สวัสดีค่ะทุกคน จริงๆเรื่องนี้เราอยากเล่าตั้งแต่ปีใหม่ แต่เราไม่มีเวลาอัพเลย นี่ผ่านมาจะครบไตรมาสแรกแล้ว แต่ก็ยังอยากจะเล่าให้ทุกคนอ่าน เผื่อจะเป็นกำลังใจให้กับคนที่ปีนี้อยากตั้งเป้าหมายเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะเราคิดว่าคนทุกคนที่มีความตั้งใจ ไม่มีอะไรที่ยากเกินไปเลยค่ะ ขอแค่ 2 อย่าง
คือความตั้งใจ และ ความสม่ำเสมอค่ะ เรื่องราวที่เราจะเล่าต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์ชีวิตจริงของแฟนเราเองค่ะ
ก่อนอื่นขออธิบายคำว่า IRONMAN ในที่นี้ก่อนนะคะ
IRONMAN ไม่ใช่หนึ่งในสมาชิกของ The Avenger เหมือนที่หลายๆคนรู้จัก แต่ IRONMAN คำนี้เรียกเป็นภาษาไทยว่า คนเหล็กค่ะ ตรงๆตัวเลย มันคือชื่อทางการค้า ของการแข่งขันไตรกีฬาประเภทหนึ่งที่ถูกกำหนดระยะให้มากกว่าการแข่งไตรกีฬาระยะมาตรฐานค่ะ
IRONMAN ต้องว่ายน้ำ 3.8 Km. ปั่นจักรยาน 180 Km. และสุดท้ายคือวิ่ง ระยะ full marathon ค่ะ 42 Km. ทั้งหมดต้องทำติดต่อกัน โดยมีเวลา cut off ต่างกัน ในแต่ละสนาม ประมาณ 15-17 ชม.คะ
แนะนำตัวละครหลักกันก่อนนะคะ ผู้ชายคนนี้ชื่อ กี้ ค่ะ อายุก็ เกิน 30 มาหลายปีแล้วค่ะ
อาชีพ พนักงานกินเงินเดือน เข้างาน 8:00 โมง เลิกงาน 5 โมงค่ะ
วิถีชีวิตที่ธรรมดา เหมือนคนส่วนใหญ่คือ มีเวลาว่างส่วนใหญ่อยู่ที่วันเสาร์ อาทิตย์ และหลังเลิกงานค่ะ
รูปร่างของเค้า สูงตามมาตรฐานชายไทยนะคะ 173 เซนติเมตร น้ำหนักตอนอ้วนสุดนี่ประมาณ 88 และเรื่องน้ำหนักนี่คือสิ่งที่เรากำลังจะเล่าต่อไปค่ะ
เราคิดว่าผู้ชายหลายคนมี ความคล้ายกันตรงที่ช่วงมัธยม จะเป็นช่วงที่ระบบเผาผลาญยังดีและอ้วนยากค่ะ
แต่พอเข้ามหาลัย เจอทั้งเหล้า เบียร์ , การนอนไม่เป็นเวลา , และอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ทำให้หลายคนคงเจอเหตุการณ์เดียวกันคือ อ้วนขึ้นค่ะ พี่กี้ก็เป็นอีกคนที่เริ่มอ้วน ตั้งแต่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยค่ะ ยิ่งพอทำงาน มีเงิน และเริ่มรู้จักความเครียด ก็จะมีการหาความสุขใส่ตัวเองด้วยอาหารอร่อยค่ะ ไม่ว่าจะถูกหรือแพง ถ้าขึ้นชื่อว่าอร่อย ต้องตามล่าไปลองกันทุกที่ค่ะ ยิ่งรีวิวร้านไหนดีๆก็ต้องได้ลองค่ะ โดยรีวิวหลอกก็ไม่ใช่น้อยนะคะ และจะชอบมากถ้าเป็นร้านแบบบุฟเฟ่ต์ เพราะว่ารู้สึก คุ้ม!!!
จึงทำให้พี่คนนี้เค้าอยู่ในสถานะ คนอ้วนมาเนิ่นนานและห่างไกลจากความต้องการลดความอ้วนมานานค่ะ
จนวันนึงเมื่อประมาณ5ปีที่แล้ว เพื่อนคนนึงในกลุ่ม (ขอเรียกว่าหัวหน้าทีมนะคะ) ก็ชวนไปปั่นจักรยานค่ะ ตอนนั้นที่บ้านมีเสือภูเขาก็ปั่นกันเล่นๆ มีออกทริปกันเป็นแก๊งส์ ปั่นไปหาอะไรอร่อยๆกิน ปั่นไปหาร้านกาแฟ ยิ่งปั่นเลยยิ่งอ้วนค่ะ แม้จะเคยปั่นเยอะ เป็นร้อยกิโลเมตรก็ตาม
หลังจากนั้นไม่นานเริ่มติดใจ การปั่นจักรยาน ตัดสินใจออกรถจักรยานคันใหม่เป็นเสือหมอบ ก็จัดตั้งแก๊งส์ปั่นกัน แถวเลียบRunway สนามบินสุวรรณภูมิ
วันนึงมีเพื่อนอีกคนนึงในกลุ่มปั่นที่เราทุกคนเรียกเค้าว่าลุง ลุงมาชวนไป ทริปปั่น ที่เป็นเหมือนการสอบปลายภาคของนักปั่นจักรยานทุกคน นั่นคือ ประเพณีประจำปี อินทนนท์คนพันธ์อึด!! มันเป็นการปั่นจักรยานระยะทาง 48 KM. จากพื้นล่างไปจนถึงยอดสูงสุดของประเทศ มันเป็นบททดสอบที่ทำให้เรารู้ว่าทั้งปี เราซ้อมพอมั้ย พัฒนาการของเราดีขึ้นแค่ไหน งานนี้มันจึงเป็นเหมือนการสอบปลายภาคดีๆนี่เองค่ะ
ปี2015 พี่กี้ได้รับคำชวนจากลุง และตกลงไปอย่างไม่ลังเล เรียกว่า ไม่ดูสาระ และ รูป ตัวเองแม้แต่น้อย ผลที่ได้คือ เข็นค่ะเข็นจนรองเท้าสึก ใช้เวลาไปทั้งหมด 5 ชั่วโมง
พร้อมความคับแค้นใจกับความไม่พร้อมของตัวเอง เพราะพอขึ้นมาไม่ทัน ก็ไม่มีสิทธิได้รับถ้วย แต่!! ลุง... เค้าได้ถ้วยค่ะ เค้าขึ้นมาทัน 555 ด้วยความคับแค้นใจพี่กี้เลยทำสัญญาใจกับลุง
พี่กี้: ลุง ถ้าปีหน้าผมขึ้นมาก่อนลุง ผมขอถ้วยลุงนะครับ!!!!!
ลุง: ได้เลย (พร้อมยิ้มมุมปาก)
หลังจากนั้นความรู้สึกอยากเอาชนะก็ท่วมท้น และถ้าใครเคยปั่นจักรยานจะรู้นะคะ ว่าน้ำหนักคนและรถ มีผลมาก ที่จะทำให้เราเกาะไปกับกลุ่มได้มั้ย ปั่นจนน้ำลายยืดก็ตามคนอื่นไม่ทันรึเปล่า แล้วยิ่งถ้าเป็นการปั่นขึ้นภูเขา น้ำหนักคือตัวแปลแรกเลยค่ะ ที่ทำให้คุณต้องเอาเท้าแต่พื้นก่อนถึงยอดเขา เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันนั้นมา พี่กี้ก็เลยตั้งปณิธานกับตัวเองไว้ว่าปีหน้า จะมาใหม่และครั้งนี้ เท้าต้องไม่แตะพื้น!!!!! ซึ่งมันก็ต้องเริ่มที่การ ลดน้ำหนักค่ะ
เมื่อความคิดที่จะลดน้ำหนักเข้ามาอยู่ในหัว วิธีของพี่กี้ก็คือ ซื้อ เทรนเนอร์ ค่ะ (มันเป็นเครื่องที่เมื่อเราเอาจักรยานของเราขึ้นไปติดตั้งแล้วจะทำให้เราปั่นจักรยานอยู่กับที่ได้ค่ะ แม้จะอยู่ในห้องเล็กๆ) เมื่อได้เทรนเนอร์มาแล้ว ก็เอาความสม่ำเสมอ เข้าแลก ปั่นค่ะ ปั่นทุกวัน วันละ1ชั่วโมงเป็นอย่างน้อยแล้วแต่ความเบื่อ ปั่นไปดูหนังไป เล่นเกมส์ไปก็ยังได้ เรื่องอาหาร บอกตามตรงว่าไม่ได้คุมอะไรเลย ทานปกติ วันพุธ เสาร์ อาทิตย์ ก็ออกไปปั่นข้างนอก น้ำหนักก็ค่อยๆลง และบวกกับการปั่นไปเชียงใหม่ ในทริปกทม.- เชียงใหม่ ต้องบอกเลยว่าการปั่น 5 วันวันละร้อยกิโลเมตรขึ้นไปนั้น กลับมาแล้ว ซูบลงไปเลยค่ะ เวลาผ่านไปประมาณ8 เดือน น้ำหนักช่วงนั้น จาก 78ก็ลงมาเหลือประมาณ 70 นิดๆ
ปี2016 ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเวลาสอบปลายภาคอีกครั้ง ครั้งนี้เราจะมาแก้แค้น สุดท้ายพี่กี้ทำได้ค่ะ เท้าไม่แตะพื้น และใช้เวลาไป 3:40 ชั่วโมง ผลที่ได้คือขึ้นไปถึงเร็วกว่าลุง เพราะฉนั้นถ้วยของลุงปีทีแล้วตกเป็นของพี่กี้ไปค่ะ และปัญหาคือปีนี้และปีต่อมา งานเค้าไม่แจกถ้วยอีกแล้วแล้ว มันก็เลยเกิดการ แย่งถ้วยกันไปมาระหว่าง2คนนี้ ขำๆกันไป
หลังจากนั้นการปั่นจักรยานวันพุธ เสาร์ อาทิตย์ กลายเป็นงานอดิเรกไปเลยค่ะ
และ วันนึงก็มีเหตุ พี่หัวหน้าทีมอยากลงแข่งไตรกีฬาค่ะ แต่.....หัวหน้าทีมเค้าก็ว่ายน้ำและวิ่งไม่เก่งค่ะ(ปั่นเก่งอย่างเดียว) ก็เลยต้องหาแนวร่วมเพื่อลงแข่งประเภททีม พี่กี้ตัดสินใจลงแข่งร่วมทีมด้วย มีสมาชิก 3 คน ว่าย ปั่น วิ่ง พี่กี้เป็นคนว่ายค่ะ!!!!!
มายังไงก็ไม่รู้ 5555 ถามว่าว่ายเก่งมั้ย ตอบได้เลยว่าไม่ค่ะ!!! ถีบขากบตลอดการแข่งขัน 1.5 KM. ค่ะ
แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่เปิดโลกไตรกีฬา ของพวกเรา ^^
หลังจากจบการแข่งไตรกีฬาครั้งแรก พี่กี้ ก็ถูกเพื่อนอีกคน ซึ่งเป็นนักชวนเก่ง ชวนอีกเช่นเคยให้ลงแข่งอีกครั้ง คราวนี้แข่งเดี่ยว ในระยะStandardเลยดีกว่า เอาให้มันสุดกันไปเลย
ครั้งแรกของการแข่ง ไตรกีฬาระยะมาตรฐานประเภทเดี่ยวซึ่งต้องว่าย 1.5 KM ปั่น 42 KM วิ่ง 10 KM ตอนว่ายเค้าก็ยังคงว่ายกบผสมฟรีสไตล์เป็นระยะ เวลาที่ใช้ในการว่ายก็ธรรมดาไม่โดดเด่น แต่ตัวเองมีทักษะในด้านการปั่น ก็เลยสามารถมาทำเวลาคืนได้ก็ตอนปั่นนี่แหละ แต่สุดท้าย เวลาจะดีหรือไม่ดี มันอยู่ที่การวิ่งค่ะ
ลงแข่งไตรกีฬามาหลายงานเลยคิดว่าต้องมาพยายามโฟกัสที่การวิ่งให้ดีขึ้น เพื่อจะได้ทำเวลาให้ดีขึ้นด้วยค่ะ
หลังจากนั้นก็หมกมุ่นกับการซ้อมวิ่ง แต่ไม่เน้นลงงานวิ่งนะคะ เปลืองเงินค่ะ สิงกันอยู่ในสวนลุมนี่แหละค่ะ ตื่นตั้งแต่ตี 4 วิ่งวนกันไป 20-30 km. แต่การวิ่งก็เป็นกีฬาอีกชนิดที่น้ำหนักมีผลค่ะ พอเริ่มอยากวิ่งเร็วก็เริ่มอยากลดน้ำหนัก เพราะ ไม่อยากแบกน้ำหนัก 5 กิโล ไปตลอดทาง (วิธีการลดน้ำหนักในแบบของพวกเรา ขอแยกไว้ตอนท้ายนะคะ)
หลังจากนั้นก็เริ่มลงงาน Half marathon , Full marathon บ้าง ผลของการซ้อมวิ่งและเวลาในการวิ่งดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เริ่มชอบการวิ่งค่ะ มีการออกแบบตารางซ้อม เผื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ตารางก็ออกแบบกันเองนี่แหละค่ะ ลองอ่านเก็บข้อมูลจากหลายๆคนแล้วมาออกแบบตามเวลาว่างของเราที่ส่วนใหญ่จะได้ซ้อมยาวแค่ เสาร์และอาทิตย์
การวิ่งนี่แหละค่ะ ทำให้ผอมลงไปอีก รูปร่างเริ่มดีขึ้น แต่ก็ยังแอบไว้พุงน้อยๆอยู่
หลังจากนั้นอีกไม่นาน คุณเพื่อน ก็เอาความคิดของ IRONMAN มาใส่หัว ว่า แข่งไตรมันต้องไปให้สุด ที่ Ironman ซิ(วะ)
นี่ก็บ้าจี้ตามเพื่อนค่ะ IronMan หรอ ได้ซิ ว่าย3.8km. เอง
ห้ะ !!! เกือบ4Km. ปัญหาใหญ่จึงเกิดขึ้นค่ะ ด้วยเป็นคนที่ไม่ได้เก่งว่ายน้ำอะไรเลย แค่เอาชีวิตรอดได้ แต่ 4 กิโลเมตรเนี่ย มันไกลไปหน่อยมั้ย ส่วนปั่นกับวิ่งไม่น่ามีปัญหา เราเคยปั่นไปเชียงใหม่ วิ่งฟูลมาราธอนมาแล้ว ก็แค่เอามันมาทำต่อกัน แค่นั้นเอง (หรออออ)
หลังจากนั้นพี่กี้ก็ฝึกว่ายน้ำอย่างจริงจังมากขึ้น โชคดีที่มีเพื่อนใจดี ดีกรีนักกีฬา ช่วยมาเป็นโค้ชให้ ทำให้พัฒนาการในการว่ายดีขึ้นมากค่ะ
และก็มาถึงการแข่งIRONMAN ครั้งแรกของชีวิต ครั้งนี้เลือกสนามที่เกาหลีค่ะ เหตุผลข้อเดียวมีอยู่คือ ไม่แพงค่ะ เมื่อเทียบกับสนามอื่น
สิ่งที่ยากที่สุดของการแข่งครั้งนี้น่าจะเป็น การวิ่งค่ะ เพราะกล้ามเนื้อที่สังเวยให้กับระยะทางมาแล้วนั้น ไม่มีแรงแม้แต่จะยกขา การวิ่งท่ามกลางความมืดที่มองไม่เห็นทางก็ยิ่งหดหู่ แต่ก็พาตัวเองเข้าเส้น Finisher มาได้
สิริเวลารวม คือ 12:50 ชั่วโมง
และหลังจากกลับมาจากแข่ง ซึ่งเป็นช่วง Off Season ก็กินกันแหลกลาญ ร่างก็พองฟูขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่มันก็ยังไม่สายค่ะ มันก็แค่บวมขึ้นมาจาก ไขมัน น้ำ โซเดียม เพราะไม่มีการคุมอาหารใดๆ เลย พวกเรา2 คน เป็นคู่ที่เน้นทานมากๆค่ะ รีวิวไหนว่าดี ไปลองมาหมด จนสุดท้ายทนไม่ไหวค่ะ โดนรีวิวหลอกมากเกินไปค่ะ เราเลยแอบเปิดเพจเล็กๆของเรา (ไม่เคยมีสปอนเซอร์ใดๆค่ะ) เพื่อแชร์ร้านที่เราลองแล้วคิดว่าอร่อยจริงๆให้เพื่อนๆ คนรู้จัก ได้ลองกันบ้างค่ะ ถ้าใครอยากติดตามว่าอะไรอร่อย ก็ลองเข้าไปดูได้ค่ะ
https://web.facebook.com/eatmepls.th/
(แอบโฆษณาแบบนี้กระทู้จะโดนหิ้วมั้ยนะ)
{Road to be an IRONMAN} เล่าประสบการณ์ Transformation จากเด็กอ้วนสู่ IRONMAN 2 สนาม
คือความตั้งใจ และ ความสม่ำเสมอค่ะ เรื่องราวที่เราจะเล่าต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์ชีวิตจริงของแฟนเราเองค่ะ
ก่อนอื่นขออธิบายคำว่า IRONMAN ในที่นี้ก่อนนะคะ