นพระโสดาบัน
และการปฏิบัติ เพื่อ...บรรลุอรหัตตมรรค
"การรู้...โดยไม่คิดนั่นเอง 
คือการ...เดินวิปัสสนา ที่ละเอียดที่สุด
ตราบใดที่ยังเห็นว่าจิต  คือ ตัวเรา เป็นของๆ เรา 
เราที่ต้องช่วยให้จิต หลุดพ้น ตราบนั้น...
ตัณหา หรือสมุทัย ก็จะสร้างภพของจิตว่างขึ้น
มาร่ำไป 
ขอย้ำว่า...ขั้นนี้ จิตจะดำเนินวิปัสสนาเอง 
ไม่ใช่...ผู้ปฎิบัติ จงใจกระทำ
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า... 
ไม่มี...ใครเลยที่จงใจ หรือตั้งใจบรรลุมรรคผล นิพพานได้  มีแต่...จิต เค้าปฏิวัติตนเองไปเท่านั้น
การรู้ธรรมในขั้นพระโสดาบัน และการปฏิบัติ
เพื่อ...บรรลุอรหัตตมรรค
เมื่อจิตทรงตัวรู้... 
แต่ไม่คิดอะไรนั้น บางครั้ง...จะมีบางสิ่งผุดขึ้นมาสู่ภูมิรู้ของจิต  แต่จิตไม่สำคัญมั่นหมาย
ว่า...มันคืออะไร เพียงแค่รู้...เฉย ๆ ถึงความเกิด-ดับนั้น เท่านั้น
ในขั้นนี้...
เป็นการเดินวิปัสสนาขั้นละเอียดที่สุด 
ถึงจุดหนึ่ง  จิต จะก้าวกระโดดต่อไปเอง
การเข้าสู่มรรคผล นั้น...
รู้ มีตลอด แต่ไม่คิด และไม่สำคัญมั่นหมายในสังขารละเอียดทีผุดขึ้นมานั้น  บางอาจารย์จะสอนผิด ๆ ว่า...
ในเวลาบรรลุมรรค ผล  จิตดับ  
ความรับรู้หายเงียบไปเลย โดยเข้าใจผิด
ในคำว่า..."นิพพานัง ปรมัง สูญญัง" สูญอย่างนั้นเป็นการสูญหายไปแบบ "อุทเฉททิฏฐิ"
สภาพของมรรค ผล ไม่ได้เป็นเช่นนั้น...
การที่จิตดับความรับรู้นั้น...เป็นภพชนิดหนึ่ง เรียกว่า"วิสัญญี" หรือที่คนโบราณเรียกว่า... "พรหมลูกฟัก" เท่านั้นเอง
เมื่อจิต ถอยออกจากอริยมรรค 
และอริยะผล ที่เกิดขึ้นแล้ว ผู้ปฏิบัติจะรู้ชัดว่า ธรรมเป็นอย่างนี้
สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้น...ต้องดับไป 
ธรรมชาติบางอย่างมีอยู่...
แต่ก็ไม่มีความเป็นตัวตนสักอณูเดียว
นี้เป็นการรู้ธรรมในขั้นของพระโสดาบัน 
คือ ไม่เห็นว่า...สิ่งใดสิ่งหนึ่ง 
แม้แต่ตัวจิตเอง เป็นตัวเรา แต่ความยึดถือ
ในความเป็นเรายังมีอยู่...เพราะขั้นความเห็น 
กับความยึดนั้น มันคนละขั้นกัน
เมื่อบรรลุถึงสิ่งที่บัญญัติว่า...พระโสดาบันแล้ว 
ผู้ปฏิบัติยังคงปฏิบัติอย่างเดิมนั่นเอง
แต่ตัวจิต ผู้รู้ จะยิ่งเด่นดวงขึ้นตามลำดับ จนเมื่อบรรลุ พระอานาคามี แล้ว...
จิต ผู้รู้ จะเด่นดวงเต็มที่
เพราะพ้นจากอำนาจของกาม 
การที่จิตรู้อยู่...กับจิตเช่นนั้นแสดงถึงกำลัง
ของสมาธิอันเต็มเปี่ยม
เพราะ สิ่งที่เป็นอันตรายต่อ สมาธิ คือกาม 
ได้ถูกล้างออกจากจิต หมดแล้ว
ผู้ปฏิบัติในขั้นนี้หากตายลง 
จึงไปสู่พรหมโลกโดยส่วนเดียว ไม่สามารถ
กลับมาเกิดในภพของมนุษย์ ได้อีกแล้ว
นักปฏิบัติจำนวนมากที่ไม่มี ครูบาอาจารย์ชี้แนะ จะคิดว่า...เมื่อถึงขั้นที่ จิตผู้รู้ หมดจดผ่องใส 
แล้วนั้น ไม่มีทางไปต่อแล้ว...
แต่หลวงปู่ดุลย์ อตุโล กลับสอนต่อไปอีกว่า...
"พบผู้รู้ ให้ทำลาย ผู้รู้ 
 พบจิต ให้ทำลาย จิต" 
จุดนี้ ไม่ใช่...การเล่นสำนวนโวหารที่จะนำมาพูดเล่นๆได้ ความจริงก็คือสอนว่า...
ยังจะต้องปล่อยวาง ความยึดมั่นจิตอีกชั้นหนึ่ง มันละเอียดเสียจน ผู้ไม่ละเอียดพอ ไม่รู้ว่า...มีอะไร จะต้องปล่อยวางอีก
เพราะความจริงตัว จิตผู้รู้ นั้น...
ยังเป็นของที่ตกอยู่ในอำนาจของไตรลักษณ์ บางครั้ง...
ยังมีอาการหมองลงนิดๆ พอให้สังเกตเห็นความเป็นไตรลักษณ์ ของมัน
แต่ผู้ปฏิบัติ ที่ได้รับการอบรมเรื่องจิต 
มาดีแล้วจะเห็นความยึดมั่น นั้นแล้ว...ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่...รู้ทัน เท่านั้น 
จิต จะประคองตัวอยู่ที่รู้ โดยไม่คิดค้นคว้าอะไร มันเงียบสนิทจริงๆ  ถึงจุดหนึ่ง จิตจะปล่อยวาง ความยึดถือจิต 
จิต จะเปิดโล่งไปหมด 
ไม่กลับเข้าเกาะเกี่ยวกับอารมณ์ใดๆ ที่จะพาไปก่อเกิดได้อีก
แยกรูปถอด คือความคิดปรุงแต่งสู่...ความว่าง แยกความว่าง สู่...มหาสูญญตา."
.......... 
พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่