เห็นหลายคนสงสัยว่าเพื่อไทยไม่ได้ party list เลย นั่นน่าจะเป็นเพราะหลายคนยังไม่เข้าใจวิธีคิดและวิธีคำนวนของการเลือกตั้งระบบใหม่ ผมจะลองพยายามอธิบายเป็นตัวอย่างง่ายๆ ดูครับ
อย่างแรกอยากให้คุณเข้าใจก่อนว่า
ระบบการเลือกตั้งที่ดี ควรให้จำนวนสส สะท้อนเสียงของประชาชนให้มากที่สุด เพื่ออธิบายให้เข้าใจง่าย สมมุติมีพรรคสมัครสสแค่สองพรรค พรรค A ได้คะแนนเสียง 60% ส่วนพรรค B ได้คะแนนเสียง 40% แบบนี้ สมมุติว่าจำนวนสส ทั้งหมดในสภามีได้ 100 คน แบบนี้ พรรค A ควรได้สส 60 คน ส่วนพรรค B ควรได้สส 40 คนถูกไหมครับ นี่คือหัวใจของระบบการเลือกตั้งใหม่นี้
คราวนี้เนื่องจาก สสในพรรคเป็นการเลือกโดยรวมจากคะแนนคนทั้งประเทศ คนที่เป็นสส อาจไม่เข้าใจปัญหาของคนในแต่ละท้องถิ่น เลยให้มีการเลือกตั้งสสเขต อีกส่วนหนึ่ง เพื่อให้ได้สส ที่สามารถสะท้อนเสียงท้องถิ่นได้ เราให้จากสส ในสภาทั้งหมด 100 คน เป็นสสเขต 70 คน
สมมุติพรรค A แม้จะได้คะแนนเสียงโดยรวมทั้งประเทศ 60% แต่ได้ผลจากการแข่งสสเขตได้แค่ 30 คน เพราะความนิยมในบางท้องถิ่นสู้ B ไม่ได้ แต่ถึงสู้ไม่ได้คะแนนก็ไม่ได้ห่างกันมาก ตรงกันข้าม ท้องถิ่นที่สสเขต A ชนะ คะแนนนำห่างเยอะมาก ผลรวมคะแนนเสียงทั้งประเทศเลยมากกว่าทั้งๆ ที่จำนวนสส เขต น้อยกว่า
ส่วน B ถึงแม้คะแนนเสียงโดยรวมทั้งประเทศจะแค่ 40% แต่ได้ผลจากการแข่งสสเขต 40 คน เพราะความนิยมในบางท้องถิ่นดีกว่า แต่ไม่ได้เฉือนห่างกันมาก ตรงกันข้าม สสเขตที่แพ้ แพ้แบบขาดลอย
คราวนี้จะมาคำนวนสส กันยังไง หลายความเห็นบอกว่าคะแนน party list ของเพื่อไทยหายไป แสดงว่าวิธีที่ถูกต้องคือควรเอาสสเขต+จำนวนสสที่คำนวนจากเสียงของทั้งประเทศ (สส party list) ซึ่งถ้าเทียบกับตัวอย่างข้างต้น
A สมควรได้สส=60 (สส party list)+30 (สสเขต) = 90
ส่วน B ควรได้สส=40 (สส party list) + 40 (สสเขต) = 80
เห็นอะไรไหมครับ จำนวนสส ของทั้งสองพรรครวมกันได้ 90+80=170 ซึ่งเกิน 100 และอัตราส่วนสสกลายเป็น
A 90/170=53%
B 80/170=47%
คราวนี้ย้อนกลับไปดูข้างบน ตรงที่ผมบอกว่า
ระบบการเลือกตั้งที่ดี ควรให้จำนวนสส สะท้อนเสียงของประชาชนให้มากที่สุด พรรค A ได้คะแนนเสียง 60% ส่วนพรรค B ได้คะแนนเสียง 40% แบบนี้ สมมุติว่าจำนวนสส ทั้งหมด 100 คน แบบนี้ พรรค A ควรได้สส 60 คน ส่วนพรรค B ควรได้สส 40 คนถูกไหมครับ แต่ถ้าคำนวนด้วยวิธีบวกกันดื้อๆ เหมือนข้างบน นอกจากจำนวนสส จะเกินโควต้าแล้ว ยังทำให้อัตราส่วนของจำนวนสส ไม่สะท้อนคะแนนเสียงของคนทั้งประเทศด้วย (สัดส่วนที่ควรเป็นคือ 60/40 แต่ถ้ารวมสสเขตกับ party list อัตราส่วนจะกลายเป็น 53/47
งั้นทำไงล่ะทีนี้ ถ้าคุณยอมรับจำนวนสสควรสะท้อนอัตราส่วนคะแนนเสียงจากประชาชน คุณควรคงอัตราส่วนสสไว้ที่ 60/40
แต่สสเขต ก็มีความสำคัญเพราะมันสะท้อนเสียงท้องถิ่น ดังนั้นเพื่อทำให้ทั้งสองข้อนี้เป็นจริง ก็ควรให้สิทธิ์สสเขตก่อน แล้วค่อยเลือกใส่จำนวนสส party list จนเต็มจำนวนอัตราส่วน 60/40 นี่คือวิธีคิดของระบบนี้ครับ
จากตัวอย่างจะเห็นว่า A สสเขต 30 ส่วน B ได้สสเขต 40 เอาใส่ในสภา ได้ 30+40=70 เราต้องการจำนวนสส 100 ดังนั้นเหลือที่นั่งอีกแค่ 100-70=30 สิ่งที่เราต้องทำคือใส่ตัวเลขสส เพื่อให้อัตราส่วนรวมเป็น 60/40
พอใส่สสเขตแล้ว A มีสส 30 B มี 40 ถ้าจะทำให้อัตราส่วนเป็น 60/40 ต้องดึงสส party list จาก A มาอีก 30 ทำให้อัตราส่วนกลาายเป็น 60/40 และ B ไม่ได้สส party list เลย ไม่งั้นจะได้อัตราส่วน 60/40 ไม่ได้
นี่คือเหตุผลที่เพื่อไทย ไม่ได้สส party list เลยจากแนวคิดของระบบใหม่ครับ
เห็นหลายคนสงสัยว่าทำไมเพื่อไทยไม่ได้ party list เลย
อย่างแรกอยากให้คุณเข้าใจก่อนว่าระบบการเลือกตั้งที่ดี ควรให้จำนวนสส สะท้อนเสียงของประชาชนให้มากที่สุด เพื่ออธิบายให้เข้าใจง่าย สมมุติมีพรรคสมัครสสแค่สองพรรค พรรค A ได้คะแนนเสียง 60% ส่วนพรรค B ได้คะแนนเสียง 40% แบบนี้ สมมุติว่าจำนวนสส ทั้งหมดในสภามีได้ 100 คน แบบนี้ พรรค A ควรได้สส 60 คน ส่วนพรรค B ควรได้สส 40 คนถูกไหมครับ นี่คือหัวใจของระบบการเลือกตั้งใหม่นี้
คราวนี้เนื่องจาก สสในพรรคเป็นการเลือกโดยรวมจากคะแนนคนทั้งประเทศ คนที่เป็นสส อาจไม่เข้าใจปัญหาของคนในแต่ละท้องถิ่น เลยให้มีการเลือกตั้งสสเขต อีกส่วนหนึ่ง เพื่อให้ได้สส ที่สามารถสะท้อนเสียงท้องถิ่นได้ เราให้จากสส ในสภาทั้งหมด 100 คน เป็นสสเขต 70 คน
สมมุติพรรค A แม้จะได้คะแนนเสียงโดยรวมทั้งประเทศ 60% แต่ได้ผลจากการแข่งสสเขตได้แค่ 30 คน เพราะความนิยมในบางท้องถิ่นสู้ B ไม่ได้ แต่ถึงสู้ไม่ได้คะแนนก็ไม่ได้ห่างกันมาก ตรงกันข้าม ท้องถิ่นที่สสเขต A ชนะ คะแนนนำห่างเยอะมาก ผลรวมคะแนนเสียงทั้งประเทศเลยมากกว่าทั้งๆ ที่จำนวนสส เขต น้อยกว่า
ส่วน B ถึงแม้คะแนนเสียงโดยรวมทั้งประเทศจะแค่ 40% แต่ได้ผลจากการแข่งสสเขต 40 คน เพราะความนิยมในบางท้องถิ่นดีกว่า แต่ไม่ได้เฉือนห่างกันมาก ตรงกันข้าม สสเขตที่แพ้ แพ้แบบขาดลอย
คราวนี้จะมาคำนวนสส กันยังไง หลายความเห็นบอกว่าคะแนน party list ของเพื่อไทยหายไป แสดงว่าวิธีที่ถูกต้องคือควรเอาสสเขต+จำนวนสสที่คำนวนจากเสียงของทั้งประเทศ (สส party list) ซึ่งถ้าเทียบกับตัวอย่างข้างต้น
A สมควรได้สส=60 (สส party list)+30 (สสเขต) = 90
ส่วน B ควรได้สส=40 (สส party list) + 40 (สสเขต) = 80
เห็นอะไรไหมครับ จำนวนสส ของทั้งสองพรรครวมกันได้ 90+80=170 ซึ่งเกิน 100 และอัตราส่วนสสกลายเป็น
A 90/170=53%
B 80/170=47%
คราวนี้ย้อนกลับไปดูข้างบน ตรงที่ผมบอกว่า ระบบการเลือกตั้งที่ดี ควรให้จำนวนสส สะท้อนเสียงของประชาชนให้มากที่สุด พรรค A ได้คะแนนเสียง 60% ส่วนพรรค B ได้คะแนนเสียง 40% แบบนี้ สมมุติว่าจำนวนสส ทั้งหมด 100 คน แบบนี้ พรรค A ควรได้สส 60 คน ส่วนพรรค B ควรได้สส 40 คนถูกไหมครับ แต่ถ้าคำนวนด้วยวิธีบวกกันดื้อๆ เหมือนข้างบน นอกจากจำนวนสส จะเกินโควต้าแล้ว ยังทำให้อัตราส่วนของจำนวนสส ไม่สะท้อนคะแนนเสียงของคนทั้งประเทศด้วย (สัดส่วนที่ควรเป็นคือ 60/40 แต่ถ้ารวมสสเขตกับ party list อัตราส่วนจะกลายเป็น 53/47
งั้นทำไงล่ะทีนี้ ถ้าคุณยอมรับจำนวนสสควรสะท้อนอัตราส่วนคะแนนเสียงจากประชาชน คุณควรคงอัตราส่วนสสไว้ที่ 60/40
แต่สสเขต ก็มีความสำคัญเพราะมันสะท้อนเสียงท้องถิ่น ดังนั้นเพื่อทำให้ทั้งสองข้อนี้เป็นจริง ก็ควรให้สิทธิ์สสเขตก่อน แล้วค่อยเลือกใส่จำนวนสส party list จนเต็มจำนวนอัตราส่วน 60/40 นี่คือวิธีคิดของระบบนี้ครับ
จากตัวอย่างจะเห็นว่า A สสเขต 30 ส่วน B ได้สสเขต 40 เอาใส่ในสภา ได้ 30+40=70 เราต้องการจำนวนสส 100 ดังนั้นเหลือที่นั่งอีกแค่ 100-70=30 สิ่งที่เราต้องทำคือใส่ตัวเลขสส เพื่อให้อัตราส่วนรวมเป็น 60/40
พอใส่สสเขตแล้ว A มีสส 30 B มี 40 ถ้าจะทำให้อัตราส่วนเป็น 60/40 ต้องดึงสส party list จาก A มาอีก 30 ทำให้อัตราส่วนกลาายเป็น 60/40 และ B ไม่ได้สส party list เลย ไม่งั้นจะได้อัตราส่วน 60/40 ไม่ได้
นี่คือเหตุผลที่เพื่อไทย ไม่ได้สส party list เลยจากแนวคิดของระบบใหม่ครับ